สำหรับนักท่องเที่ยวขาลุยที่ชอบท่องเที่ยวธรรมชาติมากกว่าการเที่ยวในมหานครใหญ่แล้ว ไอซ์แลนด์กำลังเป็นประเทศจุดหมายปลายทาง ตัวเลือกที่น่าสนใจและกำลังมาแรง แม้ค่าครองชีพ ค่าเดินทาง จะค่อนข้างสูง
ไอซ์แลนด์เป็นเกาะขนาดใหญ่อันดับ 2 ในยุโรปรองจากเกาะอังกฤษ ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ตั้งอยู่ระหว่างอังกฤษ นอร์เวย์ และเกาะกรีนแลนด์ มีเมืองหลวงชื่อภาษาพื้นเมืองว่า Reykjavík
ในทางภูมิศาสตร์ ไอซ์แลนด์เป็นเกาะเกิดใหม่จากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ดันหินหลอมเหลวใต้เปลือกโลกขึ้นมาตามรอยแยกเมื่อ 70 ล้านปีก่อน เกาะตั้งอยู่บนสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid-Atlantic Ridge) ซึ่งเป็นแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวระหว่างแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นทวีปยูเรเชีย
แผ่นทวีปยูเรเซียคือแผ่นเปลือกโลกรองรับทั้งทวีปและมหาสมุทรขนาด ประมาณ 67,800,000 ตารางกิโลเมตร รวมทวีปยุโรปและทวีปเอเชียส่วนใหญ่เข้าด้วยกัน ยกเว้นอินเดีย ตะวันออกกลาง และพื้นที่ทางทิศตะวันออกของเทือกเขา Chersky ของไซบีเรีย และประชากรร้อยละ 75 บนโลกอาศัยอยู่บนแผ่นทวีปนี้
ส่วนแผ่นทวีปอเมริกาเหนือ คือแผ่นเปลือกโลกรองรับทั้งทวีปและมหาสมุทร ขนาดประมาณ 75,900,000 ตารางกิโลเมตร รองรับทวีปอเมริกาเหนือ กรีนแลนด์ คิวบา บาฮามาส และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
คำว่าสันเขากลางมหาสมุทร (Mid-Oceanic Ridge) เป็นศัพท์ทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน เพราะเพิ่งมีการค้นพบเทือกเขากลางสมุทรจมอยู่ใต้ทะเลลึกเมื่อราว 70 กว่าปีก่อน จากการสำรวจพื้นท้องมหาสมุทรโดยเรือสำรวจ และพบแนวสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก และส่วนหนึ่งพาดผ่านเกาะไอซ์แลนด์
ไม่แปลกใจเลยที่ไอซ์แลนด์ได้รับฉายาว่า ดินแดนแห่งภูเขาไฟ มีภูเขาไฟมากกว่าร้อยแห่ง น้ำพุร้อน แหล่งพลังงานความร้อนใต้โลก ภูเขาไฟหลายแห่งยังคงคุกรุ่นอยู่ เช่น ภูเขาไฟเฮกลา (Hekla) ซึ่งปะทุครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2543
ตลอดสิบกว่าวันที่เราขับรถตระเวนไปทั่วเกาะที่มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 5 เท่า เห็นภูมิประเทศรูปทรงแปลก ๆ งดงามไม่ซ้ำ อันเนื่องจากมีอายุทางธรณีวิทยาไม่นาน แผ่นดินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
เมื่อปีที่แล้วในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 แค่ 3 สัปดาห์ได้ เกิดแผ่นดินไหวมากกว่า 50,000 ครั้ง บนคาบสมุทร Reykjanes ในประเทศไอซ์แลนด์ อันเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไม่นิ่งของแผ่นดินที่กำลังเกิดใหม่บนเกาะไอซ์แลนด์
แต่ไอซ์แลนด์น่าจะเป็นประเทศไม่กี่แห่งในโลก ที่เราขับรถไปไม่กี่สิบกิโลเมตร จะเห็นภูมิประเทศไม่ซ้ำเดิม มีความหลากหลายจากความแตกต่างของชั้นหิน การสึกกร่อนของแผ่นดิน การกัดเซาะของน้ำ ได้ภาพน้ำตกอันตระการตา จนถึงเดินย่ำไปบนธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป และมุดเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
วันแรกเมื่อเราเดินทางมาถึงเกาะน้ำแข็งแห่งนี้ ก่อนจะไปผจญภัยตามที่ต่าง ๆ สถานที่แห่งแรกที่เพื่อนสนิทดั้นด้นไปเป็นแห่งแรก และไม่ค่อยอยู่ในโปรแกรมเที่ยวของทัวร์ส่วนใหญ่ คือบริเวณอุทยานธรณี คาบสมุทร Reykjanes อยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 50 กิโลเมตร
เพื่อนสนิทบอกว่า “หากมาไอซ์แลนด์ ตรงนี้พลาดไม่ได้เด็ดขาด เป็นที่เดียวในโลกที่จะมีโอกาสได้เห็นทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปยุโรปเกือบแนบชิดติดกัน ตรงบริเวณ Reykjanes”
เรายังสงสัยอยู่ตั้งนานว่าคืออะไร
พอรถขับไปตามกูเกิล ดั้นด้นมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอปีนขึ้นไปเล็กน้อย ภาพที่เห็นคือร่องหินสองฟากลึกไม่กี่เมตร มีสะพานเล็ก ๆ ให้เดินข้าม
ฝั่งหนึ่งคือทวีปอเมริกาเหนือ อีกฝั่งคือทวีปยุโรป เราเดินข้ามทวีปได้โดยผ่านสะพานสีขาวที่ทอดข้ามรอยแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียและอเมริกาเหนือ ในคาบสมุทร Reykjanes
