ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เชื่อว่าสายตาของคุณต้องได้เห็นตัวอักษรที่ออกแบบโดยบริษัท คัดสรร ดีมาก ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านป้ายโฆษณามากมายในรถไฟฟ้าและสองฝั่งถนน ชื่ออาคารเก่า ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าใหม่ทันสมัย บทความในหนังสือหรือนิตยสารเล่มโปรด รวมถึงตัวอักษรจำนวนมหาศาลที่ปรากฏบนจอสมาร์ทโฟน
ใช่, ตัวอักษรที่คุณกำลังอ่านในเว็บของเราขณะนี้ก็ด้วย
บ่ายนี้เรามีนัดไปเยี่ยมชมออฟฟิศใหม่เอี่ยมบนตึกสูงของ ‘คัดสรร ดีมาก’ บริษัทออกแบบฟอนต์รุ่นเก๋าในวงการ จุดนัดพบของเราคือ ภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ ย่านพร้อมพงษ์ ที่รายล้อมไปด้วยความทันสมัย บรรยากาศของความเป็นเมืองที่ไม่หยุดนิ่งกับอาชีพนักออกแบบช่างดูเข้ากันดีเหลือเกิน
เรารีบขึ้นลิฟต์ตรงไปชั้น 22
บนตึกสูงใจกลางเมืองเช่นนี้หลายออฟฟิศเลือกใช้งานพื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ ‘คัดสรร ดีมาก’ กลับเลือกที่จะสร้างความเป็นส่วนตัวก่อนถึงประตูทางเข้าด้วยทางเดินทอดยาวระยะหนึ่ง-ยาวพอที่จะเป็นเส้นนำสายตาให้แวะทักทายกับเหล่าตัวอักษรน้อยใหญ่บนพื้นและผืนผนังที่รอกล่าวต้อนรับเรา ก่อนเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน
ธรรมดาเป็นพิเศษ
ไม่แปลก หากคุณกำลังจินตนาการว่าออฟฟิศของนักออกแบบจะต้องมีดีไซน์โดดเด่น หวือหวา เต็มไปด้วยคอนเซปต์เท่ๆ เหมือนออฟฟิศในฝันนั้น แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
สำนักงานตรงหน้านั้นดีไซน์เรียบง่าย ธรรมดาแต่น่าอยู่ อยู่แล้วสบายใจ และมีฟังก์ชันที่เอื้อต่อการใช้งานได้ตรงตามความต้องการ
เรากวาดสายตาไปทั่วภายใต้ออฟฟิศสีขาวที่ไม่แค่สะอาดตาเท่านั้น แต่ยังเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่อวาน ภายในห้องขนาดพอเหมาะนี้มีการแบ่งสัดส่วนอย่างพอดี โปร่งโล่งด้วยกระจกใสที่กรุอยู่รอบด้าน พร้อมแสงธรรมชาติที่ส่องสว่างเข้ามาให้ห้องโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ กับการเติมลูกเล่นให้พื้นที่ด้วยการหยอดแม่สีสนุกๆ อย่างกำแพงสีแดงเข้มด้านในสุดและในห้องประชุมเล็ก นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้แชร์สเปซกันด้วยโซฟาชิ้นโต โทนสีน้ำเงินเหลือง พร้อมของตกแต่งน้อยชิ้นที่สร้างคาแรกเตอร์และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทตามมุมต่างๆ ถ้าจะบอกว่า เรียบแต่โก้ โชว์น้อยแต่ได้มาก ก็คงไม่ผิดนัก
