‘ดาดฟ้า’ ภาพแรกที่นึกถึงเมื่อได้ยินคำนี้คือพื้นที่โล่งชั้นบนสุดของตึกสูง ซึ่งสามารถมองเห็นวิวอาคารคอนกรีตขนาดยักษ์เรียงตัวกันอย่างหนาแน่นในเมืองใหญ่ แต่ ‘ดาดฟ้า’ ตรงหน้าฉันกลับแตกต่างจากภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง สิ่งปลูกสร้างความสูงสองชั้นตั้งอยู่อย่างสบายๆ บนพื้นที่ 5 ไร่ มีสวนเล็กๆ และต้นไม้แทรกตัวอยู่ตามโครงเหล็กอย่างกลมกลืน
“แถวนี้มีตลาดเยอะ ตรงนี้เราก็อยากเป็นตลาดเหมือนกัน แต่เป็นตลาดอีกแบบที่เปิดสำหรับคนทุกระดับ รวมอะไรที่มีคุณภาพ”
คุณนุ้ย-กนกอร บุญทวีกิจ อธิบายคอนเซปต์ของ ‘ดาดฟ้า (Dadfa)’ โครงการ Market Park บนถนนสุขุมวิท 105 (ลาซาล) แม้ว่า ‘ดาดฟ้า’ จะเป็นทำเลทองอยู่ติดถนนและไม่ไกลจากรถไฟฟ้า แต่คุณนุ้ยตัดสินใจทำธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ด้วยการเติมสีเขียวและพื้นที่เพื่อสุขภาพให้ย่านชุมชนที่เต็มไปด้วยที่อยู่อาศัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘ความรัก’
รัก (ษ์) โลก
ท่ามกลางเมืองกรุงที่ตึกสูงรถราแน่นขนัด อยากให้คุณลองพักระบายสีเขียวให้หัวใจ แวะมาสูดโอโซนให้เต็มปอด ใต้ร่มไม้ใน ‘ดาดฟ้า’ แห่งนี้ดูสักครั้ง
“ถ้าทำคอนโดฯ ก็สบายแล้ว ไม่ต้องเหนื่อย แต่เราคิดว่าถ้ามีที่ที่คนมาแล้วสบายใจ มาแล้วมีความสุข ก็คงจะดี เลยเป็นที่มาของตลาดที่ทำให้เราพออยู่ได้ แต่ได้ทำอะไรที่มีความสุข เราอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนปอดของชุมชนย่านลาซาล เป็นโอเอซิสของพื้นที่แถวบางนา ศรีนครินทร์ ซึ่งไม่มีสถานที่แบบนี้แน่นอน บางคนอาจจะไม่ต้องเข้าร้านอาหาร แต่มานั่งเล่นได้ ไม่ต้องเสียตังค์”
คุณนุ้ยเล่าด้วยรอยยิ้ม
เดิมพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นตลาดที่ครอบครัวของคุณนุ้ยให้พ่อค้าแม่ค้าเช่าโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 15 ปี หลังจากเปลี่ยนมาเป็น ‘ดาดฟ้า’ ตลาดเดิมจึงย้ายไปอยู่บริเวณด้านข้างของโครงการ
แนวคิดของ ‘ดาดฟ้า’ เกิดจากการเห็นปัญหาของพื้นที่โดยรอบซึ่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดสด แทบไม่มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะ บวกกับการเป็นคนชอบกิน ชอบเที่ยว รักธรรมชาติ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณนุ้ยพัฒนาพื้นที่ 5 ไร่ให้เหมือนสวนสาธารณะ ซึ่งมีพื้นที่สีเขียวถึง 3 ใน 4 ของโครงการ เพื่อให้ผู้คนในเมืองอันเร่งรีบได้มาใช้ชีวิตช้าๆ และใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ คุณนุ้ยกำลังวางแผนให้มีโครงการ Zero-waste แบบตะกร้าเดียวเที่ยวทั่วงาน ซึ่งจะมีนโยบายให้ร้านค้าลดราคาสำหรับลูกค้าเอาภาชนะมาใส่เองอีกด้วย
รักสุขภาพ
