คุณว่าบ้านคนธรรมดาสักหลัง จะมีคนช่วยกันก่อสร้างอย่างมากสักกี่คน
40 เหรอ 50 พอไหม
แต่ที่นี่ เริ่มก่อสร้างได้ด้วยมิตรภาพของเด็ก 2 คน และสำเร็จได้ด้วยคนอีกร่วม 300
อ่านไม่ผิด 300 เยอะกว่าที่บ้านไหน ๆ จะมีได้
Lotus Residence คือบ้านของ อาภรณ์ นุ่มน่วม และออกแบบโดย สุริยะ อัมพันศิริรัตน์ สถาปนิกใหญ่แห่ง Walllasia ผู้เป็นเพื่อนของอาภรณ์เอง ทั้งคู่เป็นคนทะเลน้อย อยู่ด้วยกันตั้งแต่เป็นเด็กมัธยมต้นตัวเล็ก ๆ แต่กลับมาเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเติบโต
ด้วยความที่อาภรณ์มีอาชีพเป็นวิศวกรและผู้รับเหมา ต้องให้ช่างก่อสร้างในสังกัดไปทำงานให้ลูกค้า เขาจึงใช้ที่นี่เป็นเสมือน ‘โรงเรียนฝึกช่าง’ สำหรับช่างใหม่แกะกล่อง เมื่อเริ่มทำเป็นก็แยกย้ายไปทำโครงการอื่น แล้วรับช่างใหม่ (กว่าเดิม) มารับไม้ต่อ
บ้านหลังงาม ณ ปทุมธานี แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายที่อาภรณ์อยากเล่า ตั้งแต่เรื่องของบ้านไม้หลังเก่า วิถีชีวิตของชาวทะเลน้อย ดอกบัว ควายน้ำ เด็กชาย 2 คนที่เป็นเพื่อนกัน และผู้คนมากมายที่แวะเวียนเขามาฝึกวิชาก่อสร้าง

คืนสู่เหย้า
เสาเข็มต้นแรกของ Lotus Residence เริ่มตอกได้เพราะการกลับมาเจอกันของเพื่อนวัยเด็ก
ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนพัทลุง อาภรณ์และสุริยะเป็นเพื่อนซี้ที่กลับบ้านด้วยกันเป็นประจำ วันหยุดก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แต่ด้วยยุคสมัยที่การติดต่อสื่อสารไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเรียนจบมัธยม 3 แล้วก็แยกย้ายกันไปเรียนหนังสือ ไปมีชีวิตของตัวเอง
น่าเสียดายที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันอีก
ทว่าวันหนึ่งเมื่ออาภรณ์ผู้เติบโตมาเป็นวิศวกร-ผู้รับเหมา ไปเที่ยวเกาะพีพี และเปิดโทรทัศน์ดูในช่วงเวลา ตี 1 – 2 ก็ได้เห็นสถาปนิกในรายการ เป็น อยู่ คือ หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อเห็นชื่อ-นามสกุล ก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือ ‘สุริยะ’ เพื่อนรักสมัยมัธยมต้นของเขา จึงติดต่อไปด้วยความดีใจ

“ยังคุยกันรู้เรื่องครับ” อาภรณ์ยิ้มกว้างเมื่อเล่าถึงเพื่อน
“พอเจอกันแล้วเหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เหมือนเรายังเป็นเด็กกันเลย ไม่ได้นึกถึงว่าตัวเราเป็นวิศวกร เป็นเจ้าของบริษัท และพี่สุริยะเป็นสถาปนิกอะไรเลย”
หลังจากงานคืนสู่เหย้าส่วนตัวของทั้งคู่ในวันนั้น อาภรณ์ก็ติดต่อสุริยะไปอีกครั้งเพื่อบอกว่า “อยากทำบ้าน” และอยากให้สุริยะเป็นสถาปนิกของบ้านหลังนี้
สุริยะซึ่งเป็นสถาปนิกรุ่นใหญ่เองก็ไม่ได้ทำบ้านให้ใครง่าย ๆ แล้ว เขาจะต้องคุยอย่างลึกซึ้งว่าเจ้าของบ้านต้องการแบบไหน และตรงกับสไตล์ของสุริยะหรือไม่ แต่เมื่อลูกค้าคนนั้นกลายเป็นอาภรณ์ เพื่อนที่เติบโตมาด้วยพื้นฐานใกล้เคียงกัน เขาก็เต็มใจที่จะออกแบบให้สุดความสามารถ