“เราพยายามเป็นพิเศษเพื่อให้มันธรรมดาเหมือนเป็นวิธีการทำงานของเรา เหมือนเวลาที่เราทำงานดีไซน์ บางอย่างมันต้องพยายามเป็นพิเศษที่ให้มันดูธรรมดา ผมเชื่อว่าอะไรให้มันดูเหมือนง่ายๆ จริงๆ แล้วมันมีกระบวนการมากที่จะทำให้มันออกมาดูง่ายและจับใจ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฟังก์ชันของคนใช้งาน มีความปลอดโปร่ง เพราะฟังก์ชันที่ดีจะช่วยให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยไม่ลืมที่บอกเล่าตัวตนของเราเข้าไปในออฟฟิศด้วย”
คุณนุ-อนุทิน วงศ์สรรคกร และ คุณป่าน-พงศ์ธร หิรัญพฤกษ์ สองตัวแทนผู้ก่อตั้งบริษัท คัดสรร ดีมาก จำกัด เปรยคอนเซปต์ที่มาของออฟฟิศใหม่แห่งนี้ หลังเลือกย้ายจากตึกคาอูลิน อาคารเรโทรยุคเก๋า ที่อยู่กันมากว่า 15 ปี ก่อนเริ่มเข้าสู่ปีที่ 16 พร้อมขยับเข้าสู่ใจกลางเมือง ด้วยเชื่อเหลือเกินว่า การย้ายบ้านใหม่ในครั้งนี้จะรีเฟรชทัศนคติและวิธีการทำงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคต
ที่ใหม่ แต่ใจดวงเดิม
ย้อนกลับไปก่อนที่เราจะมานั่งคุยกันตรงนี้ เดิมทีออฟฟิศของบริษัท คัดสรร ดีมาก อยู่ที่ตึกคาอูลิน
ที่นั่นเคยเป็นโรงงานยาเก่า ห้องที่เริ่มทำธุรกิจจึงเป็นห้องแล็บปรุงยา ก่อนขยายพื้นที่ออกไปเท่าที่จะเป็นไปได้ตามครอบครัวทีมงานที่ขยายขึ้น และด้วยความที่เป็นคนชอบสเปซเยอะๆ ด้วยกันทั้งคู่ และเชื่อในเรื่องของสเปซที่ทำงาน ทำให้มีผลกับงานที่ทำออกมา ทำให้โต๊ะทำงานเดิมนั้นมีขนาดกว้างและมีพาร์ทิชันกั้น กว้างพอที่จะให้ทุกคนมีพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่ต้องคุยกับใครเลยก็ได้ และจมหายเข้าไปในเวิร์กสเปซของตัวเอง ซึ่งมีข้อดีตรงที่ว่าทุกคนมีสมาธิในการทำงาน แต่นั่นก็ทำให้คนที่มีโลกส่วนตัวอยู่แล้วเขาก็ยิ่งมีโลกส่วนตัวไปเข้าไปอีก
สิ่งที่เขาเชื่อว่ามีผลกับงานที่ทำอีกอย่างหนึ่งคือ บรรยากาศที่พร้อมดีไซน์อยู่เสมอ
การทำให้ออฟฟิศน่าอยู่นอกจากการแบ่งสัดส่วนในการใช้พื้นที่แล้ว การสร้างข้อตกลงและวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกัน ผ่านความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ค่อยๆ ให้ทุกคนปรับจูนเข้าหากัน อย่างการรักษาความสะอาดและการจัดระเบียบของให้เข้าที่ เพื่อให้อยู่ในโหมดที่พร้อมดีไซน์ตลอดเวลาด้วย
“การที่ทุกคนมีระเบียบ ไม่ทำออฟฟิศรก เก็บของเข้าที่ทุกครั้งทุกวัน พอมาทำงานในวันใหม่ เหมือนมันพร้อมให้เราเริ่มต้นทำงานด้วยความสดชื่น อันดับแรกมาเมื่อถึงโต๊ะ โต๊ะมันเรียบร้อย ต้อนรับเรา พอเปิดมาหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เป็นระเบียบ เปิดโฟล์เดอร์ปุ๊บก็หาทุกอย่างเจอ เราเชื่อว่าการประหยัดเวลาหาของนั้นเอามารวมกันได้เยอะ เมื่อพื้นที่มันเป็นระเบียบอยู่แล้ว เขาก็ไม่อยากไปทำให้มันรก เหมือนให้สเปซมันก็พูดแทนเราว่า คุณต้องเก็บของเข้าที่นะ
