เวลาผู้หญิงคิดจะทำของขาย สิ่งที่ได้มักจะมาจากเรื่องเล็กๆ ใกล้ๆ ตัว ใกล้ๆ หัวใจ
วันนี้เป็นวันสตรีสากล อุ้มเลยมีธุรกิจใหญ่น้อยของผู้หญิงพอร์ตแลนด์มาเล่าให้ฟังค่ะ แบรนด์ทั้ง 6 นี้เลือกมาแล้วว่าดีจริง แตกต่าง และรับรองว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์โครโมโซมเอ็กซ์ 2 ตัวอย่างเราๆ ลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ แบบนี้กันบ้าง มีใครมีอะไรกันบ้างมาฟังกันเลยค่ะ
1. Yellow Scope Science Kits for Girls
ชุดทดลองวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กผู้หญิง
ก่อตั้งโดย มาร์ซีย์ คอลเลจ (Marcie Colledge) กับ เคลลี แม็คคอลลัม (Kelly McCollum)
เมื่อคุณแม่นักวิทยาศาสตร์ (ปริญญาเอกและปริญญาโท) สองคนเจอกันที่โรงเรียนลูก ต่างพูดคุยกันไปมาว่าทำไมหนอ เด็กผู้หญิงชอบวิทยาศาสตร์กันไปจนเกรด 4 แล้วอยู่ดีๆ ก็เลิกกันไปซะอย่างนั้น คำตอบที่ได้หลังจากมองไปรอบๆ มี 2 ประเด็นสำคัญ คือความเชื่อว่าเด็กผู้ชายเกิดมาเก่งคำนวณเก่งวิทยาศาสตร์มากกว่า กับชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ถ้าไม่ฟรุ้งฟริ้งมีกากเพชร เป็นเจ้าหญิงเป็นยูนิคอร์น ก็จะดูเด็กผู้ช้ายเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงมองผ่านไปแล้วก็เริ่มเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของเรา
คุณแม่อารมณ์เสียนิดหน่อย เพราะเชื่อว่าเด็กผู้หญิงก็เก่งวิทยาศาสตร์ได้พอๆ กับเด็กผู้ชาย (ดูปริญญาเอกชั้นสิยะ) แล้วทำไมไม่มีใครทำของสำหรับเด็กผู้หญิงให้ดูจริงจังน่าเชื่อถือกันบ้าง ไม่หงุดหงิด ไม่คิดวนๆ กันเองอยู่สองคน ทั้งคู่เริ่มต้นวางแผนทำชุดทดลองวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ เน้นที่กลุ่มเด็กประถมปลายๆ เพราะเป็นช่วงรอยต่อที่ยังไม่มีของเล่นวิทยาศาสตร์ไหนมารองรับ
ผลที่ได้คือ เด็กผู้หญิงเริ่มมีความมั่นใจค่ะ! ดูอย่างลูกสาวอุ้มเป็นตัวอย่างก็ได้ เมตตานี่ จากที่ไม่ได้สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่ ตอน ป.1 ได้ชุดทดลองของ Yellow Scope มาชุดแรกเท่านั้นแหละค่ะ องค์ Scienctist ลงเลย! จากนั้นความช่างสงสัย อยากรู้ อยากทดลองหาคำตอบในเรื่องอื่นๆ ก็ตามมา แล้วก็ไปจุดประกายให้น้องสาวอย่างอนีคาอยากทำการทดลองบ้าง อุ้มกับสมคิดนี่แทบจุดพลุฉลอง เพราะเราอยากให้ลูกได้มีโอกาสพัฒนาทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน โดยที่ไม่ได้คิดว่าอะไรเป็นเรื่องยากเรื่องง่าย หรือมีข้อจำกัดเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง
ตอนนี้ชุดทดลองของ Yellow Scope มีขายทั่วอเมริกา เค้าบอกว่าอยากขายทั่วโลกด้วย คุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากเป็นตัวแทนขายที่เมืองไทยติดต่อเค้าไปเลยค่ะ หรือจะทำชุดทดลองของเราเองแบบไทยๆ ก็น่าจะยิ่งดีใหญ่เลยนะคะ เพราะจะได้อยู่ในบริบทที่เด็กเข้าใจง่ายด้วย
2. Lisa Congdon Art & Illustration
งานศิลปะและผลิตภัณฑ์พิมพ์ลาย
โดย ลิซ่า คองก์ด้อน
ถ้าเอาหินปาไปในหมู่ชนพอร์ตแลนด์ ความเป็นไปได้ที่หินจะไปโดนหัวคนทำงานศิลปะนั้นถือว่าสูงมาก! แต่ถ้าจะให้เลือกศิลปินผู้หญิงมาแค่ 1 คน เอาแบบฮอตที่สุด งานป๊อปที่สุด และมีความพอร์ตแลนด์ที่สุด อุ้มขอเลือกลิซ่า คองก์ด้อน ก่อนเลย
ทำไมเหรอคะ ก็ดูงานนางเสะ! มันทั้งจัดจ้าน สนุก มีเอกลักษณ์ เสียงดังฟังชัด และที่สำคัญ แอบหัวรุนแรงแบบเออ… ชั้นจะพูด ใครจะทำไม งือ.. รักนาง!