ก่อนหน้านี้อาภรณ์อาศัยอยู่ในบ้านจัดสรร แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปถึงจุดเริ่มต้น บ้านของเด็กชายอาภรณ์อยู่ริมทะเลน้อย ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืด เขาจึงคลุกคลีกับการเล่นน้ำ ลงเรือ หาปลา ทำนาริมทะเลสาบ เลี้ยงควาย บางทีก็ขึ้นไปเล่นบนภูเขาทางอำเภอควนขนุน
บ้านในตอนนั้นเป็นบ้านไม้ในแบบฉบับของชุมชนทะเลน้อยที่มีเสาสูง เนื่องจากเมื่อฤดูน้ำหลากมาถึง น้ำจะต้องท่วมถึง 2 เมตร
“เราคิดถึงบ้าน ผูกพันกับบ้านมาก แต่โอกาสที่เราจะได้กลับไปอยู่บ้านเกิดน่าจะน้อย เพราะต้องอยู่กับลูกกับหลาน ก็เลยบอกพี่สุริยะไปว่า อยากสร้างบ้านที่มีบรรยากาศบางส่วนบางมุมให้รู้สึกเหมือนอยู่ที่ทะเลน้อย อยู่ติดกับน้ำ ติดกับดิน มีวัวมีควาย”
เมื่อสุริยะได้รับบรีฟจากเพื่อน เขาก็คิดสะระตะแล้วออกแบบให้บ้านหลังนี้มี ‘ความเป็นชนบท’ แบบที่ทั้งคู่เติบโตมา ผสมกับความโดดเด่นของ ‘งานก่อสร้าง’ ที่เป็นอาชีพตอนโตของอาภรณ์
“พี่บอกพี่สุริยะตลอดว่า ออกแบบให้เต็มที่เลย ไม่ต้องห่วง พี่ก่อสร้างได้ตามที่ออกแบบ” ผู้รับเหมาว่า
แล้วโปรเจกต์ความร่วมมือของสองเด็กทะเลน้อย ผู้โตมาทำคนละตำแหน่งในสายงานก่อสร้าง ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

บ้าน 1 หลัง กับช่าง 300 คน
ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวขนาดกลาง อาภรณ์มีลูก ๆ 3 คนที่เรียนมัธยมคนหนึ่ง เรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เรียนจบแล้วคนหนึ่ง จึงออกมาเป็นบ้าน 4 ชั้น
ชั้นล่างสุดเรียกว่า ‘ใต้ถุน’ ตามความเคยชินของคนทะเลน้อย มีพื้นที่จอดรถและพื้นที่เก็บของ
ชั้น 2 เป็นห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องครัว และห้องนอน 1 ห้อง
ชั้น 3 เป็นห้องนอนทั้งหมดอีก 4 ห้อง 4 มุม
และชั้น 4 เป็นห้องพักผ่อนสบาย ๆ สำหรับแขกคนพิเศษ ซึ่งเห็นวิวกว้างใกล้กว่าทุกส่วนของบ้าน

อย่างที่เราเกริ่นไปตั้งแต่ต้น ความพิเศษไม่เหมือนใครของบ้าน Lotus Residence หลังนี้ คือการเป็นพื้นที่ฝึกวิทยายุทธของช่างมากหน้าหลายตา
บริษัทของอาภรณ์เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง หากเขาจะขอให้ช่างก่อสร้างมาทำบ้านของตัวเอง งานบ้านลูกค้าก็จะต้องหยุดชะงัก เขาจึงตัดสินใจหาคนงานใหม่ยกเซต มีทั้งคนไทยและต่างชาติปะปนกัน
“เวลาเขาเข้ามาใหม่ก็ยังทำงานไม่ค่อยได้ใช่มั้ยครับ พี่ก็ใช้บ้านพี่ให้เขามาฝึกทำงานเป็นที่แรก พอเริ่มทำเป็น ประมาณ 5 เดือน ก็พาไปทำให้โครงการของลูกค้า แล้วรับคนใหม่เข้ามาทำบ้านพี่ต่อ ช่วงที่ต้องย้ายคน งานก็ต้องชะลอ หรือถ้าโครงการของลูกค้ากำลังเร่ง พี่ก็ต้องให้คนงานที่บ้านไปทำทางนู้นก่อน จากที่คิดว่าประมาณ 3 ปี น่าจะเสร็จ ก็กลายเป็น 5 – 6 ปี”
