“วันหยุดทำอะไรกันหรอ” เป็นคำถามที่ฉันพบบ่อยครั้งจากผู้คนรอบตัว นึกๆ ดูแล้วกิจกรรมหนึ่งที่ฉันชอบทำในวันหยุดไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในโลก ก็คือการไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เพราะมันสนุกดี ได้เปิดมุมมองใหม่ (แม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตาม) ใช้สตางค์ไม่เยอะ ไปคนเดียวก็ได้ไปเป็นกลุ่มก็ดี ขึ้นอยู่กับอารมณ์ติสท์ของตัวเองในวันนั้นเป็นหลัก ที่อินเดียนี่ก็เช่นกัน นอกจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาฉันได้ไปเที่ยวชมงาน India Art Fair 2018 ซึ่งเป็นงานอาร์ตแฟร์ศิลปะสไตล์โมเดิร์นและร่วมสมัยชั้นนำในเอเชียใต้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่กรุงนิวเดลี โดยปีนี้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 10 แล้ว ปีนี้มีอาร์ตแกลเลอรี่กว่า 80 แห่งจากทั่วโลกมาจัดแสดงผลงานของศิลปิน โดยมีนักสะสมศิลปะหรือ collector จากทั่วโลกมาซื้อผลงาน รวมทั้งประชาชนคนทั่วไปที่สนใจก็สามารถซื้อบัตรมาเข้าชมได้ สนนราคาที่คนละ 600 รูปี (หรือประมาณ 300 บาท)
แม้รูปโฉมการตกแต่งสถานที่ปีนี้ไม่น่ารักเท่าเมื่อ 2 ปีก่อนที่เคยมา แต่อาร์ตแกลเลอรี่รวมถึงศิลปินเจ้าของผลงานในปีนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากกว่าเดิม เช่น แกลเลอรี่ระดับไฮเอนด์อย่าง David Zwirner ก็มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกโดยได้นำผลงานฟักทองของยาโยอิ คุซามะ มาจัดแสดงด้วย นอกจากนี้ก็มี DAG (Delhi Art Gallery) และ Chatterjee & Lal แกลเลอรี่แนวหน้าของอินเดีย Grosvenor Gallery จากลอนดอน Mo J Gallery จากเกาหลีใต้ รวมถึงแกลเลอรี่ Latitude 28 ซึ่งแสดงผลงานของศิลปินอินเดียชื่อดัง อาทิ Thota Vaikuntam, Manu Parekh ภาพวาดต้นฉบับของศิลปินแต่ละท่านมีราคาตั้งแต่หลักแสนบาทไปจนถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดภาพพิมพ์ซ้ำยังเป็นหลักหมื่นบาทนะ เอามือทาบอกตกใจ!
บรรยากาศภายในงาน India Art Fair 2018
David Zwirner Gallery (New York/London/Hong Kong)
การมาเดินงานอาร์ตแฟร์ครั้งนี้ทำให้ฉันเริ่มมองเห็นศิลปะเป็นมากกว่าของสวยๆ งามๆ เพราะมูลค่าของงานศิลปะแต่ละชิ้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ และที่สำคัญมีคนซื้อเสียด้วยสิ เช่นเดียวกับ MCH Group ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ผู้อยู่เบื้องหลังงานแฟร์ระดับโลกอย่าง Art Basel ที่จัดขึ้นที่เมืองบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไมแอมี สหรัฐอเมริกา และเกาะฮ่องกง ก็ได้เล็งเห็นเช่นกัน โดยในปี 2558 MCH Group ได้เข้ามาซื้อหุ้นของ India Art Fair ไปในสัดส่วนมากถึงร้อยละ 60.3 เพื่อเริ่มต้นก้าวแรกของธุรกิจตัวใหม่ คืองานแฟร์ศิลปะระดับภูมิภาค (Regional Art Fair) ก้าวของ MCH Group สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดศิลปะในเอเชียใต้ซึ่งมีเศรษฐกิจอินเดียขาขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนได้เติบโตขึ้นมากและกำลังก้าวไปสู่ระดับโลก ขณะเดียวกัน การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของ MCH Group ก็เป็นแม่เหล็กชั้นดีที่ดึงแกลเลอรี่ดังๆ จากนิวยอร์ก ลอนดอน ฮ่องกง มาร่วมจัดแสดง ซึ่งแกลเลอรี่เหล่านี้ก็จะดึงดูด collector ให้มาเลือกซื้อศิลปะในงานนี้อีกต่อหนึ่ง
