“คนที่ไปทะเลคนเดียว ไม่หนีร้อนก็หนีรัก” เป็นคำพูดติดปากจากใครหลายคนที่เราก็สงสัยเหมือนกันว่าไปทะเลเพื่อหนีร้อน มันจะยิ่งร้อนกว่าเดิมหรือเปล่า หรือไปทะเลเพื่อหนีรักในช่วงเวลาที่อกหัก ดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าหนีร้อนนะ อืม นานาจิตตังด้วยความคิดที่หลากหลายแตกต่างกันไป

เราเชื่อว่าเวลาคนเราอยู่ในช่วงที่อ่อนไหวง่าย หัวใจมักต้องการพื้นที่เยียวยาและการเข้าหาธรรมชาติ เป็นวิธีที่เวิร์กมากเลยนะ และเราก็เลือกวิธีนี้สำหรับตัวเองเช่นกัน

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง
หาดถ้ำพัง

พา ‘ใจเฉา ๆ’ ออกเดินทาง

ครั้งแรกที่ได้ออกเดินทางไปยังเกาะสีชัง เราเริ่มต้นจากสถานีขนส่งเอกมัย นั่งรถทัวร์รอบ 7 โมงเช้า ค่ารถประมาณ 95 – 108 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อถึงหน้าห้างโรบินสัน ศรีราชา ให้แจ้งคนขับรถพร้อมเตรียมตัวลง จากนั้นต่อรถตุ๊กตุ๊กไปท่าเรือเกาะลอยอีก 60 บาท (แนะนำให้ขึ้นรถฝั่งเดียวกับห้างโรบินสัน ค่ารถจะถูกกว่าฝั่งที่รถทัวร์จอดประมาณ 20 บาท) และต่อสุดท้าย นั่งเรือโดยสารไปเกาะอีก 45 นาที ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงนิด ๆ ฟังดูเหมือนเดินทางยาก แต่จริง ๆ แล้วสะดวกมาก 

เมื่อเรือจอดเทียบฝั่งท่าเรือเกาะสีชัง เราตื่นเต้นมากที่ได้เห็นความครึกครื้น ความมีชีวิตชีวาของเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ มีคนขับรถสกายแล็บมารอตรงท่าเรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มาเยือน และมีบริการรับ-ส่งไปยังที่พักบนเกาะ นอกจากนั้นยังมีให้บริการนำเที่ยวแบบเหมาคัน ประมาณ 300 บาท หรือหากใครสายลุยและขี่มอเตอร์ไซค์เป็นก็เช่ารถรายวันได้เช่นกัน ที่สำคัญ ชาวเกาะสีชังยืนยันว่าบนเกาะไม่มีขโมยขโจร ไม่ใช่เพราะระบบความปลอดภัยเขาแน่นหนา แต่เป็นเพราะภูมิศาสตร์ของการเดินทางออกจากเกาะมีเพียงทางเดียว คือทางเรือตรงท่าเรือหลักนี้เท่านั้น ผู้มาเยือนอย่างเราจึงมั่นใจได้ว่ารถไม่หายแน่นอน

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง
ท่าเรือเกาะสีชัง

เอาล่ะ สิ่งแรกที่เราทำ คือการขี่มอเตอร์ไซค์ไปเก็บกระเป๋าเข้าที่พักแบบไม่มีกำหนดวันเช็กเอาต์ จากนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปสำรวจรอบเกาะโดยไม่เปิด Google Maps ใช้เพียงหัวใจนำทางไปยังจุดต่าง ๆ ตามป้ายที่ติดเป็นระยะ ๆ จนได้ค้นพบว่าเที่ยว 1 วันก็เกือบรอบเกาะแล้ว ด้วยความที่เกาะสีชังเป็นเกาะเล็ก ไม่มีสะพานข้ามไปยังเกาะอื่น ทำให้เส้นทางการสำรวจครั้งแรกของเราจึงค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อน 