5 – 6 ปีเลยเหรอ – เราถามด้วยความตกใจ แปลว่าโปรเจกต์บ้านนี้เริ่มตั้งแต่ลูก ๆ ยังเด็กอยู่เลย
“ใช่ พี่ฝึกคนงานไปไม่ต่ำกว่า 300 คน”
วิธีการฝึกช่างที่อาภรณ์เล่า คือตัวเขาเองนี่แหละที่ลงไปสอนเอง และมีโฟร์แมนคอยดูความเรียบร้อย
แม้จะเรียนมาทางช่างไฟฟ้า แต่ถ้าว่ากันด้วยเรื่องก่อสร้าง อาภรณ์ทำได้ทุกอย่าง เขาเป็น Handy Man ขนานแท้ เพราะโตมากับครอบครัวที่ทำงานด้วยมือเก่ง ทำนา หาปลา ตอกไม้ ตัดผม ไปจนถึงเย็บผ้า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อคล้ายผู้หญิงของอาภรณ์ คุณพ่อของเขาเคยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อ ‘ประดิษฐ์อาภรณ์’ มาก่อน
ทำไมถึงกล้ารับคนไม่ชำนาญมาทำบ้านตัวเอง – เราถามต่อด้วยความข้องใจ ถ้าเป็นคนทั่วไป ยังไงก็น่าจะอยากได้ช่างที่ดีที่สุดสำหรับบ้านของตัวเอง
“พี่มั่นใจว่าควบคุมได้ ถ้าใช้คนของพี่แล้วคุมเอง น่าจะออกมาดีได้” เขาว่าแบบนั้น
จากงานทั้งหมดที่มี อาภรณ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คืองานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม และงานศิลปะ โดยเขามองว่าส่วนโครงสร้างไม่ใช่เรื่องยาก แต่งานสถาปัตยกรรมจะต้องใช้งานฝีมือที่มีคุณภาพ เขาจึงสอนเองทั้งงานก่อ งานสี และสุดท้ายก็คืองานศิลปะ อย่างงานเหล็ก งานบันไดวน อาภรณ์สอนเองตั้งแต่ใช้เครื่องมือจนออกมาสมบูรณ์สวยงามเลยทีเดียว
บันไดวน ซุ้มโค้ง ราวบันได คือ 3 อย่างในบ้านที่เขาว่าปราบเซียน ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ก็ถือว่าเลเวลอัป
นอกจากสุริยะแล้ว บ้านนี้ยังมีอินทีเรียคนสำคัญอย่าง วี-วิภาวี คุณาวิชยานนท์ จาก Design for Disasters (D4D) ที่สุริยะชวนมาร่วมสนุกด้วย ซึ่งงานของวีก็ไม่ใช่การตกแต่งภายในทั่วไป แต่มีการตีความใหม่ ออกแบบใหม่ ขึ้นโมเดลใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่งาน Built-in ไปจนถึงราวบันได
ตามชื่อ Lotus Residence ลูกกรงราวกันตกที่เป็นซี่ ๆ ของบันได วีออกแบบให้เป็นต้นบัวอันเป็นสัญลักษณ์ของทะเลน้อย โดยนำไม้สักไปกลึงทีละท่อน หากยืนดูภาพรวมตั้งแต่ชั้น 1 2 3 4 จะเห็นเป็นรากบัว ต้นบัว ดอกบัว ครบจบ
นับว่าเป็นการตั้งใจคราฟต์ให้บ้านหลังนี้สื่อถึงบ้านเกิดได้อย่างละเมียดละไม


เราคิดว่า Water Scape เป็นสิ่งที่เตะตาที่สุดของบ้านนี้
ด้วยความคิดถึงบ้านเกิด อยากจะให้บ้านใหม่อยู่ใกล้น้ำของอาภรณ์ สุริยะจึงออกแบบให้น้ำล้อมบ้านเกือบครบ 4 ด้าน (มีด้านหลังเล็กน้อยที่ไม่เป็นน้ำ เนื่องจากเหตุผลทางฮวงจุ้ย) แล้วทำให้น้ำทะลุเข้ามาผสมผสานกับตัวบ้านด้วยสโลป กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ได้แยกกันเด็ดขาด