ข้อดีอีกอย่างของลิซ่านี้ คือของไม่แพง งานพรินต์ชิ้นละ 30 – 40 มีโน่นมีนี่ให้อุดหนุนได้ง่าย (ไม่เหมือนศิลปินคนอื่น ที่แค่งานพรินต์อย่างน้อยก็ต้อง 150 – 200 ดอลลาร์ขึ้นไป จะกำเงินไปซื้อทีนี่ต้องอดขนมไปหลายอาทิตย์) แล้วนางก็ขยัน Collab กับคนอื่นจนมีผลงานอยู่ทั่วไปหลายแห่งหน ทั้งขวดน้ำ ชุดปักลาย หนังสือ ผ้าตัดเสื้อ รอยสักแบบลบออกได้ ไปจนกระทั่ง Accessories ของผลิตภัณฑ์ Apple ฯลฯ
คือถ้าเป็นการลงทุนเค้าก็เรียกว่ามีการกระจายความเสี่ยง ไม่ชอบงานฝีมือ อะเอาแก้วกาแฟมั้ย ไหนนะ เป็นคนไม่ชอบเขียน งั้นเอาสาย Apple Watch ไปลอง อ้อ ชอบออกกำลังกาย เอาขวดน้ำไปอีกสักขวดนะ นี่ไงล่ะ ศิลปะสำหรับประชาชน ศิลปินไม่จนด้วย เพราะเธอคือลิซ่า คองก์ด้อน ยิปปี้!
3. alima PURE
เครื่องสำอางจากส่วนผสมธรรมชาติ
ก่อตั้งโดย เคท โอไบรอั้น (Kate O’Brien)
มีแม่อยู่คนหนึ่ง เป็นครูโรงเรียนอนุบาล ไม่ใช่ช่างแต่งหน้าหรือนักวิทยาศาสตร์ แต่เธออยากมีเครื่องสำอางที่ใช้แต่ส่วนผสมที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ครูคนนั้นทำยังไงคะ
- ไม่ทำยังไงค่ะ จะให้ทำยังไงล่ะคะ
- กลับบ้าน ขึ้นไปห้องใต้หลังคา คิดค้นหาสูตรเครื่องสำอางในฝันนั้นจนสำเร็จ
โชคดีที่เคท โอไบรอัน เลือกข้อ 2. เราเลยมีเครื่องสำอางยี่ห้อ alima PURE ใช้กันทุกวันนี้ ทีแรกอุ้มก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ ทั้งที่แบรนด์เค้ามีมาตั้งกะ ค.ศ. 2004 แต่บังเอิ๊ญพาลูกไปสนามเด็กเล่น แล้วไปเจอแม่คนหนึ่งชื่อซาร่า พาลูกเล็กมาเล่น คุยกันสัพเพเหระ จนได้รู้ว่าซาร่าเป็นลูกสาวของเคทที่เป็นคนก่อตั้ง alima PURE (โอย เล่าเองยังเหนื่อย) เข้าไปอ่านดูสรรพคุณและปณิธานของบริษัทแล้วถึงกับต้องสั่งมาใช้ คือพวกคุณจะดีไปไหนคะ! คุณทำดิชั้นรู้สึกเป็นคนไร้จิตสำนึกทางสังคมไปเลย นอกจากผลิตภัณฑ์คุณจะประเสริฐ ใส่ส่วนผสมอะไรอธิบายไว้ละเอียดในเว็บ ใช้หมดสั่งแต่รีฟิลมาเติมได้ คุณยังบริจาค 1 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย (นะไม่ใช่กำไร) ให้สังคม คุณ Carbon Neutral 100 เปอร์เซ็นต์ คุณใช้แต่พลังงานทดแทน แถมคุณยังจะปลูกต้นไม้ให้ได้ล้านต้นภายใน 5 ปี ตกลงคุณขายเครื่องสำอางหรือเป็นเอ็นจีโอกันแน่คะ!