บรรยากาศหน้างาน India Art Fair 2018
Neha Kirpal ผู้ก่อตั้ง India Art Fair ซึ่งบัดนี้ถือหุ้นในสัดส่วนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 10 ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมากระแสศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัยเริ่มก่อตัวในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยมีนิทรรศการศิลปะเกิดขึ้นมากมาย เช่น Kochi-Muziris Biennale, Colombo Art Biennale, Lahore Biennale และ Dhaka Art Summit ขณะเดียวกันศิลปะร่วมสมัยของอินเดียก็เริ่มได้รับความนิยมในระดับโลก โดยไปปรากฏในเวทีอย่าง Guggenheim, Met Breuer, Tate Modern และ Venice Art Biennale เป็นต้น งานนิทรรศการอย่าง India Art Fair จะช่วยให้ศิลปะอินเดียออกสู่สายตาโลกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ช่วยสร้างความตระหนักรู้ด้านศิลปะให้กับประชาชน และเพิ่มจำนวนกลุ่มนักสะสมศิลปะในประเทศ (ซึ่งยังมีจำนวนน้อยมาก) ขณะที่ Jagdip Jagpal ซึ่งเป็น director ของงานนี้เป็นปีแรก อยากให้ผู้เยี่ยมชมงานได้เข้าใจภาพวัฒนธรรมในอินเดียที่กำลังเติบโต ความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ระหว่างอินเดียกับเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ ไปจนถึงยุโรปและตะวันออกกลาง และภาพอัตลักษณ์สมัยใหม่แบบโมเดิร์นอินเดีย ขณะเดียวกันก็สร้างช่องทางในการเข้าถึงตลาดศิลปะให้กับนักสะสมในภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งถ้านับฉันเป็นตัวชี้วัดด้วยก็ประสบความสำเร็จอยู่นะคะ
ตัวอย่างงานศิลปะ
1,000 Attempts at a Reconciliation ของ Timothy Hyunsoo Lee จาก Sabrina Amrani Gallery มาดริด
ในระหว่างเดินชมผลงานศิลปินคนนั้นคนนี้พร้อมกับตามหาศิลปะและศิลปินไทยเผื่อจะมาที่ India Art Fair กับเขาบ้างซึ่งสุดท้ายแล้วยังไม่พบ แต่อย่างน้อยฉันได้พบกับงานศิลปะที่ใช้ทองคำเปลวจากเมืองไทยของ Timothy Hyunsoo Lee ศิลปินชาวเกาหลีใต้ที่ไปเติบโตในสหรัฐอเมริกา งานของเขามีชื่อว่า 1,000 Attempts at a Reconciliation งานชิ้นนี้เป็นการนำทองคำเปลวจำนวน 1,000 แผ่นมาวางบนพื้นผิวสีน้ำเงินและเข้ากรอบ ซึ่งรูปร่างแผ่นทองก็จะแตกต่างออกกันออกไป เป็นงานที่เกิดจากแรงบันดาลใจจากที่คุณย่าเล่าให้ฟังว่า หากพับนกกระเรียน 1,000 ตัวแล้วจะสมหวัง ทิโมธีบอกว่า ในปีนี้เขาเห็นศิลปินรุ่นใหม่จำนวนมากและตลาดของอินเดียกำลังปรับตัว คนสนใจงานศิลปะร่วมสมัยมากขึ้น เขาเองยังแปลกใจที่คนอินเดียสนใจงานสไตล์มินิมอลและงานสไตล์นามธรรม (abstract) โดยภาพวาด abstract หลักแสนบาทของเขาก็ขายออกไปแล้วในงานนี้
ใครที่สนใจ India Art Fair ก็ลองติดตามกันได้ในปีหน้าช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์นะคะ ส่วนใครที่มาเที่ยวเดลีช่วงอื่น ขอแนะนำ National Gallery of Modern Art (NGMA) ซึ่งจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยสวยๆ ของอินเดีย มีทั้งนิทรรศการหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร ที่สำคัญแอร์เย็นเฉียบเลยค่ะ เหมาะกับการเป็นโปรแกรมในหน้าร้อนของเดลีมากๆ