สิ่งที่เราได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมจากการมาเกาะสีชังครั้งแรกนี้ คือบนเกาะนี้ไม่มีไร่ ฟาร์ม หรือการทำการเกษตรเหมือนพื้นที่อื่น ๆ เนื่องจากที่นี่ไม่มีแหล่งน้ำหรือน้ำประปาสำหรับใช้สอย คุณลุงจากที่พักเล่าว่าการขุดเจาะน้ำบาดาลต้องลงทุนค่อนข้างสูง และบางครั้งการขุดดินเพื่อหาน้ำใต้ดินก็ไม่เจอ ต้องขุดลงไปลึกกว่าปกติ ฉะนั้น ชาวเกาะจึงนิยมซื้อน้ำใช้จากบนฝั่งที่เกาะลอยมาเป็นแกลลอนยักษ์ ขนส่งมาทางเรือ บางบ้านก็ใช้วิธีกักตุนน้ำใช้จากน้ำฝนในช่วงฤดูฝน เพื่อเป็นการประหยัดค่าน้ำได้อีกทางหนึ่ง 

เราสังเกตเห็นว่าคนบนเกาะมักให้แขกผู้มาเยือนทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าให้ช่วยกันประหยัดน้ำ เนื่องจากเขามีน้ำใช้อย่างจำกัดจริง ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้มาเยือนอย่างเราพร้อมใจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

เที่ยว 1 วันก็รอบเกาะแล้ว ทำไมถึงอยู่ตั้ง 5 วัน

อยากจะลองทำตามใจตัวเองแบบไม่มีแพลนใด ๆ ไม่มีการปักหมุดว่าจะต้องตามไปเก็บทุกที่เพื่อถ่ายรูปลงโซเชียล หรือถ้าไม่ไปตรงนั้นตรงนี้ถือว่าพลาดมาก 

เราเพียงแค่อยากยืนดูทะเล ฟังเสียงคลื่น และเล่นน้ำคนเดียวแบบเงียบ ๆ ในวันธรรมดาที่ไร้นักท่องเที่ยว ปล่อยให้กลิ่นทะเล เสียงคลื่นที่ซัดฝั่ง บำบัดเยียวยาหัวใจให้หายเหนื่อยจากโลกข้างนอกที่แสนวุ่นวาย

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

เราเลยขอเรียกทริปนี้ว่า ‘Sichang Heals My Soul’ อย่างแท้จริง เราอนุญาตปล่อยให้ตัวเองไปสัมผัสกับธรรมชาติใกล้ ๆ กรุงเทพฯ โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นทางเหนือเพื่อเข้าป่าหรือหาพื้นที่สีเขียวอย่างเดียวเท่านั้น เราอยู่กับธรรมชาติที่ไหนก็ได้ แค่ให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ซึ่งเกาะสีชังเป็นจุดหมายที่เราเลือกมาเพื่อเยียวยาอาการเบื่อวิถีชาวเมืองผ่านสัมผัสทั้ง 5 นี้  

การมองเห็น : มองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารอบ ๆ พิจารณาอย่างถ้วนถี่ว่าเรามองเห็นอะไรบ้าง ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ แสงแดด ต้นไม้ ใบหญ้า สีของน้ำทะเล คลื่นทะเล ก้อนกรวด เม็ดทราย โดยปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในความคิดอันแสนวุ่นวายออกไป เพื่ออยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ

การได้กลิ่น : จากนั้นค่อย ๆ หลับตา ดมเพื่อสัมผัสกลิ่นธรรมชาติ พิจารณากลิ่นไปทีละชั้น เช่น กลิ่นดิน กลิ่นดอกหญ้า กลิ่นทะเลที่ค่อย ๆ ลอยผ่านจมูก เคยมีนักจิตวิทยาคนหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนเราจดจำกลิ่นได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 อื่น ๆ เพราะ ‘กลิ่น’ จะส่งตรงไปยังประสาทการรับกลิ่นที่ใกล้ชิดกับสมองมากที่สุดหรือ Limbic System ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และความทรงจำ เลยเป็นเหตุผลที่ว่าคนเรามักจำใครสักคนผ่านการได้รับกลิ่น เช่น กลิ่นตัวหรือกลิ่นน้ำหอมของเขานั่นเอง และการดมกลิ่นธรรมชาติ ก็เป็นวิธีการบำบัดความเครียดได้เช่นกัน

การได้ยิน : ปรับจุดโฟกัสไปทีละอย่าง ตั้งใจฟังเสียงลม เสียงคลื่น เสียงเท้าที่ย่ำกับดิน เสียงใบไม้กระทบกัน ฟังจังหวะของเสียงนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร 

