The Cloud X สารคดีสัญชาติไทย
เช้ามืด ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นสันเขา
เสือโคร่งตัวนั้นนั่งหันหลังให้ผม เราอยู่ห่างกันราว 5 เมตร ไม่มีอะไรขวางกั้น ผมไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในซุ้มบังไพร ไม่มีแม้แต่พุ่มไม้หรือใบไม้ขวางกั้นระหว่างเรา ในระยะแค่นี้ เพียงมันขยับเบาๆ ก็จะถึงตัวผมอย่างง่ายดาย ใช่ว่ามันไม่รู้ว่าผมอยู่ใกล้ๆ แต่การกระโจนเข้าหาจะไม่เกิดขึ้นหรอก เพราะมันคือเสือที่เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบแค่ 2 ชั่วโมง
หลังรู้สึกตัว เสือจะนอนนิ่งๆ สักพัก ลืมตา พยายามผงกหัวขึ้นมองรอบๆ แกว่งหางไปทางซ้าย ทางขวา ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งได้
จากนั้นอีกสักครึ่งชั่วโมงมันจะลุกขึ้นยืน เซไปเซมา อาจล้มลงนอนอีกครั้งสองครั้ง ต่อจากนั้นก็จะเดินได้อย่างมั่นคง ถึงตอนนั้นเป็นเวลาที่พละกำลังรวมทั้งสติของมันฟื้นคืนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว และนั่นย่อมไม่ใช่เวลาที่ผมจะอยู่กับมันในระยะใกล้เช่นนี้
เป็นระยะที่ใกล้เกินกว่าระยะที่มันอนุญาต
แต่ตอนนี้เสือเพิ่งลุกขึ้นนั่งหันหลังให้ ผมมีเวลาอยู่ตรงนี้อีกพอสมควร ก่อนโลกแห่งความเป็นจริงระหว่างเราจะกลับมา มันหันมองทางซ้าย ทางขวา ทำท่าราวกับทบทวนว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น มันหันมาทางผม สายตาเราพบกัน
ไม่มีอาการก้าวร้าวในแววตา ไร้เสียงขู่คำราม
ผมยกกล้องขึ้นแนบสายตากับช่องมอง กล้องที่ติดเลนส์ 24 มิลลิเมตร กดชัตเตอร์

ผมนั่งนิ่งๆ อีก 15 นาที ก่อนค่อยๆ ขยับคลานออกมา ถอยออกมาไกลพอสมควร ผมลุกขึ้นยืน ลายเหลืองดำ ของเสือเลือนรางอยู่ในพุ่มไม้ที่ใบเป็นสีเหลืองแห้งๆ ผมนั่งลงอีกครั้ง เอนหลังพิงต้นเต็งขนาดใหญ่ ป่าเต็งรังในช่วงฤดูแล้งโปร่งโล่ง
กล้องที่ติดเลนส์ 24 มิลลิเมตรในมือบอกให้รู้ว่า ถึงวันนี้ระยะห่างระหว่างผมกับสัตว์ป่าไม่มากนัก สัตว์ป่า อนุญาตให้ผมเข้าใกล้ได้บ้าง อีกนั่นแหละ กว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก ไม่เพียงแค่เวลายาวนาน แต่มันหมายถึงตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยไปไหนพ้นจาก ‘ห้องเรียน’
ผมเริ่มต้นถ่ายภาพในห้องเรียนที่เป็นบึงน้ำ ตั้งแต่เช้าตรู่ เรือหางยาวจะมาส่งผมที่จุดหมายอันเหมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่สร้างอยู่กลางบึงน้ำกว้าง เป็นบ้านที่มีแค่สี่เสา ด้านข้างและหลังคาหุ้มไว้ด้วยผ้าสีฟ้าซีดๆ
“ค่ำๆ เจอกันครับ” ชายผิวคล้ำ หน้าเข้ม ผู้ทำหน้าที่ขับเรือพูด
ผมมุดเข้าบ้านหลังเล็กนั่น เรือหางยาวจากไป
ผมเริ่มต้นจัดที่ทาง กว่า 10 ชั่วโมงที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทำเช่นนี้มาแล้วกว่า 1 สัปดาห์
ในนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่พอหาได้คือเก้าอี้พับตัวเล็ก ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิบนพื้นและคุกเข่า เพื่อให้ตาแนบกับช่องมองภาพ เท่านี้ก็สบายที่สุดแล้ว
เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม พนม คราวจันทึก ชายผิวคล้ำ หน้าเข้ม เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแห่งเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด ออกสำรวจเมื่อพบการวางไข่ของนกน้ำ บนแพจอกแหนโล่งๆ เขาทำซุ้มบังไพรใกล้ๆ และแจ้งข่าวให้ผมรู้
นี่คล้ายเป็นความคุ้นเคยและผูกพัน ก่อนหน้านี้ เขาทำเช่นนี้ให้พ่อผม ซึ่งมาเฝ้าถ่ายนกเหล่านี้เช่นกัน
ช่วงเวลาหนึ่ง ผมมาที่บึงน้ำติดต่อกันนานหลายปี ว่าตามจริง มันค่อนข้างซ้ำซากจำเจ มีรูปเหมือนๆ กันมากมายแต่ผมรู้สึกว่าการได้มาเฝ้าถ่ายรังนกน้ำอยู่ในซุ้มบังไพรแคบๆ เฝ้าดูความรัก ความห่วงใย ที่พ่อแม่นกมีให้กับลูก เป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง
การต้องอยู่ลำพังในที่ไม่มีทางจะถอยหนีไปทางใด รอบๆ มีเพียงผืนน้ำกว้าง ไม่ต่างจากการติดอยู่ในกรงแคบๆ

