ในเทปสัมภาษณ์เรื่อง ‘อันจะกินวิลล่า‘ ของฉันมีเสียงนกร้องคลออยู่เบื้องหลัง และหากเครื่องบันทึกเทปเก็บสิ่งอื่นใดได้มากกว่าเสียง มันก็คงหอมกรุ่นกลิ่นอาหาร และอบอวลด้วยบรรยากาศน่าสบายเหมือนอยู่บ้าน
นั่นเพราะ ‘อันจะกินวิลล่า’ สถานที่ที่ฉันได้แวะเวียนไปและอยากกลับไปอีกเหลือเกิน คือบ้านหลังสวยที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นบ้านที่ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย แต่ยังเปิดประตูรับผู้คนให้แวะเวียนไปลิ้มรสอาหารฝีมือเจ้าของบ้าน ด้วยโควต้ากะทัดรัด 1 โต๊ะต่อวัน

พี่ก้อย-กนิษฐกา ลิมังกูร คือเจ้าของบ้านที่ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟ แต่ที่จริงแล้วพี่ก้อยเคยเป็นพนักงานบริษัทที่หลงใหลการเข้าครัวทำอาหาร คือคนที่ลาออกไปเปิดร้านอาหารจริงจังที่เขาใหญ่ ก่อนจะกลับมาเปิดร้านอาหารชื่อ ‘อันจะกิน’ ที่ย่านสีลมมาก่อน จากนั้น ด้วยหลงรักเชียงใหม่เป็นทุนเดิม พี่ก้อยก็ย้ายถิ่นฐานขึ้นมาอยู่เชียงใหม่พร้อมคุณพ่อ ปักหลักที่ที่ดินซึ่งสวยและเงียบสงบ มี ‘ลำเหมือง’ หรือลำธารสายเล็กไหลผ่านข้างบ้าน พี่ก้อยสร้างบ้าน 2 ชั้นที่โล่งโปร่งน่าสบาย ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ จนร่มรื่น
และเมื่อความรักในอาหารยังคงอยู่ พี่ก้อยจึงคิดจะใช้เวลาหลังเกษียณตัวเองมาทำกิจการขนาดเล็กมากเกี่ยวกับอาหาร แต่แทนที่จะออกนอกบ้านไปทำร้านอาหาร พี่ก้อยเลือกต้อนรับคนเข้ามากินในบ้าน



“คนเราเวลามีบ้านก็ชอบอยู่บ้าน เพราะฉะนั้น เราก็ให้คนอื่นมากินข้าวบ้านเรา” พี่ก้อยอธิบาย ก่อนจะพูดถึงรูปแบบของอันจะกินวิลล่าที่ตั้งใจไว้ “จะเป็นแบบไหนล่ะ French Cuisine เหรอ Fine Dining เหรอ บ้านเราเป็นที่สบายๆ เก้าอี้โต๊ะทานข้าวฝั่งหนึ่งเป็นม้านั่งยาว เราก็เลยกลับมาที่ตัวเองว่า เราชอบกินอาหารแบบไหน เราชอบกินอาหารแบบปาร์ตี้ แล้วเราเป็นพวกร้องประสานเสียง ซึ่งก็จะนัดกินข้าวกันบ่อยๆ โดยเราเป็นคนทำกับข้าวเลี้ยงเพื่อน การทำอาหารเลี้ยงคนเป็นกลุ่มเลยเป็นสิ่งที่เราถนัด”
นั่นคือที่มาของร้านอาหารในบ้าน โดยมีคอนเซปต์คือ ‘วันละโต๊ะ’ อันเป็นขนาดที่กำลังดีสำหรับเธอ และกำหนดปริมาณคนในโต๊ะให้มีจำนวน 4 – 10 คน ในราคาคนละ 850 บาท เพื่อให้คนกินอาหารในบรรยากาศคึกคักและรื่นรมย์เหมือนจัดปาร์ตี้กับเพื่อน




หากคุณและมิตรสหายจองคิวมาลิ้มรสอาหารที่อันจะกินวิลล่า เมื่อเปิดประตูรั้วเข้ามา เดินตรงไปใกล้อีกไม่กี่ก้าว ก็จะได้กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของอาหารลอยมาแตะจมูก หลังเข้าไปในบ้าน จะเจอกับโต๊ะไม้ตัวยาวที่จัดอุปกรณ์การกินไว้สวยงาม คุณจะนั่งลงพูดคุยกับเพื่อนตรงนั้น หรือเดินไปหยิบหนังสือจากชั้นข้างโต๊ะ (แน่นอนว่าอัดแน่นด้วยตำราทำอาหาร) มานั่งอ่านบนโซฟาหรือบีนแบ็กใหญ่ใกล้โต๊ะยาวก็ย่อมได้
ส่วนใครที่รู้สึกว่ากลิ่นหอมยั่วใจเกินไป ถ้าเดินเลยจากส่วนห้องนั่งเล่นไปชะโงกหน้าตรงห้องครัว จะเจอพี่ก้อยและพี่ไพ แม่บ้านคู่ใจ กำลังเตรียมอาหารง่วนอยู่ พี่ก้อยถนัดทำอาหารฝรั่งจานใหญ่ยักษ์ และรสชาติชวนสบายใจแบบ Comfort Food ขนานแท้ แต่ใครอยากกินอาหารไทยก็บอกได้เช่นกัน คอร์สอาหาร 6 จานหลักแบบมาตรฐานประกอบด้วยซุป สลัด เมนคอร์สที่เป็นปลาและไก่หรือหมู (ถ้ารีเควสต์เนื้อหรือแกะก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมูลค่าของวัตถุดิบนั้น) พาสต้า ก่อนปิดท้ายด้วยขนมหวาน ทุกอย่างเน้นวัตถุดิบดีงามตามฤดูกาล สะอาด หลายอย่างเป็นอินทรีย์ และบางอย่างก็สดใหม่จากแปลงผักข้างตัวบ้าน เช่น ใบสะระแหน่ที่พี่ก้อยเด็ดมาทำซอสสะระแหน่กินคู่กับเนื้อแกะชุ่มฉ่ำ