และยังทำให้ออฟฟิศมันดูใหม่เอี่ยมตลอดเวลา เมื่อเรามาก็เหมือนได้มาที่ใหม่เสมอ เหมือนเวลาไปโรงแรมเปิดเข้ามาห้อง มันพร้อม เรียบร้อยเชิญชวนให้น่าเข้าไปนอน นั่นมันก็เป็นปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้มีผลในด้านการทำงาน ด้านจิตใจ และวิธีคิดอย่างเป็นระบบ” คุณป่านอธิบาย
เมื่อที่เก่าใกล้จะหมดสัญญาลง ทั้งคู่ก็เริ่มมองหาบ้านหลังใหม่ โชคชะตาเป็นใจให้ได้มาพบกับห้องหัวมุมขนาดเล็กลงมากกว่าเท่าตัว แต่บรรยากาศดีแห่งนี้
Everything is on cloud
คนส่วนมากเมื่อธุรกิจขยายตัว ทีมงานมากขึ้น ก็อยากให้ออฟฟิศใหญ่ขึ้นๆ แต่ทำไมที่นี่ถึงทำให้เล็กลง เราสงสัย
“จริงๆ แล้วต้องมองว่าสิ่งที่เราแคร์คือ ประสิทธิภาพในการทำงาน เรื่องขนาดของพื้นที่ไม่ใช่ประโยชน์ที่จำเป็น สิ่งที่โอบกอดทุกคนในสภาพแวดล้อมใหม่ คือเรื่องบรรยากาศที่มันเป็นเมืองมากขึ้น ทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆ มากขึ้น อยู่ตรงนี้มันเป็นที่ที่มีการทำธุรกิจ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องดีของคนทำดีไซน์ด้วยซ้ำ ที่จะได้เห็นว่าอะไรมันกำลัง Going On อยู่รอบตัวในตอนนี้บ้าง
“หลังจากย้ายมาออฟฟิศใหม่ เราก็อยากจะได้วัฒนธรรมแบบเดิม แต่อยากปรับเปลี่ยนให้ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ทีนี้โจทย์มันก็มาเข้ากับพื้นที่พอดี พอย้ายมาออฟฟิศใหม่มันก็เหมือนกับที่เราเข้าไปทำงานที่เก่าในตอนแรก ที่ที่มันเคยเป็นสเปซใหม่ เราก็สร้างวัฒนธรรมให้มันสอดคล้องกับพื้นที่ พอมาอยู่ตึกสูงพื้นที่แคบลง สมาธิในการทำงานมันก็อาจจะน้อยลง เพราะทุกคนแชร์สเปซกันมากขึ้น และพูดคุยมากขึ้น
“อย่างที่เห็นที่นี่เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว เนื่องจากเราทำงานเป็นระบบ คิดแบบมีเหตุและผล มันเลยช่วยลงผลต่อพื้นที่ เราก็เคยคุยกันว่าถ้าอยู่แบบนี้พื้นที่น้อยลงนะ อาจจะต้องเอาใจไปวางที่อื่นที่รอบๆ ซึ่งมันเยอะมากและ บรรยากาศทั้งหมดมันเสริมสร้างทัศนคติใหม่ๆ คือที่นี่มันค่อนข้างทันสมัย มันก็คอนทราสต์กันกับโรงงานยาเก่า ซึ่งทุกคนก็ชอบแบบนี้” คุณนุตอบคำถามเราก่อนชวนให้เดินไปดูบรรยากาศรอบๆ และฉากหลังม่านสีขาว รายล้อมไปด้วยตึกสูง ห้างสรรพสินค้าในอาณาจักร The Em District ทั้ง 3 ห้าง และมองเห็นบรรยากาศสีเขียวสดชื่นจากสวนเบญจสิริที่อยู่ใกล้ๆ อีกฝั่งถนน
นอกจากทัศนคติใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการโยกย้ายมาในบรรยากาศใหม่ๆแล้ว บนพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้เหมือนย้อนให้กลับไปเริ่มสร้างวัฒนธรรมใหม่อีกอย่างหนึ่งให้สัมพันธ์กับขนาดพื้นที่ นั่นก็คือเรื่องของออนไลน์ออฟฟิศที่ใช้ Cloud ในการทำงาน
“วิธีการทำงานบน Cloud ที่วางมาอย่างเป็นระบบทำให้ต้องรับผิดชอบงานของตัวเองมากขึ้น ลดการสื่อสารตัวต่อตัวในเรื่องการตามงาน ข้อดีที่เราไม่ต้องมานั่งเครียด ทวงงานตามจิกงาน เขาก็ผ่อนคลายกันมากขึ้น กลายเป็นว่าบทสนทนาใหม่ที่เกิดขึ้นเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระกัน”