การสัมผัส : หาที่นั่งลงตรงจุดที่เราสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นตรงโขดหิน ขอบคอนกรีตตรงจุดชมวิว พื้นทรายริมหาด หรือบนพื้นหญ้าบริเวณนั้น ๆ ค่อย ๆ เอามือสัมผัสดิน ทราย ต้นหญ้า สัมผัสให้รู้ว่าต้นหญ้าต้นนั้นมีพื้นผิวเป็นอย่างไร ดินที่ติดมือให้ความรู้สึกยังไง หินก้อนนั้นที่อยู่ข้าง ๆ มีความกระด้างอย่างไร 

การรับรส : การรับรสนี้ไม่ได้หมายถึงการชิมน้ำทะเล หรือหยิบเม็ดทราย ต้นหญ้าขึ้นมากินนะ ถ้าสำหรับทางป่า มันคือการลิ้มรสผลไม้หรืออาหารป่าที่หากินได้ง่าย ณ ขณะนั้น แต่ของเรา เราเลือกใช้เป็นน้ำเปล่าที่พกไปแทน ดื่มเพื่อรับรู้รสและเข้าใจรสชาติของน้ำดื่มตอนนั้นว่ามีรสชาติอย่างไรก็เพียงพอแล้ว

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

ต้องขอเกริ่นไว้ก่อนว่าวิธีการเยียวยาด้วยธรรมชาติบำบัดของแต่ละคนย่อมให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น วิธีการสัมผัสทั้ง 5 ที่เราใช้อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน หรือหากคุณอยากลองใช้วิธีเดียวกันกับเรา เราก็ยินดีมาก ๆ หวังว่ามันจะได้ผลดีกับคุณ และเราเชื่อว่าสัมผัสทั้ง 5 นี้ จะทำให้คุณเห็นคุณค่าของธรรมชาติมากขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณเองก็จะมีความสุขได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

อยู่เกาะหลายวัน ต้องหาอะไรทำซะหน่อย

เราได้ตั้ง Challenge ใหม่ของตัวเองเพิ่มมาอีก 1 อย่าง นั่นคือการตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และรอเวลาดูพระอาทิตย์ตกในแต่ละจุดที่ไม่ซ้ำกัน ระหว่างที่ติดเกาะแห่งนี้เป็นเวลา 4 คืน กับ 5 วัน การตื่นเช้าสำหรับคนที่ตื่นสายอย่างเรานับเป็นเรื่องยากมาก ยากกว่าการบังคับให้กินผักเขียวที่เราไม่ชอบเสียอีก 

เช้าแรกของทริปนี้ เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 5 ครึ่ง เผื่อเวลาสำหรับการเตรียมตัวและขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่สะพานเขียว จุดลับที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยไปกัน ไม่มีอยู่ในแผนที่ แต่เป็นที่รู้จักของชาวประมงในพื้นที่และนักตกปลาขาจรที่มาจากฝั่ง 

เป็นการตื่นเช้าวันแรกที่ยากพอสมควร ตื่นมาแล้วงัวเงียและงอแงอยากนอนต่อ จนต้องเกลี้ยกล่อมตัวเองตอนตื่นอยู่พักใหญ่ 

“ฝืนตัวเองซักหน่อย ลองดูซักหน่อยน่า แกไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว ไปเถอะ”

โอ้โห! พระอาทิตย์ออกมาต้อนรับการตื่นเช้าแรกของเราได้อบอุ่นมาก เขาค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากฉากหลังของภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทีละเล็กทีละน้อย ลมเย็น ๆ จากทะเลค่อย ๆ พัดผ่านผิวหน้าอย่างอ่อนโยน พอทำให้รู้สึกตื่นขึ้นมาบ้าง เสียงคลื่นทะเลกระทบกันเป็นทำนองของธรรมชาติ โดยที่ตรงนั้นมีเพียงตัวเรากับน้องหมาเจ้าถิ่น

“ฉันเจอที่ชอบที่ชอบแล้วล่ะ!” 

ลองใช้ชีวิตเร่ร่อนตอนกลางวันในช่วงที่แดดเปรี้ยง

เกาะสีชัง มีอะไรมากกว่าที่คิดและเป็นมิตรต่อทาสหมามาก ๆ ระหว่างสำรวจรอบเกาะ เรามักจะเจอกับแก๊งโบ้ (เราเรียกหมาทุกตัวว่า โบ้) ตามข้างทาง น้อง ๆ นิสัยน่ารักมาก ไม่เห่า ไม่ดุ ไม่กัด ไม่วิ่งไล่รถมอเตอร์ไซค์ แถมยังยอมให้เล่นอีกด้วย น้อง ๆ เป็นหมาที่ดีเกินไปจนน่าสงสัย แล้วเราก็ได้คำตอบจากคุณป้าคนหนึ่งว่า 