โจทย์ของแต่ละร้านที่นี่คือ ต้องมีดีทั้ง ‘สุขภาพ’ และ ‘คุณภาพ’
โดยชั้นแรกจะมีร้านอาหาร 2 ร้านคือ ร้านโอ้กะจู๋และร้านฟาร์ม-มุ ร้านสมูธตี้ 1 ร้าน คือร้านกราฟฟิตี้ ส่วนชั้นสองจะมีร้านปันฟาร์มสุข มาพร้อมกับฟาร์มปลูกผักเล็กๆ ข้างครัวกระจกขนาดกะทัดรัด ส่วนใครที่รักการออกกำลังกาย ชั้นนี้จะมีโยคะคาเฟ่ ซึ่งเป็นโยคะแบบ Open-air โดยเจ้าของชาวฟินแลนด์ และ The Fitness ฟิตเนสขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้คนที่ต้องการมาออกกำลังกายหรือใช้เวลาคุณภาพที่นี่
แม้ว่าจำนวนร้านจะมีไม่ไม่มากนัก เพื่อให้ดูแลได้อย่างทั่วถึง แต่การคัดสรรแต่ละร้านเข้ามาอยู่ในโครงการแทบจะเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด เพราะต้องเลือกร้านที่มีคุณภาพ มีแนวคิดใกล้เคียงกัน และไม่ใช่ร้านยอดฮิตจากห้างสรรพสินค้า เพราะคุณนุ้ยมองว่า การเข้าไปในคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไปหรือห้างสรรพสินค้าต้องเจออะไรซ้ำๆ ขณะที่บางร้านแม้จะอยู่นอกห้างและเดินทางไกล แต่คนก็เลือกที่จะไป เพราะมีคุณภาพและบรรยากาศดี
นอกจากนี้ที่นี่ยังใกล้กับโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง มีหมู่บ้านใหญ่ๆ แต่เวลาพักผ่อนต้องเดินทางไปห้างที่ทองหล่อหรือเอกมัย ซึ่งอยู่ไกลและเดินทางลำบาก
เมื่อเห็นช่องว่างทางธุรกิจซึ่งยังไม่มีอะไรมารองรับความต้องการของคนในระดับกลางหรือระดับบนในย่านนี้ คุณนุ้ยจึงแบ่งพื้นที่ขาย 1,600 ตารางเมตร จากพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เลือกสรรแต่ละร้านมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาหารเพื่อสุขภาพ ปลอดสารพิษ แม้กระทั่งอาหารมังสวิรัติ แต่จะไม่มีไม่มีซูเปอร์มาร์เก็ตและธนาคารต่างๆ โดยคุณนุ้ยให้เหตุผลว่า สิ่งเหล่านี้สามารถหาได้ตามห้างใหญ่ๆ ทั่วไป และอยากให้คนมาที่นี่เพื่อมาเสพความเป็นไลฟ์สไตล์ และเป็นสถานที่พักผ่อนที่ไม่ใช่ห้าง
รักออกแบบได้
‘ดาดฟ้า’ เป็นแบบอย่างของอาคารที่เด็กสถาปัตย์ต้องไม่พลาดที่จะมาเยี่ยมชม เนื่องจากคุณนุ้ยเป็นคนรักธรรมชาติ จุดเด่นของที่นี่จึงเป็นการผสมผสาน การออกแบบที่สวยงามและความยั่งยืนเข้าด้วยกัน
โครงสร้างของตัวอาคารเป็นแบบ Architecture Landscape พื้นแต่ละฝั่งความสูงไม่เท่ากัน ออกแบบแต่ละอย่างให้มีประโยชน์ใช้สอยได้หลากหลาย ใช้วัสดุที่ดี และเน้นการปล่อยให้ธรรมชาติออกแบบความงามด้วยตัวเอง
“จะปล่อยให้เป็นสนิมเนียนเท่ากันหมด เราค่อยพ่นเคลือบกันสนิม สังเกตว่าที่นี่จะไม่ค่อยฉาบหรือทาสีถ้าไม่จำเป็น อย่างผนังก็ไม่มีสี แต่ว่าเราจะใช้แกลบดำผสมเพื่อให้มีความเป็นชั้นดิน ที่นี่ยิ่งเก่า ยิ่งตะไคร่เกาะ ยิ่งสวย เรามองความยั่งยืน ไม่อยากเป็นเหมือนห้างที่ครบ 5 – 6 ปีต้องมาทาสีรีโนเวตใหม่ เลยให้โจทย์สถาปนิกไปว่า ยิ่งเก่า ยิ่งสวย ยิ่งคลาสสิก เลยออกมาเป็นลักษณะ ‘สัจจะวัสดุ’ ไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก ปล่อยธรรมชาติทำให้มันสวยขึ้นไปเอง”