“เรามีพื้นที่น้ำเยอะมาก ดูผิวเผินนี่เหมือนแหล่งน้ำธรรมชาติเลยนะครับ” อาภรณ์กล่าว “ปลามาเองตามธรรมชาติเยอะมาก ทั้งปลานิล ปลาตะเพียน ปลาดุก พี่ก็เลยให้อาหารมันทุกเช้า แล้วก็มีเลี้ยงควายด้วย พี่ไปเอามาจากบ้านเกิด เคยได้ยิน ‘ควายน้ำทะเลน้อย’ ไหมครับ มันจะอยู่ในน้ำเลย”
ภาพ : เกตน์สิรี วงศ์วาร จาก art4d
ทั้งนี้ นอกจากสระน้ำสำหรับควาย ยังมีสระว่ายน้ำสำหรับคนด้วย โดยอินทีเรียสาวอย่างวีออกแบบการเรียงกระเบื้องโมเสกชิ้นเล็ก ๆ ให้เป็น ‘ลายเสื่อกระจูด’ ของขึ้นชื่อของทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง
ทำให้นอกจากจะคิดถึงบรรยากาศโดยรวมของทะเลน้อยแล้ว รายละเอียดเล็ก ๆ ในบ้านหลังนี้ยังพาให้คิดไปถึงภูมิปัญญาและของใช้ประจำท้องถิ่นด้วย
เหมือนฝันการช่าง
“เราคุยกันลึกซึ้ง ตรงไปตรงมา คุยแบบเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน แล้วก็เจาะลึกถึงความรู้สึกที่เจ้าของบ้านกับดีไซเนอร์ทั่ว ๆ ไปเขาไม่พูดถึง ตั้งแต่เรื่องราวตอนเด็ก ๆ มาจนถึงตอนโต คนอื่นอาจจะดูว่าบ้านของพี่มันธรรมดา แต่พี่สุริยะกับพี่มองว่าแต่ละจุดที่เราคิดมาจาก ‘จิตใต้สำนึก’ ของเราที่รวบรวมออกมาให้เป็นบ้าน”
อาภรณ์บอกว่า เขาอินกับความเป็นทะเลน้อยมาก เขาเกิดที่นั่น โตที่นั่น และนึกถึงตลอดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และโชคดีที่สุริยะ เพื่อนวัยเด็กที่มาเจอกันตอนโตคนนี้ก็อินกับความเป็นทะเลน้อยไม่ต่างจากเขา
ถึงจะสร้างบ้านให้เหมือนกับที่บ้านเกิดเลยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ระลึกถึงความทรงจำอันมีค่าเหล่านั้น “เราเคยโตมาจากน้ำ จากทะเล มีบัว มีควาย” เขาว่า
สำหรับเด็กกรุงเทพฯ ที่อยู่แต่ในตึกอย่างเรา ฟังคนเล่าถึงความผูกพันกับธรรมชาติแบบนั้นก็อดอิจฉาไม่ได้
“พี่ไม่ได้มองว่าบ้านหลังนี้ใหญ่โตอะไร ทุกวันนี้เวลาเห็นบ้านก็นึกถึงแต่ว่าเกิดมาจากพี่ยะ พี่วี และตัวพี่ที่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา เหมือนเป็นสัญลักษณ์แทนจิตใจเลยนะครับ”
ถึงลูก ๆ จะชอบออกไปเที่ยวข้างนอก แต่อาภรณ์เป็นคนติดบ้าน จึงใช้เวลามีความสุขกับบ้านเยอะกว่าคนอื่น และมุมโปรดที่สุดของอาภรณ์ก็คือราวบันไดต้นบัวที่วีออกแบบไว้ให้นั่นเอง
“รู้สึกดีที่ได้ช่วยบริษัทของตัวเองในการฝึกคนงาน หลายคนก็บอกว่าช่างชุดนี้มีระเบียบวินัยดี แล้วตัวคนงานเองเขาก็จะได้มีทักษะติดตัวด้วย บางคนเป็นคนลาว พี่ให้ทำงานไม้ เขาก็กลับไปเปิดร้านทำไม้ที่บ้าน”
รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เพื่อนวัยเด็กมาเป็นสถาปนิก – เราถามคำถามสุดท้าย
“เหมือนฝัน” เขาตอบทันที
“พอพี่เริ่มมีเงินก็อยากสร้างบ้าน แต่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าสร้าง เพราะมองว่าสถาปนิกทั่วไปไม่น่าจะทำตามความต้องการของเราได้ พอมาเจอพี่สุริยะ เหมือนสวรรค์มาโปรดเลย ฝันจะได้เป็นจริงสักที
“พี่มั่นใจว่าพี่สุริยะจะตอบโจทย์พี่ได้ครับ”