ฮ่าๆๆๆ พูดเล่นนะคะ จริงๆ อุ้มนับถือน้ำใจคุณเคทกับซาร่าลูกสาวมาก ที่ตั้งใจทำของดี แล้วองค์กรยังมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมสูงส่งขนาดนี้ ข่าวดีคือ alima PURE มีขายที่เมืองไทยด้วยนะคะ ที่ร้าน All About You ตั้ง 6 สาขาแน่ะ Cream Blush สี Wink ค่ะ คือดี บอกเลย
4. W I K S T E N
แพตเทิร์นตัดเสื้อ
ก่อตั้งโดย เจนนี่ กอร์ดี้ (Jenny Gordy)
ค.ศ. 2004 ระหว่างที่เคทผสมเครื่องสำอางอยู่ในห้องใต้หลังคา มีผู้หญิงอีกคนชื่อเจนนี่ อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เธอทำเสื้อผ้าแบรนด์เล็กๆ ชื่อ W I K S T E N ขาย แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจใช้ความรู้เรื่องการทำแพตเทิร์นที่ร่ำเรียนมา ปรับธุรกิจให้เน้นเฉพาะเรื่องแพตเทิร์น แต่ยังใช้ชื่อเดิม ชื่อที่เป็นนามสกุลของคุณยายชาวสวีเดน ผู้ที่สอนให้เธอเย็บปักถักร้อยและตัดเสื้อผ้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
เธอแต่งงาน ย้ายมาอยู่พอร์ตแลนด์ มีลูกสาวตัวน้อย 1 คน
ค.ศ. 2014 ผู้หญิงอีกคนชื่อสิริยากร ย้ายมาจากเมืองไทย มีลูกสาวอายุ 2 ขวบชื่อเมตตา อยากหัดตัดชุดให้ลูก ทั้งที่ไม่เคยหยิบจับแพตเทิร์นเสื้อผ้ามาก่อน แต่ชะรอยจะมีโชคทางการตัดเย็บ เธอไปเจอแพตเทิร์นเสื้อเด็กน่ารักมาก เท่มาก ฟอนต์สวย ซองสวย เธอจึงซื้อมาลองหัดเย็บดู
สาบานค่ะว่าเย็บได้ด้วย คือหลังจากนั้นวิชาเริ่มกล้าแข็ง ลองซื้อแพตเทิร์นยี่ห้ออื่นๆ เป็น 10 ยี่ห้อมาลอง ก็ได้ข้อสรุปว่า แพตเทิร์นของวิกส์เท่นมีความตรงไปตรงมา เย็บไม่ยาก เส้นสายน้อย แต่สวยเท่ ใส่ได้นาน (สมกับรากเหง้าความเป็นสวีดิช) แถมคู่มือแพตเทิร์นยังออกแบบดี ดูแล้วสบายตา มีกำลังใจทำงาน คือเป็นประสบการณ์ทางดีไซน์ที่สมบูรณ์มากอะค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง (ก็อธิบายมาแล้วนะได้ข่าว)
ใครชอบเย็บผ้า หรือสนใจอยากตัดชุดให้ลูก ให้ตัวเอง สั่งซื้อแพตเทิร์นแบบเป็นเล่มเหอะนะคะ เขาส่งไปรษณีย์ไปเมืองไทยด้วย หรือถ้าอดใจไม่ไหว อยากซื้อแบบ PDF ก็ดาวน์โหลดออกมาใช้ได้เลย
5. Schmidt’s
Certified Natural Deodorant
ก่อตั้งโดย เจมี่ ชมิดท์ (Jaime Schmidt)
ตอนย้ายมาอยู่พอร์ตแลนด์ใหม่ๆ เมื่อ ค.ศ. 2012 อุ้มชอบไปเดินซื้อของตาม Farmer’s Market และซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ที่เรียกว่า Co-Op คือเหมือนเป็นสหกรณ์ขายของสดของแห้งของชุมชน เพราะว่ามักจะมีของแปลกๆ ใหม่ๆ ที่คนที่นี่ลองทำมาวางขาย อย่างหนึ่งเลยที่ได้มาลองคือครีมขจัดกลิ่นตัวแบบอยู่ในกระปุกค่ะ คือซื้อมาด้วยความงงปนสงสัยว่าจะทายังไง (ฟะ) แต่เห็นเขียนว่าเป็นครีมที่ปราศจากสารเคมีต่างๆ ที่เป็นอันตรายและใช้ได้ผลมาก เราก็เชื่อสิ เพราะเคยลอง Natural Deodorant มาบ้าง ไม่เห็นมียี่ห้อไหนจะเวิร์กเลย ลองอีกอันจะเป็นไรไป