บริเวณนี้เป็นสถานที่เดียวในโลกที่พื้นที่ส่วนเล็ก ๆ ของสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติกโผล่ขึ้นมา ไม่อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล โดยสันเขานี้เป็นที่ที่แผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น คือ ยูเรเซียและอเมริกาเหนือ มาบรรจบกันแต่ไม่ติดกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ สันเขากลางสมุทรเป็นแนวขอบเขตรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น เราจึงเดินข้ามไปมาระหว่างแผ่นเปลือกโลกทั้งสองบนสะพานได้
2 ทวีปที่มีมหาสมุทรแอตแลนติกคั่นกลาง ระยะทางนับพันกิโลเมตร แต่เราเดินข้ามทวีปได้ไม่ถึงนาที
พวกเราพากันเดินข้ามสะพานข้ามทวีป มีชื่อเรียกว่า ‘Leif the Lucky’ ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่นาย เลฟ เอริกสัน (Leif Erikson) นักสำรวจชาวไอซ์แลนด์ และเป็นชาวยุโรปคนแรกที่พิชิตทวีปอเมริกาเหนือสำเร็จเมื่อพันปีก่อน ตามตำนานของชาวไอซ์แลนด์
ก่อน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) จะค้นพบทวีปนี้ ชื่อนี้จึงเปรียบเสมือนการเชื่อม 2 ทวีปเข้าด้วยกัน
พอเราเดินถึงกลางสะพาน มีแผ่นโลหะจารึกว่า ‘Midlina In the footsteps of the gods’ เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างแผ่นทวีปยูเรเซียกับแผ่นทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งสองฟากจะมีป้าย ‘Welcome to America’ and ‘Welcome to Europe’
พอเดินข้ามสะพานผ่าน 2 ทวีป และพากันเดินลงมาใต้สะพาน เพื่อสัมผัสสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติกที่ทอดยาวจากอาร์กติกถึงแอนตาร์กติกา เดินสำรวจลักษณะหิน ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์ อันเป็นหินอัคนีที่เกิดจากการเย็นตัวของหินหนืดหรือลาวาอย่างรวดเร็วบนพื้นผิวโลก ที่เห็นส่วนใหญ่มีสีเทาถึงสีดำ มีเนื้อละเอียด เป็นการยืนยันว่าเกาะแห่งนี้เกิดจากหืนหนืดหรือลาวาค่อย ๆ ทับถมจนกลายเป็นเกาะ
ไม่น่าเชื่อว่าสันเขาที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ท้องทะเลลึก จะโผล่ขึ้นมาให้มนุษย์ได้เห็นเพียงที่เดียวในโลก
เดินไปสักพักบริเวณแห่งนี้มีแผ่นป้ายอธิบายเรื่องราวไว้ว่า
“ลองจินตนาการว่าคุณกำลังยืนอยู่บนแผ่นเพลตยูเรเซียน แผ่นเปลือกโลกแผ่นใหญ่ที่สุดในโลก แผ่นเพลตนี้ประกอบด้วยก้อนหินเก่าแก่ที่สุดในโลก ขณะที่แผ่นเพลตอเมริกาเหนือจะเคลื่อนตัวห่างออกไปทางตะวันตกของเพลตยูเรเซียน ทำให้เปลือกโลก 2 แห่งค่อย ๆ แยกตัวออกจากกัน…”
“สะพานแห่งนี้มีความยาว 18 เมตร ข้ามหุบผาที่มีความลึกประมาณ 6 เมตร เป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่า เปลือกโลกทั้งสองกำลังเคลื่อนตัวแยกห่างจากกัน 2 เซนติเมตรต่อปี หรือ 2 เมตรทุกร้อยปี”
ร่องรอยจากลาวาของแนวสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก อธิบายว่าแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียและอเมริกาเหนือเคลื่อนตัวออกจากกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ภายใต้รอยแยกที่แตกออก ซึ่งทำให้มหาสมุทรแอตแลนติกกว้างขึ้นทีละน้อย
ที่น่าสนใจคือ สันเขากลางมหาสมุทรไม่ได้มีเฉพาะมหาสมุทรแอตแลนติก แต่มีอยู่ทุกมหาสมุทรทั่วโลก และมีการเชื่อมต่อกันเป็นแนวเทือกเขากลางมหาสมุทรยาวที่สุดของโลก ถึง 80,000 กิโลเมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังค่อย ๆ ไขปริศนาของพื้นธรณีบริเวณนี้ที่ยังเป็นโลกใต้ทะเลอันลึกลับ ยากต่อการสำรวจ เพราะต้องใช้เครื่องมือเทคโนโลยีชั้นสูงในการเก็บข้อมูลต่อไป
สำหรับผู้หลงใหลธรณีวิทยา คาบสมุทร Reykjanes แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ที่จะย้อนเวลาให้ได้เข้าใจการกำเนิดโลก เรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟ ทุ่งลาวา แผ่นดินไหว รอยแยก ชั้นหินต่าง ๆ น้ำพุร้อน และระบบความร้อนใต้พิภพได้เป็นอย่างดี
“จดจำภูมิประเทศแถวนี้ไว้ให้ดี หากอนาคตไม่กี่ปีคุณมาอีก ภูมิประเทศแถวนี้อาจไม่เหมือนเดิม” เพื่อนชาวไอซ์แลนด์คนหนึ่งบอกเรา ถึงการเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์บนภูมิภาคแห่งนี้