หากพูดถึง Creative Space ใจกลางกรุงเทพฯ คุณคงนึกออกหลายแห่ง แต่พื้นที่สร้างสรรค์ที่ฉันจะเล่าให้ฟังแตกต่างออกไป เพราะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และสรรค์สร้างสำหรับเด็กและครอบครัวโดยเฉพาะ ชนิดที่คุณพ่อคุณแม่คงแอบยิ้มอยู่ในใจ
ชื่อของสถานที่นี้คือ Bluedoor หรือ ประตูสีฟ้า พูดแล้วหลายคนต้องร้องอ๋อ เพราะนี่คือชื่อของร้านอาหารในร้านหนังสือสุดเก๋ของมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ที่เคยตั้งอยู่แถวย่านเอกมัย ปัจจุบันร้านประตูสีฟ้าย้ายมาพร้อมประตูบานเดิมสู่ย่านพระราม 9 ในรูปแบบบ้านสีฟ้า-ขาว 2 ชั้น สบายตา ร่มรื่นชื่นใจด้วยต้นไม้สีเขียวหลากพันธุ์ สะดุดตาด้วยกำแพงภาพวาดสีสันสดสวยที่สอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมผ่านศิลปะ ตามเป้าหมายของมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ที่มุ่งหวังจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศของเรา
แต่แม้จะชื่อเดิม ประตูบ้านเดิม ตัวร้านก็เติบโตงอกงามสู่ความหมายใหม่
จับลูกปิดประตูให้มั่นแล้วเปิดไปดูกันว่ามีอะไรอยู่ด้านหลัง ‘ประตูสีฟ้า’ บานนี้
“เราสนใจเรื่องเด็ก เยาวชน และหนังสือ เอาทุกอย่างมาผสมรวมกัน เกิดเป็น Creative Space สำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึงจิตอาสาของมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ด้วย” แหวน-กิติยา โสภณพนิช เลขาธิการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ เริ่มต้นคลายความสงสัยให้ฉัน แล้วเล่าต่อว่า หลังจากวาดฝัน เธอก็ลงมือทำ โดยชวนเพื่อนพ้องน้องพี่มาร่วมแรงร่วมใจ เช่น บริษัทโฆษณา WHAT IF ที่มาช่วยดีไซน์ และเครือข่ายพ่อแม่ที่เกิดจากการจับมือของพ่อแม่หลายกลุ่มอย่าง พ่อแม่บ้านเรียน และพ่อแม่ของเด็กพิเศษ ที่มาช่วยแบ่งปันไอเดีย
บ้าน 2 ชั้นแสนร่มรื่นจึงเริ่มก่อร่างกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กๆ และครอบครัว เมื่อเปิดประตูสีฟ้าเข้ามา เด็กๆ จะเจอ ‘ห้องเกาะ’ ที่มีหนังสือนิทานภาพ หนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็ก หนังสือภาษาต่างประเทศ และบรรดาหนังสืออีกมากมายที่ยกขบวนกันมาจากบ้านของกิติยา จัดสรรปันส่วนอยู่ตามมุมห้อง เพื่อให้เด็กๆ มีพื้นที่สำหรับอ่านหนังสือ (หรือจะเล่นซนก็เชิญได้ตามสบาย) รวมถึงทำกิจกรรมเรียนรู้ศิลปะจากธรรมชาติ เช่น การสร้างสรรค์งานด้วยสีจากใบไม้และดอกไม้
“นิทานภาพเป็นการสื่อเรื่องราวที่ซับซ้อน เรามองว่ามันเป็นการสื่อสารที่ไม่ธรรมดาเลย บางทีเด็กไม่สามารถอ่านเข้าใจได้ เขาก็ดูรูปควบคู่กับการอ่านคำ ผสมกันแล้วตีความ” กิติยาอธิบาย “คนไทยส่วนใหญ่มองว่าการอ่านต้องได้ความรู้ แต่เรามองว่ามันพัฒนาคนเป็นคน การอ่านช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องราวที่เขาไม่มีทางไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง และช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้สมองให้มีความยืดหยุ่น พลิกแพลงได้ เป็นความจำที่รู้จักประมวลใช้งานตลอดเวลา”
ต่อกันอีกหนึ่งห้องที่กิติยาภูมิใจนำเสนอ เราขอเรียกว่า ‘ห้องป่า’ มันคือห้องสี่เหลี่ยมคลุมผ้ามืดมิด เจาะรูผ้าขนาดพอดีหย่อนไฟลงไปพร้อมข้าวของเครื่องใช้แบบทึบและโปร่งแสง เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องแสง-เงา เพราะเธอเชื่อว่าแสงเป็นพื้นฐานของทุกชีวิต
“เรามองว่าสิ่งแวดล้อมมันสำคัญมาก การสร้างพื้นที่ขึ้นมาอย่างมีความหมาย มันเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ได้มหาศาลและเขาจะค้นพบอะไรบางอย่างด้วยตัวเขาเอง” กิติยาบอกฉัน
ส่วนห้องสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด เป็น ‘ห้องนิทรรศการ’ ฟังแค่ชื่อต้องดูจริงจังมากแน่ แต่ความจริงคล้ายเป็นห้องจัดเวิร์กช็อป เปลี่ยนธีมตามความสนใจของเด็กๆ ในแต่ละเดือน โดยเธอไม่ลืมที่จะสอดแทรกความรู้-ความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งดิน น้ำ ป่า และสัตว์ ลงไปด้วย
มาถึงห้องสุดท้าย เป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ที่มีสื่อการสอนคือ ‘ธรรมชาติ’ ที่นี่ไม่มีคุณครูใจดีมาบอกว่าเด็กๆ ต้องทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้ แต่ขอให้เด็กทั้งหลายจงเรียนรู้และค้นพบด้วยตัวเอง
ลองปีนต้นไม้ต้นนั้นดูสิ ก้มมองเจ้าปลาตัวเล็กแวกว่ายในบ่อบัว ขุดดินเล่นทราย ทำตามใจเด็กปรารถนา
“พื้นที่สำหรับเด็ก เขาต้องเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง เด็กๆ จะต้องได้เล่นในที่ที่เขารู้สึกว่าเป็นของเขาจริงๆ เด็กพูดเสมอว่าไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ดิน ทราย แล้วก็น้ำ ต้นไม้หน่อย ก็มีความสุขมากแล้ว” กิติยาทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม
สำหรับฉัน ถ้าประตูสีชมพูคือประตูวิเศษของโดราเอมอนที่จะโผล่ไปที่ไหนก็ได้
ประตูสีฟ้าก็คงจะเป็นประตูที่เด็กๆ ท่องไปในโลกของการเรียนรู้ได้แบบไม่มีวันสิ้นสุด