ในกล่องมีไม้พายอันเล็กๆ เอาไว้ตักครีมออกมาก้อนเท่านิ้วก้อย เอามาอุ่นบี้ๆ ให้นิ่ม แล้วก็ทาไปที่รักแร้ อืมมม ก็แปลกๆ อยู่นะ เพราะครีมมีความหยาบๆ นิดๆ แต่ก็หอมอ่อนๆ ดีด้วย วันแรกๆ ที่ลองใช้เหมือนจะไม่เวิร์กเลยค่ะ แต่ก็ใช้ไปเรื่อยๆ เพราะเขาบอกว่าช่วงแรกที่เปลี่ยนมาใช้ Deodorant แบบธรรมชาติ ร่างกายจะปรับตัว อาจเหมือนมีกลิ่นเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แต่ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งจะเริ่มเห็นผล
เออจริงอย่างที่เขาบอกเลยค่ะ ตั้งแต่นั้นอุ้มก็เลยใช้ Schmidt’s มาเรื่อย ตอนหลังถึงแม้บริษัทจะถูก Unilever มาซื้อไปแล้วขยายใหญ่โต มีของอื่นๆ ออกมาอีกเป็นพะเรอเกวียน กระปุกก็เปลี่ยนเป็นแบบแท่งให้ใช้ง่าย แต่ยังไงอุ้มก็ยังรู้สึกว่านี่เป็น Success Story ของผู้หญิงคนหนึ่ง (ที่ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีนีไปแล้วเรียบร้อย) ที่เรายังอยากอุดหนุน และอยากเล่าให้ฟังค่ะ
ค.ศ. 2010 เจมี่ ชมิดท์ กำลังท้องลูกคนแรก เธอแค่อยากหาผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นตัวที่ปลอดภัยและใช้ได้ผล แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอของแบบนั้นในท้องตลาด ด้วยความที่เคยไปเรียนทำแชมพู เธอเลยลองหาส่วนผสมต่างๆ มาทดลองทำ Deodorant มันในครัวที่บ้านนี่แหละ ลองอยู่เป็นร้อยสูตร ค้นคว้าหาข้อมูลอยู่หลายพันชั่วโมง ในที่สุดเธอก็ได้ Schmidt’s ออกมาสมใจ เธอเอาไปลองขายที่ Farmer’s Market กับฝากขายตามร้านเล็กๆ (อย่าง Co-Op ที่อุ้มไปเจอ) คนเริ่มพูดกันปากต่อปาก สื่อต่างๆ เริ่มพูดถึง
จน 7 ปีผ่านไป Schmidt’s เริ่มวางขายใน Walmart ใน Target บริษัทใหญ่ๆ เริ่มเห็นตัวเลขยอดขายพุ่งขึ้นทุกวัน เจมี่กลายเป็นสาวเนื้อหอมมีแต่คนมาไต่ตอมขอซื้อแบรนด์ สุดท้ายไปตกลงปลงใจกับ Unilever ทำให้มีเงินลงทุน ขยายกิจการ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และมีช่องทางการขายกระจายไปทั่วโลก
ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของ Schmidt’s มีขายใน 30 ประเทศ ยอดขายไม่ต้องพูดถึง แอบได้ยินจากคนรู้จักมาว่าเมื่อปีก่อนครอบครัวชมิดท์เพิ่งซื้อบ้านราคาเกือบร้อยล้านบาท ลองกูเกิล Jaime Schmidt ดูก็ได้ค่ะ มีบทความขึ้นมาให้อ่านนับไม่ถ้วนเลย