แม้พื้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่โครงสร้างบางอย่าง เช่น โครงสร้างแบบหน้าจั่ว และหลังคาซึ่งยังคงให้ความรู้สึกเหมือนหลังคาตลาด เพื่อให้กลมกลืนกับชุมชน และยังออกแบบโดยคำนึงถึงปัญหาของชุมชนโดยรอบ เช่น มีปั๊มน้ำระบายน้ำเข้ามาข้างใน เพราะน้ำมักจะท่วมถนนด้านข้างโครงการนี้อยู่บ่อยๆ
รักคือการให้
ผนังเปล่าบางส่วนในอาคารยังเฝ้ารอการเติมเต็มจากผู้คนที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน แต่ไม่มีพื้นที่สำหรับจัดแสดง โดยเฉพาะเด็กๆ และศิลปินอิสระ คุณนุ้ยเล่าว่า เฉพาะในลาซาล แบริ่ง มีโรงเรียนอยู่ถึง 13 แห่ง จึงอยากสนับสนุนพื้นที่ตรงนี้สำหรับจัดแสดงผลงานของเด็กๆ และยังเป็นที่ ‘ปล่อยของ’ ให้กับคนทั่วไปและศิลปินรุ่นใหม่
“ศิลปินเดี๋ยวนี้ทำงานดีๆ เยอะแต่ไม่มีที่ปล่อยของ เราชอบงานศิลปะ เหมือนเป็นความสุขของเรา ถ้าทำธุรกิจแล้วมีแพสชันกับอะไร มันจะยั่งยืน แต่ถ้าเรามาด้วยการกดตัวเลขอย่างเดียว ก็คงอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีพลังงานที่จะทำให้ดี”
คุณนุ้ยกล่าวเมื่อพูดคุยถึงหนึ่งในงานที่เหล่าศิลปินอิสระได้มา ‘ปล่อยของ’ งานแรกของที่นี่ ในวันที่ 30 มิถุนายน และวันที่ 1 กรกรฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยทีมงาน Noise Market ในชื่อใหม่คือ Norm Market จากแนวคิดการริเริ่มทำความชอบให้เป็นเรื่องปกติ และยังคงมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ทั้งฉายหนัง วงดนตรี ผลงานศิลปะ สินค้าที่ดีต่อโลกและดีต่อใจ เพื่อให้ให้ศิลปินอิสระหรือผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์ได้มีพื้นที่สำหรับเผยแพร่และจัดแสดงผลงาน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ร้านโอ้กะจู๋เชิญชวนคุณนุ้ย เกี่ยวกับการให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ปลูกผักอินทรีย์ส่งมาที่นี่แลกกับทุนการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งที่ตอบโจทย์ตรงใจคุณนุ้ยเรื่องพื้นที่ที่สนับสนุนด้านศึกษาอีกด้วย
Market Park แห่งนี้จึงเป็นมากกว่าธุรกิจและสวนสาธารณะ เพราะสำหรับฉันโครงการ ‘ดาดฟ้า’ เหมือนต้นความฝันของคุณนุ้ย ที่กำลังรดน้ำพรวนดินอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย ‘ความรัก’ และฉันเป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอชื่นชมดอกผลจากต้นฝันที่บรรจงปลูกมันด้วยความรักในพื้นที่ของโครงการ ‘ดาดฟ้า’ แห่งนี้