“หมาที่นี่เป็นหมาจรจัด แต่ก่อนเคยดุมาก ไม่ให้ใครเข้าใกล้เลย ชาวบ้านบนเกาะเลยช่วยกันเลี้ยงดูเขาอย่างดี ค่อย ๆ ทำความรู้จัก ให้อาหารบ่อย ๆ จนน้องเริ่มคุ้นชินและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น จนในที่สุดน้อง ๆ ก็เริ่มเข้าใจเองว่ามนุษย์ไม่ได้มาทำร้าย เขาจึงเริ่มเป็นมิตรกับมนุษย์ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหนูเจอหมาดุ แสดงว่าเป็นหมาเลี้ยงที่เจ้าของไม่น่ารัก หมาก็เลยนิสัยเสียไปด้วย” คำตอบจากคุณป้าคนหนึ่ง ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจแทนน้องโบ้ทุกตัวเลย

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง 

ในทุก ๆ การเดินทาง มนุษย์อย่างเรายังคงต้องเติมเสบียงอาหารลงกระเพาะ ในหลาย ๆ มื้อที่อยู่บนเกาะเราจึงฝากความหิวไว้กับ ‘ร้านเจ๊อ๋อยหยุดบ่อย’ เป็นร้านที่อาหารทะเลสดมาก เพราะเขาจับกุ้ง หอย ปู ปลา จากเกาะได้เองแบบวันต่อวัน แถมราคาเป็นมิตร เรากินอาหารทะเลราคาหลักสิบไปถึงหลักร้อยต้น ๆ ได้แบบเต็มปากเต็มคำ เมนูก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งลวกจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด จะกินเป็นกับข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวก็เข้าที

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

หลังจากอิ่มท้อง หนังตาเริ่มหย่อน อยากหาอะไรทำแก้ง่วง เลยเลือกขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาไปยังมณฑปรอยพระพุทธบาท ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงที่สุดในเกาะสีชัง เป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่อัญเชิญจากเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อเป็นจุดรวมศรัทธาทางศาสนาให้กับชาวเกาะ ทางขึ้นชันพอสมควร อาการง่วงนั้นจึงหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะต้องมีสมาธิในการขี่มอเตอร์ไซค์มากกว่าปกติ เมื่อมาถึง ข้างบนอากาศค่อนข้างร้อนแต่ก็คุ้มค่า เพราะวิวด้านบนคือภาพเกาะสีชังแบบ 360 องศา มองได้เพลิดเพลินตามาก แม้จะร้อนเท้าจากแดดในช่วงบ่าย

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

เมื่อชมวิวจนพอใจแล้ว เราก็เหลือบไปเห็นบันไดตรงทางลงอีกฝั่งของทางขึ้น เลยตัดสินใจลองเดินลงไปดู ไปเจอกับศาลเจ้าสีแดงชื่อว่า ‘ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเกาะสีชัง ใคร ๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามาขอพรแล้วมักสมปรารถนา และต้องกลับมาไหว้ท่านเพื่อแก้บนอยู่บ่อยครั้ง เราเองก็ไม่พลาดที่จะลองทำตามคำบอกเล่าจากนักแสวงโชคที่กลับมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บันทึก 5 วันบนเกาะสีชัง ทริปไร้แพลนให้ทะเลชุบชูหัวใจและรักษาอาการเบื่อหน่ายเมืองกรุง

จากนั้น เมื่อกราบไหว้สักการะเจ้าพ่อเสร็จแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่าต้องเดินกลับขึ้นไปทางเดิม เพื่อไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ตรงรอยพระพุทธบาท แค่มองขึ้นไปก็หอบแล้ว จนต้องแอบร้องโอยเบา ๆ เพียงลำพัง 

ฮึบ ฮึบ ฮึบ!

