10 ตุลาคม 2024
2 K

“อาหารไทยปราบเซียนที่สุดแล้ว มีทั้งแกงกะทิ น้ำจิ้ม แกงจืด ซึ่งปกติการทำปุ๋ยคือเลี่ยงน้ำซุปน้ำแกง แต่พอมองในแง่การใช้งานจริง ถ้าต้องเทน้ำแกงลงอ่าง เรามองว่าเป็นการใช้งานเครื่องได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เราเลยหาทางออกแบบเครื่องให้ทิ้งน้ำแกงได้ 

“ใบกวนทุกใบมีเหตุผลที่ต้องทำมุมแบบนี้ มีเหตุผลว่าทำไมต้องมีจำนวนเท่านี้ อุปกรณ์ทุกตัวมีเหตุผลหมดว่าทำไมต้องสเปกเท่านี้ 

“ด้วยความที่เราออกแบบเองทั้งหมด เราเลยพยายามคิดแทนผู้ใช้งานว่าเขาต้องการอะไร 

“เราไม่อยากผลักภาระค่าบำรุงรักษาให้ลูกค้า เราอยากให้เขารู้สึกเหมือนใช้เครื่องซักผ้าที่ไม่รู้สึกเดือดร้อนที่ต้องซื้อน้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม”

ทั้งหมดนี้คือบางส่วนของแนวคิดการพัฒนาเครื่องกำจัดเศษอาหารสัญชาติไทย ซึ่งมีคู่พี่น้องอย่าง กัส-อภิษฎา ตัณฑพงศ์ หญิงสาวดีกรีปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกลและปริญญาโทเทคโนโลยีการจัดการพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนา และ ก๊อต-รมิดา ตัณฑพงศ์ ผู้เรียนจบด้านการออกแบบภายใน รับหน้าที่สร้างแบรนด์และออกแบบรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์  

ภายใต้ตัวเครื่องที่ดูมินิมอลเรียบง่าย แต่เบื้องหลังการพัฒนานั้นสุดแสนทรหดและมีเรื่องเล่ามากมาย กว่าจะกลายมาเป็นเครื่องกำจัดเศษอาหารโดยคนไทยที่ไม่เหมือนใครในชื่อ ‘Klaren’  

กองปุ๋ยหมักในโรงงาน 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ในวันที่กัสเพิ่งเรียนจบมาไม่นาน พ่อของเธอก็เปรยขึ้นมาว่าอยากทำเครื่องกำจัดเศษอาหาร ด้วยสายเลือดวิศวกรนักแก้ปัญหา เธอจึงตัดสินใจรับคำท้าของพ่อ 

“บ้านเราทำบริษัทวิศวกรรม และพ่อมีความเป็นวิศวกรอยู่ในสายเลือด เป็นนักประดิษฐ์ ชอบแก้ปัญหา เขาคงมองเห็นแล้วว่าทุกบ้านมีเศษอาหาร เขาเลยให้โจทย์เรามา ตอนนั้นเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องนี้คืออะไร ทำงานยังไง รู้แค่ว่าใส่เศษอาหารลงไปแล้วจะแปรรูปเป็นปุ๋ย”

กัสจึงเริ่มต้นศึกษาข้อมูลเครื่องกำจัดเศษอาหารทุกรูปแบบที่มีในท้องตลาด พร้อมย้อนกลับไปสู่คำถามตั้งต้นว่า แล้วในกระบวนการธรรมชาติ เศษอาหารแปรเป็นปุ๋ยได้อย่างไร 

“เราศึกษาการทำปุ๋ยทุกรูปแบบเลย จนไปถูกใจวิธีหมักปุ๋ยแบบพลิกกลับกอง เพราะไม่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก และมองว่าน่าจะพัฒนามาเป็นเครื่องได้”