อาหารจะค่อยๆ ทยอยกันมาเสิร์ฟ พร้อมกับคนทำจะบอกเล่าเรื่องราวอาหารแต่ละจานว่ามีที่มาจากไหน จากนั้นก็ถึงเวลาจ้วงช้อน ส้อม มีด หรือมือของคุณลงในจาน ชิมอาหารพร้อมพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัวในบรรยากาศเป็นกันเองและเป็นส่วนตัว และที่ขาดไม่ได้คือสนทนากับพี่ก้อย ซึ่งจะคอยดูแลคนมาเยี่ยมเยือนอย่างอบอุ่น
บางทีคุณอาจรู้สึกเหมือนนั่งกินอาหารจานอร่อยอย่างสบายใจในบ้านเพื่อนที่คุ้นเคย-นั่นแหละคือสิ่งที่อันจะกินวิลล่าอยากมอบให้


“เราชอบทำบันทึกไว้เพื่อจะได้ดูว่าใครกินอะไรไปแล้ว จำได้ว่ามีน้องคนหนึ่งมาเป็นหนที่ 17 เวลาทำอาหาร แล้วคนกลับมากินอีก นั่นคือสิ่งที่เรามีความสุข รู้ว่า เฮ้ย เรามาถูกทางนะ” พี่ก้อยเล่าเรื่องราวหนึ่งในคนที่ติดใจอันจะกินวิลล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้ม
ตอนแรกฉันคิดว่าคนที่แวะเวียนมาที่นี่น่าจะเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ติดใจรสมือพี่ก้อยมาก่อน แต่พี่ก้อยบอกว่าคนเชียงใหม่มาอุดหนุนกันเยอะ นั่นเพราะคนที่นี่มีธรรมชาติชอบอุดหนุนคนตัวเล็กที่ทำสิ่งมีเอกลักษณ์ และอาจเพราะอย่างนั้น เราถึงเห็นร้านรวงเล็กๆ หลากหลายรูปแบบเปิดกิจการอยู่ทั่วเชียงใหม่
ซึ่งพี่ก้อยเองพอขึ้นมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็หมั่นไปอุดหนุนเชฟคนอื่นๆ (หลายคนก็ได้แรงบันดาลใจการเปิดร้านวันละโต๊ะจากพี่ก้อยนี่เอง) โดยไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าทุกคนคือเพื่อนกัน
และจะว่าไปแล้ว พี่ก้อยก็ไม่ได้มองว่าอันจะกินวิลล่าคือธุรกิจเลย แต่คิดว่ามันคือการหยิบสิ่งที่ชอบมาต่อยอดในรูปแบบที่กำลังสบายตัวสบายใจ

“ถ้าเป็นธุรกิจจริงๆ เราจะต้องทำให้มากกว่านี้ แต่เราไม่มองมันเป็นธุรกิจ ไม่เคยมองว่าคนกินจะต้องเยอะ น้อย เท่าไหร่ หรือจะต้องมีทุกวัน เรามองอย่างเดียวว่า วันละโต๊ะเป็นสิ่งที่ทำให้มีรายได้เข้ามาบ้าง เพราะคนเกษียณแล้วมีรายได้บ้างก็ดี และมันก็สนุกด้วย เราไม่เหนื่อยฟรี มีคนเอาเงินมาให้เราได้อบ Short Rib ได้ทำแกะ ซึ่งชีวิตประจำวันคงไม่ได้กิน เพราะเราอยู่สองคนกับพ่อ” พี่ก้อยบอกกับฉัน
จักรวาลในบ้านสวยระดับมีสื่อมาขอสัมภาษณ์หลังนี้จึงโคจรด้วยจังหวะพอดี เมื่อคนทำพร้อมทำ คนกินพร้อมกิน บ้านของคนสองคนก็จะกลายเป็น ‘อันจะกินวิลล่า’ ที่อบอุ่นด้วยกลิ่นหอมของอาหาร เสียงหัวเราะ และความรักของพี่ก้อยที่ถ่ายทอดลงไปในเมนูแต่ละจาน
เป็นมื้ออาหารขนาด 1 โต๊ะ ที่ผลิบานเป็นความสุขแก่ทุกคน