‘ช่องเขาขาด’ เป็นจุดที่คุณลุงคุณป้าและพี่ ๆ บนเกาะแนะนำไปในทางเดียวกันว่าเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดบนเกาะสีชัง จากบ่ายแก่ ๆ วันนั้น เราจึงลองเดินรอบ ๆ ดูว่ามีอะไรน่าค้นหาบ้าง ก่อนจะย้อนกลับมาดูพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น เส้นทางเดินค่อนข้างง่าย แต่มีบางช่วงที่ต้องฝ่าดงหญ้าสูงเป็นระยะ ๆ และเดินทะลุพงหญ้าเพื่อไปเจอกับจุดชมวิวต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เจอกับหน้าผาสำหรับยืนชมวิวที่สวยมาก ๆ แห่งนี้แน่นอน

5 วันบนเกาะสีชังของมนุษย์อินโทรเวิร์ต ผู้ออกเดินทางพร้อมใจเฉา ๆ แบบไร้แพลน เพื่อให้ทะเล-เรื่องราวระหว่างทางเยียวยา

มุมนี้เป็นมุมที่เราภูมิใจนำเสนอมาก เพราะยังไม่เคยเห็นคนรีวิวมุมนี้มาก่อน มุมต้นปาล์มแฝดทั้ง 5 ริมหน้าผาที่หาทางเข้ามาได้แบบงง ๆ มุมนี้มีจุดสังเกตในการเดินหาทางเข้ายากอยู่ เพราะมีพงหญ้าบดบังพลางตาไว้

5 วันบนเกาะสีชังของมนุษย์อินโทรเวิร์ต ผู้ออกเดินทางพร้อมใจเฉา ๆ แบบไร้แพลน เพื่อให้ทะเล-เรื่องราวระหว่างทางเยียวยา

ตอนเดินออกมาจากช่องเขาขาด เราเหลือบไปเห็นป้ายแนะนำสถานที่เที่ยวอีกหลายจุด และมีจุดหนึ่งที่เราอยากไปนั่งชิลล์เพื่อรอเวลาดูพระอาทิตย์ตก นั่นก็คือ ‘สะพานอัษฎางค์’ หรือมีอีกชื่อว่า ‘สะพานแห่งรัก’ ตั้งอยู่ในพระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน ซึ่งอนุญาตให้ประชาชนเข้าไปเยี่ยมชมและพักผ่อนหย่อนใจได้ โดยไม่มีค่าเข้าชม

ปลายแหลมถ้ำพัง Unseen ของเกาะ ถ้ามาครั้งแรกมักหาทางลงไปจุดนี้ไม่เจอแม้จะมีป้ายแล้วก็ตาม เป็นจุดที่ต้องใช้กำลังขาพอสมควร ทางลงเป็นบันไดสลับกับทางดินที่ค่อนข้างลื่น ต้องคอยก้าวขาอย่างระมัดระวัง และที่นี่ก็เป็นที่เดียวที่เราใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ในที่ทึบแคบ ๆ ตรงด้านล่างที่เป็นโขดหินและมีคลื่นทะเลซัดผ่านอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่สนุกกับการถ่ายรูปจุดนี้นะ 

5 วันบนเกาะสีชังของมนุษย์อินโทรเวิร์ต ผู้ออกเดินทางพร้อมใจเฉา ๆ แบบไร้แพลน เพื่อให้ทะเล-เรื่องราวระหว่างทางเยียวยา

ตะวันลับฟ้า เพื่อเริ่มเช้าวันใหม่

เราขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับมาที่ช่องเขาขาดอีกครั้ง เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกกับคู่รักที่ไม่รู้จักกัน พอเห็นคนมีคู่อยู่ในช่วงเวลาโรแมนติกแบบนี้ ก็เหมือนว่าอาการเหงาของเราจะกำเริบขึ้นมาทันทีทันใด 

ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินเป็นช่วงเวลาที่เรานิยามไว้ว่า “เป็นเวลาของการจากลาในทุก ๆ ความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีในวันนี้ เพื่อเจอความรู้สึกใหม่ ๆ ในเช้าอีกวัน”

หลังจากได้ไปเกาะสีชังครั้งแรกครั้งนั้น เรามักได้กลิ่นทะเลของที่นี่ติดปลายจมูกทุกครั้งยามอยากหาที่ผ่อนคลาย ราวกับว่าเป็นกลิ่นในความทรงจำที่คอยย้ำเตือนให้ต้องกลับมาเกาะสีชังบ่อยครั้ง จนที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเราไปแล้ว 

นอกจากเราจะชอบ (ภู) เขาแล้ว เรายังชอบเธอด้วยนะ… เกาะสีชัง

Write on The Cloud

Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

รดา อุปลานนท์

รดา อุปลานนท์

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่เวลาเบื่อชอบหนีขึ้นดอยและพักหลังก็ชอบหนีไปทะเลด้วย และตอนนี้กำลังสนใจด้านจิตวิทยาเยียวยาตัวเองจากธรรมชาติ