“การทำงานบน Cloud ทำให้พื้นที่ทำงานยืดหยุ่นไปด้วย นั่นหมายความว่าบางทีเราก็ส่งงานกันทางอินเทอร์เน็ต ถ้าบางคนที่มีความรับผิดชอบและรักษาเวลา ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาออฟฟิศก็ได้ สอดคล้องกันไปกับเรื่องขนาดของพื้นที่ ซึ่งก็ตรงกับเป้าหมายในใจที่ปูทางไว้ เรื่องลดเวลาการทำงานในอนาคตให้เหลืออาทิตย์ละ 4 วัน แต่เราต้องค่อยๆ สร้างวินัยและความรับผิดชอบก่อน เพราะถ้าไม่มีวินัย เราโยนอิสระ อันนี้ลงไปปุ๊บมันก็พัง แต่ผมเชื่อว่าทุกคนมีประสิทธิภาพที่จะทำได้” คุณนุบอกกับเราอย่างนั้น ก่อนที่คุณป่านจะเสริม
“ระบบการทำงานออนไลน์ที่ได้ปูทางไว้ตอนนี้มันเวิร์กมาก แต่มันก็ตลกมากตรงที่พอเราใช้แพลตฟอร์มการทำงานสมัยใหม่กับทีมงาน เราเปิดโอกาสให้ไปลองทำงานตรงอื่นได้ ไม่ถือว่าขาดงาน แต่พอพื้นที่มันสบายใจทุกคนก็อยากมาที่ออฟฟิศ มีบางครั้งบางคนก็เจอรถติดจริงๆ อาจจะแวะนั่งทำงานที่อื่นก่อนแล้วส่งข่าวมาบอก และสามารถเลือกลงไปทำงานที่ร้านคาเฟ่ด้านล่างของทั้ง 2 ห้าง หรือที่ AIS DC ก็ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของขนาดของห้องจะไม่เป็นอุปสรรคอีกแล้ว เพราะมีระบบการทำงานที่ซัพพอร์ต เมื่อเราให้อิสระกับทีมงาน จิตใจก็ฟรีไปด้วย เพราะไม่รู้สึกว่าถูกกักขัง ทำให้ทำงานสนุก และยังสอดคล้องกับพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ด้วย”
ใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือคนใหม่
ด้วยการวิธีการทำงานที่ดูเหมือนเอื้อกับคนรุ่นใหม่มากขนาดนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าที่นี่จะมีแต่เด็กใหม่ไฟแรงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่แห่งนี้ผสมผสานผู้คนหลายเจนเนอเรชัน ตั้งแต่อายุหลัก 40 ปี 30 ปี และ 20 กว่าปี ซึ่งทุกคนสามารถปรับการทำงานเข้าหากันได้ดี ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย และใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์เพื่อช่วยให้ทำงานร่วมกันได้มากขึ้น
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทัศนคติของทุกคนเปลี่ยนไปอันนี้คือความสำเร็จ จากออฟฟิศเดิมที่มีความโฮมมี่ และแต่ละบริษัทในเครือก็มีห้องส่วนตัวของตัวเอง พอมาที่นี่เราอยากผลักให้ดีไซเนอร์เป็นคนทันโลก มีพลังสร้างสรรค์ มีความคิดเห็นใหม่ๆ เวลาไปที่คุยกับลูกค้า และด้วยตัวสถานที่ก็ช่วยเปลี่ยนความคิด ทัศนติ และบุคลิก ของคนทำงานได้ ซึ่งมีผลต่อการดำรงอยู่ต่อไปขององค์กรเช่นเดียวกัน
