ภาพยนตร์ Steve Jobs (ค.ศ. 2015) ถ่ายทำโดยใช้ฉากจริงที่โรงมหรสพ (Opera House) ในนครซานฟรานซิสโก โดยมีฉากการถกเถียงระหว่างตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรชื่อดังอย่าง Steve Wozniak หรือ Andy Hartsfield ในโรงมหรสพ
ในชีวิตจริง แม้แต่การเปิดตัวคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า NeXT ในนครซานฟรานซิสโก สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ก็ยังได้เชิญนักไวโอลินมาเล่น Bach Concerto in A Minor คู่กับคอมพิวเตอร์ใหม่ของเขา ในโรงมหรสพอีกด้วย โรงมหรสพในสหรัฐอเมริกามักถูกมองว่าเป็นจุดสูงสุดของศิลปะและเทคโนโลยีในยุคนั้นๆ และเป็นสัญลักษณ์สำคัญด้านวัฒนธรรมของพวกเขา
“The Best Engineers are Artists.” เป็นคำพูดที่เราจะได้ยินอยู่เสมอในสหรัฐอมริกา
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้ร่วมงานลิเกในป้อมมหากาฬ ซึ่งถูกจัดแปลงร่างให้เป็นโรงละครกลางแจ้ง และเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นคืนเดียวเท่านั้น ในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559 มีการจัดการพูดคุยโต้วาทีและเล่นละครล้อการเมือง ตั้งคำถามท้าทายอำนาจในรูปแบบการการเล่นลิเก มีการปิ้งย่างอาหารขาย (ควันโขมง) พร้อมเครื่องดื่มก่อนและหลังลิเก รวมทั้งยังพูดคุยถกเถียงในประเด็นเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ในโลกออนไลน์อย่างถึงพริกถึงขิง
ในเวลานั้น ผมเองก็ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วป้อมมหากาฬเคยเป็นพื้นที่ซุ้มลิเกโบราณมากก่อน ผมเพียงแต่ตะลึงกับบรรยากาศและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดผ่านรูปแบบลิเก และบรรยากาศการแชร์ไอเดียก่อนและหลังรายการระหว่างผู้คนกันเอง
“บรรยากาศลิเกต้องเริ่มเล่นตอนค่ำ”
หัวหน้าซุ้มลิเกกล่าวต้อนรับ และบอกเล่าว่าการเล่นลิเก มีรากฐานมากจากแขกมาเลและแขกเปอร์เซีย ก่อนจะเริ่มบทพูด จะมีการออกแขก หรือการเล่นดนตรีก่อนตัดเข้าฉากลิเก
เรื่องหลายอย่างที่พูดไม่ได้ในสังคมโบราณ ก็พูดได้ในบริบทของการเล่นลิเก ไม่ว่าเรื่องเซ็กส์ (มีรหัสลับที่คนดูจะรู้ เช่นการเอาดอกไม้ ‘เสียบหู’ ฯลฯ) เรื่องการล้อเลียนเจ้าหรือขุนนางชั้นสูง โดยใช้เรื่องราวเก่าๆ จากเรื่องเล่าโบราณอย่างเช่น พระรถเสน หรือ แม่นาคพระโขนง มาใช้เป็นโครงเรื่อง แต่จะมีการขับร้องสดๆ โดยไม่ได้เตรียมการมาก่อน โดยนำเรื่องสังคมการเมืองปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวโยงด้วย
ในคืนวันที่ 25 กันยายน ตัวละครที่ปรึกษาเจ้าแม่ในเรื่อง พระรถเสน เสนอให้เธอ ‘อุ้มฆ่า’ พระรถเสน โดยใช้วิธีถูกทำให้ตาย หรือทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งได้เรียกเสียงตะลึงจากผู้ชมในลักษณะ Dark Comedy
อมาตยา เซน (Amartya Sen) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอินเดียเคยนำเสนอว่า วัฒนธรรมการถกเถียงเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในหนังสือ The Argumentative Indian เขามองว่าการถกเถียงที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวอินเดีย เป็นแรงผลักสำคัญให้เกิดนักคิดสำคัญทางด้านปรัชญา การค้า และคณิตศาสตร์ในอดีต อีกทั้งในปัจจุบันก็ยังเป็นตัวสร้างนักคิดทางด้านทฤษฎีคอมพิวเตอร์ระดับโลกจำนวนมาก
นักเขียน มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) มองว่าแม้แต่เกาหลีใต้ ก็ยังต้องนำวัฒนธรรมการถกเถียง มาใช้กับสายการบินของพวกเขา
เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนเกาหลีพบว่าเครื่องบินตกบ่อยมาก และดูจากทักษะของนักบินแล้ว ก็ไม่น่าเป็นเพราะพวกเขาไร้ความสามารถในการบิน เพียงแต่ว่าเครื่องบิน Boeing นั้นออกแบบมาให้มีผู้ช่วยกัปตัน ทำหน้าที่โต้แย้งกัปตันในทุกกรณีที่จำเป็น กลไกของการถกเถียงหรือดีเบตนั้นถูกออกแบบมาพร้อมๆ กับเครื่องยนต์กลไกอื่นๆ ในเครื่องบิน Boeing ซึ่งออกแบบภายใต้วัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกา
แต่ในวัฒนธรรมของเกาหลี การเถียงกัปตันเป็นเรื่องมิควรทำ และผู้ช่วยกัปตันก็ไม่นิยมทำกัน ต่อมาอีกหลายสิบปี พวกเขาตั้งคณะกรรมการสืบสวนจนพบว่าเครื่องบินที่ตกนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ช่วยกัปตันมักรู้ข้อมูลบางอย่างล่วงหน้า (ที่กัปตันไม่รู้) แต่ไม่กล้าแสดงความเห็นคัดค้านกัปตันอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เวลาฉุกเฉิน กัปตันและผู้ช่วยร่วมมือกันไม่ได้อย่างเต็มที่ ทำให้กลไกที่ Boeing ออกแบบไว้พังทลาย
3 ปีที่แล้ว ทีมฟุตบอลเด็กไทยเข้าไปติดอยู่ในถ้ำหลวงเชียงราย หาทางออกไม่ได้ ในขณะที่น้ำกำลังขึ้นมาปิดปากถ้ำ
ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคิดนอกกรอบได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย เขาเปิดเวทีขอความช่วยเหลือในการระดมความคิดจากทั่วโลก เขาสามารถเปิดเวทีดีเบตระดับโลกขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ เพื่อระดมสมองค้นหานวัตกรรมช่วยชีวิตเด็กจากทั่วทุกมุมโลก มีนวัตกรรมเรือดำน้ำจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ส่งเข้ามาร่วมด้วย รวมทั้งทีมดำน้ำของอังกฤษ
โรงลิเกอย่างที่เคยมีที่ป้อมมหากาฬ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ กทม. ควรสนับสนุนให้มี ไม่ใช่เพื่อเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว แต่เพื่อสร้างวัฒนธรรมการตั้งคำถาม ระดมความคิดต่าง และการปราศรัย
ในโลกออนไลน์ ตัว Algorithm ของ Facebook มักโชว์ให้เราเห็นแต่คนที่เห็นด้วยกับเรา หรือคนที่เราเคยไปกด Like ทำให้แนวคิดที่เห็นต่างและข้อโต้แย้งที่น่าสนใจตกหล่นไปจาก Newsfeed ของเราได้ พื้นที่จริงในเมืองอย่างโรงลิเกที่ป้อมมหากาฬ ซึ่งเกิดขึ้นมาเพียงเสี้ยวเวลาเล็กๆ ในเราเห็นในวันนั้น จึงน่าจะเป็นจุดชี้นำให้ผู้ว่า กทม. ในอนาคตทดลองทำ
น่าเสียดายว่าหลังจากวันนั้นไม่นาน ชุมชนลิเกและบ้านไม้ทั้งหมดในป้อมมหากาฬก็ถูกรื้อทิ้งทั้งหมด กลายเป็นสนามหญ้าที่โล่งเตียน สะอาด ไร้ผู้คนและความคิด
โชคดีที่ชุมชนที่จัดลิเกในป้อมมหากาฬนี้ยังมีตัวตนอยู่จริงในโลกออนไลน์ (ในปัจจุบัน) และพร้อมเป็นที่ปรึกษาได้ หากในอนาคตจะมีการสร้างโรงลิเกและชุมชนบ้านไม้ที่ป้อมมหากาฬขึ้นมาใหม่จริงๆ (ในรัฐบาลอนาคต) และโชคดีที่มหาวิทยาลัยศิลปากรได้รวบรวมแบบบ้านไม้ทั้งหมด และเทคนิคการก่อสร้างในชุมชนเอาไว้ทุกหลัง
ผมมองว่าศิลปินในชุมชนป้อมมหากาฬหลายท่านอาจไม่อยากกลับมาอยู่ที่ป้อมอีกครั้ง แต่ก็ไม่แน่ครับ ถ้าเราสามารถสร้างป้อมกลับมาเป็นโรงมหรสพลิเกที่มีชื่อเสียงของโลก มีการเล่นลิเกล้อการเมืองอเมริกา ล้อการเมืองจีน ผมมองว่าเราไม่เพียงแต่สร้างวัฒนธรรมการดีเบตขึ้นมาในสังคมไทย แต่ยังดึงต่างชาติเข้ามาร่วมวงดีเบต ระดมความคิดเรื่องต่างๆ กับเราได้อีกด้วย
แม้ว่าปรากฏการณ์ ‘โรงลิเก Opera House‘ ที่เกิดขึ้น ณ ป้อมมหากาฬในคืนวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559 จะเกิดขึ้นเพียง One Night Stand ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราพอจะเห็นภาพร่างการพัฒนาเมืองในอนาคตได้เหมือนกัน