สำหรับผม นี่คือ ‘ด่าน’ ทดสอบกำลังใจอย่างหนึ่ง ที่สำคัญมันคือช่วงเวลาที่ผมได้รับบทเรียนจาก ‘ครู’ อย่างจริงจัง
ตั้งกล้องเสร็จ ผมลองปรับระยะชัดเลนส์เทเลโฟโต 560 มิลลิเมตรไปที่รังนกเป็ดผี ซึ่งเห็นเพียงเศษวัชพืชกองสุมอยู่ นี่คือลักษณะปกติของรังนกเป็ดผีและนกน้ำอีกหลายชนิด ทุกครั้งเมื่อมีอันตรายเข้ามาใกล้ พ่อหรือแม่นกที่กกไข่อยู่จะรีบลุกขึ้นคาบเศษหญ้ามาปิดไข่สีขาวอมเหลืองไว้อย่างรวดเร็ว และตัวเองจะลงจากรัง มุดน้ำหายไป
มันจะกลับมาเมื่อทุกอย่างปกติ พวกมันจะเริ่มระแวงตั้งแต่เรือเข้ามาใกล้แล้ว การที่เรือแล่นกลับไป อาจทำให้ มันสบายใจขึ้น
ผมเคยเชื่อว่านก คงนับจำนวนไม่ได้
การเข้ามาสองคนและกลับออกไปคนหนึ่ง ทำให้นกคิดว่าอันตรายไปแล้ว คนที่เฝ้าในซุ้มจะได้อยู่กับนกอย่างใกล้ชิด
ได้อยู่กับนกอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพราะมันนับจำนวนไม่ได้หรอก เหตุผลที่ผมได้อยู่อย่างใกล้ชิดเป็นเพราะนก อนุญาตให้ผมเรียน
เมื่อไม่มีสิ่งผิดปกติ บ้านหลังเล็กนั่นสร้างมานาน นกคุ้นเคยดี ไม่ระแวง


นกกลับมา มันปีนขึ้นรัง น้ำเกาะตามขนเป็นเม็ดๆ ก้มลงคาบหญ้าที่ปิดรังออก ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ขยับหาท่าถนัด ดวงตากลมโตมองรอบๆ
นกเป็ดผีคือหนึ่งในจำนวนที่เรียกกันว่า นกน้ำ พวกมันมีรูปร่างคล้ายเป็ดขนาดเล็ก แต่ไม่ได้อยู่ในประเภทเดียวกับเหล่านกเป็ดน้ำ
เวลาผ่านไป แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าตรู่เปลี่ยนเป็นแสงแดดร้อนแรง ในซุ้มบังไพรทวีความร้อนอบอ้าว ดอกบัว สีชมพูที่ชูช่อไสวข้างบ้านหลังเล็กทยอยหุบเหลือเพียงดอกตูมๆ
แม่นกนั่งกกไข่นิ่งๆ นาน แทบไม่ขยับตัว นอกจากอ้าปากกว้างคล้ายเป็นการระบายความร้อน ผมเฝ้าดูกระทั่งพลบค่ำ กดชัตเตอร์เป็นระยะ ในห้องเรียนแคบๆ วันนั้น ครูสอนบทเรียนเรื่องความอดทน
ขณะมองเสือ ผมนึกถึงครั้งเริ่มต้นเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในบึงน้ำ เสียงแกรกกรากจากการเดินเหยียบใบไม้แห้ง ของเสือค่อยๆ เบาลง เสือเดินจากไปแล้ว จากนี้ไปอีกหลายเดือน วิทยุที่ติดอยู่กับปลอกคอที่มันสวมอยู่จะส่งข้อมูลให้รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน นักวิจัยจะตามเข้าไปตรวจสอบว่ามันทำอะไรบ้างได้อย่างละเอียด
ผมใช้เลนส์มุมกว้างกับเสือ ผู้เป็นครูที่อนุญาตให้เรียนด้วยอย่างใกล้ชิด เลนส์มุมกว้างช่วยให้ไม่เห็นรอบตัวเพียงมุมแคบๆ
เวลาผ่านมานาน ผมยังคงอยู่ในห้องเรียน ‘ห้องเรียน’ ที่ผมอยู่ไม่ได้กว้างใหญ่ขึ้นหรอก เพียงแต่บทเรียนต่างๆ ที่ได้เรียนจากครูทำให้ผมตัวเล็กลง