“สำหรับพื้นที่ก็ยังมีส่วนตัวเป็นของตัวเองอยู่เหมือนเดิมมีพาร์ทิชันกั้น ทุกคนไม่มีปัญหาในการเปิดโล่งเข้าหากัน เราโชคดีที่ทีมงานเคมีเข้ากันดีมากและอยู่ด้วยกันมาหลายปีมาก ไม่เคยมีปัญหากันเลย ข้อนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน”
สิ่งที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติและความเคยชินของคน แต่ทุกคนที่นี้ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วสิ่งที่ทุกคนเปลี่ยนไปจนสัมผัสได้เลยมีอะไรบ้างเราถามด้วยความอยากรู้
“พอมาอยู่ในตึกที่เป็นออฟฟิศบุคลิกก็เปลี่ยนไป เวลาก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างที่บอกเมื่อก่อนจะมีความสบายๆ เหมือนกับ บริษัทออกแบบทั่วๆ ไปที่เข้างาน 10 โมงครึ่งถึงอยู่กันเรื่อยๆ ถึงดึก มีความโคซี่ ให้ความรู้สึกไม่ต่างบ้าน ก็เลยไม่มีใครอยากกลับ และเสาร์-อาทิตย์ก็สามารถเข้ามาได้ เพราะมันเปิดแอร์เมื่อไหร่ก็ได้
“แต่ต้องบอกก่อนว่าการอยู่ดึกกับค้างออฟฟิศสำหรับเรามันต่างกันนะ เราไม่เคยสนับสนุนให้ค้างออฟฟิศเลย เราเน้นประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าเขาไม่ทำงานมีประสิทธิภาพในเวลาเขาก็จะมีเวลาไปอย่างอื่น อย่างที่นี่แอร์ตัดเวลา 6 โมงเย็น ตอนแรกเราคิดว่าจะเป็นปัญหา (จริงๆ มันก็ยังเย็นๆ ไปได้อีกหน่อย) แต่ทำให้ทีมงานเขาต้องกลับไปวางแผนการทำงาน เพราะพอ 1 ทุ่มมันก็จะไม่ค่อยทำงานได้อย่างสบายแล้ว ทำให้เขาก็ต้องนับถอยขึ้นไปว่า หากจะทำงานถึงทุ่ม 2 ทุ่ม ต้องทำอะไรให้เสร็จบ้างภายในวันนี้หรือภายในกี่โมง มันกลับกลายเป็นเรื่องดีนะ มันทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นอย่างที่เราต้องการ ซึ่งก็ใช้เวลาปรับกันนิดหน่อยไม่นาน เร็วกว่าที่คิดด้วยซ้ำ
“นี่คือการที่สถานที่ช่วยเปลี่ยนความเคยชินบางอย่าง เป็นข้อดีนะ เวลาทำงานมันก็จะอยู่ในตารางการทำงานของคนปกติ การทำงานกับลูกค้า เวลาทำงาน ก็สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราปรารถนา อย่างปกติถ้าดีลงานกันตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง เราดีลงานช้ากว่าเขา 2 ชั่วโมง มันอาจทำให้พลาดโอกาสได้หลายอย่าง” ฉันนั่งพยักหน้าหงึกๆ ตามประสาคนที่เคยทำงานในออฟฟิศนอกเมือง ก่อนย้ายเข้ามาใจกลางเมืองเช่นเดียวกัน
ก่อนเอ่ยคำร่ำลา เราสะดุดตากับทั้งโปสเตอร์และฟอนต์สามมิติสารพัดไซส์ที่วางในมุมต่างๆ อย่างพอดี
เชื่อหรือไม่ว่า ทั้งหมดที่เห็นนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาใหม่เพื่อตกแต่งออฟฟิศแต่อย่างใด ทุกชิ้นล้วนรียูสจากงานอีเวนต์ ของจากการเวิร์กช็อป และบางส่วนก็หยิบมาจากออฟฟิศเก่า อย่างฟอนต์รูปตัว T ชิ้นใหญ่ก็นำมาใช้แทนโพเดียมในห้องประชุม จริงอย่างที่คุณนุและคุณป่านบอกจริงๆ ว่า ของเก่าเหล่านี้ช่วยสร้างคาแรกเตอร์ให้บริษัทได้โดยที่ไม่ต้องพยายามเยอะเกินไปเลย