แต่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่เราเห็น เริ่มต้นจากแค่ครีมกระปุกเล็กๆ ในครัวของผู้หญิงคนหนึ่ง ในเมืองที่คนสนใจสุขภาพและพร้อมสนับสนุนคนตั้งใจทำดี เรื่องแบบนี้มันมีคุณค่าทางใจนะคะ ทุกวันนี้เวลาอุ้มเปิดฝา Schmidt’s ออกใช้ อุ้มยังจำได้ถึงครีมกระปุกแรกที่หยิบมาจากชั้นเล็กๆ เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนได้อยู่เลย
6. SOCK it to me
ถุงเท้านิ่มสบายลายสนุกสนาน
ก่อตั้งโดย แครี่ แอทคินสัน (Carrie Atkinson)
เรียนจบปริญญาตรี หางานทำไม่ได้ ปัญหาระดับโลกเลยใช่ไหมคะ
แครี่ แอทคินสัน ก็ประสบปัญหาเดียวกัน สาวลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน เรียนจบ หางานทำอยู่ 2 ปีก็ยังไม่มีอะไรทำเป็นหลักแหล่ง ระหว่างรับจ้างทำความสะอาดบ้านคนเพื่อหารายได้ยังชีพ เธอรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมา เพราะคิดว่าชีวิตต้องทำอะไรได้มากกว่านี้
เธอนึกขึ้นได้ถึงถุงเท้าดีๆ ที่เคยใส่สมัยไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่เกาหลีใต้ ก็เลยลองสั่งเข้ามาขาย ค.ศ. 2004 (มันเกิดปรากฏการณ์อะไรในปีนี้นะว่าไหม ทำไมผู้หญิงพอร์ตแลนด์ลุกขึ้นมาทำอะไรพร้อมกัน) เธอไปเช่าเต็นท์ใน Farmer’s Market แล้วก็พบว่าตลาดนี้ต้องไปได้ดีแน่ เพราะถุงเท้าสั่งเข้ามาขายเท่าไหร่ก็หมดเกลี้ยง
จากโต๊ะรกๆ ในห้องนอน เธอคิดการณ์ใหญ่ วางแผนสร้างแบรนด์ SOCK it to me หาผู้ผลิต หาคนออกแบบ ไปออกงานแสดงสินค้าเพื่อเปิดตลาดขายส่ง จุดเด่นของถุงเท้าของเธอคือลายบ้าๆ บอๆ และใส่สบาย ซักแล้วไม่โทรมเร็ว (อันนี้จากประสบการณ์อุ้มใช้มาหลายคู่ หลายปี ยืนยันว่าดีจริงค่ะ) คือคุณภาพดีและเด่นสะดุดตา ว่าอย่างนั้น
หลายปีผ่านไป จากคนทำงานแค่ไม่กี่คน บริษัทของเธอโตแบบก้าวกระโดด ตอนนี้มีคนทำงาน 40 กว่า มีถุงเท้าหลายร้อยลาย และมียอดขายปีละหลายร้อยล้านบาท กลายเป็นสตาร์ทอัพของผู้หญิงที่สื่อด้านธุรกิจการเงินพากันพูดถึง
แครี่บอกว่าเธอไม่ได้ขายแค่ถุงเท้า แต่เธอขายช่องทางให้คนได้ Express ตัวเอง เพราะเธอสังเกตว่า เดี๋ยวนี้คนอยากแสดงออกด้วยลายสัก ด้วยเครื่องประดับ ด้วยเครื่องสำอาง ด้วยเสื้อผ้า แต่ยังไม่มีใครทำถุงเท้าใส่สบาย ลายแสบๆ ออกมา ทั้งที่มันแสดงตัวตนของคนใส่ได้ดีจะตาย
ที่เหลือก็เลยกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปค่ะ
นี่อุ้มนั่งมองถุงเท้าลายทำขนมที่ใส่บ่อยมาก กับถุงเท้านางเงือกที่ลูกซื้อให้วันเกิด แล้วก็มีอันต้องอมยิ้ม มันน่ารักจริงๆ นะ เคยซื้อลายเกมอาตาริส่งไปให้เพื่อนที่เมืองไทยก็โดน คือใครชอบอะไรหาได้หมด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาขายดีได้ยังไงเนอะ