กัสขยายความวิธีทำปุ๋ยหมักแบบพลิกกลับกองว่า คือการนำ ‘วัสดุสีน้ำตาล’ (เช่น เศษใบไม้ ฟาง) กับ ‘วัสดุสีเขียว’ (เช่น เศษอาหาร ขี้วัว ขี้ไก่ กากถั่วเหลือง กากน้ำตาล) มากองสลับกันเป็นชั้น ๆ ผ่านแดด ผ่านฝน ผ่านการพลิกกลับกอง จนกระทั่งจุลินทรีย์ในวัสดุสีเขียวแปรสภาพวัตถุดิบตั้งต้นให้กลายเป็นปุ๋ย

แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นก็ไม่เท่าลงมือทำ กัสจึงเริ่มลงมือปฏิบัติจริงโดยใช้วัสดุตั้งต้นทุกรูปแบบที่เป็นไปได้ โดยมีพื้นที่โรงงานเป็นห้องทดลอง

“ตอนอ่านมันง่ายนะ แต่พอลงมือทำจริงเละเทะมาก ปัญหาแรก คือเรื่องกลิ่น เพราะเราเอาวัสดุอินทรีย์มาไว้ในพื้นที่โรงงาน สอง คือเรื่องมด แมลง หนู สาม คือระยะเวลาที่ต้องใช้ 3 – 6 เดือน อาทิตย์หนึ่งผ่านไปกองปุ๋ยยังไม่แห้งเลย แล้วก็ต้องมาคอยพลิกกลับกอง ตากแดด คลุมผ้า”

แม้จะเลอะเทอะและทุลักทุเล แต่ในที่สุดกองวัสดุอินทรีย์เหล่านั้นก็ย่อยสลายเป็นดินหลังผ่านไป 6 เดือน เมื่อเข้าใจขั้นตอนและหลักการแล้ว กัสจึงเริ่มตั้งทีม R&D เพื่อออกแบบตัวเครื่องที่จะทำหน้าที่ทั้งหมดนั้นแทนมนุษย์ 

“กองปุ๋ยธรรมชาติใช้เวลานานเพราะเราควบคุมสภาพแวดล้อมไม่ได้ เช่น ถ้าไม่มีแดดความชื้นก็สูงเกิน ถ้าแห้งไปไม่มีความชื้นเลยก็ไม่ได้อีก แต่ถ้าเป็นเครื่องจะคุมตัวแปรทุกอย่างได้หมดเลย อุณหภูมิเท่าไหร่ ความชื้นเท่าไหร่ที่จะทำให้จุลินทรีย์ในวัสดุอินทรีย์ทำงานได้ดีที่สุด ทำให้ย่นระยะเวลาจาก 3 – 6 เดือน เหลือแค่ 24 ชั่วโมง แล้วก็ไม่ต้องคอยมาพลิกกอง ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นและแมลง” 

แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นเริ่มมีผู้นำเข้าเครื่องกำจัดเศษอาหารมาขายในไทยแล้ว โจทย์ถัดมาของเธอ คือจะทำอย่างไรให้เครื่องนี้แตกต่างจากเครื่องอื่น ๆ 

“ตอนเราหาข้อมูล พบว่าปัญหาหนึ่งของทุกยี่ห้อคือต้องใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์ ซึ่งเติมครั้งหนึ่งก็หลักพันบาท นี่คือโจทย์ยาก เพราะเราไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องจุลชีววิทยา เราทดเรื่องนี้ไว้ในใจ แล้วตั้งต้นด้วยงานทางกลก่อน”

แต่ปรากฏว่าเมื่อพัฒนากลไกเครื่องจนสำเร็จเรียบร้อย ได้ออกมาเป็นดินและลองนำส่งห้องแล็บของมหาวิทยาลัย ผลทดสอบชี้ว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับปุ๋ยอินทรีย์ นั่นแปลว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมภายในถังให้เหมาะสม และกระบวนการย่อยสลายก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเติมจุลินทรีย์สังเคราะห์ใด ๆ 

“เครื่องแต่ละยี่ห้อดูภายนอกอาจจะคล้าย ๆ กัน มีใบกวนเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วกระบวนการภายในเป็นคนละเรื่องเลย ด้วยความที่เครื่องของเรามีพื้นฐานมาจากการทำปุ๋ยหมักแบบชาวบ้าน ทำให้จุลินทรีย์ในเศษอาหารก็เพียงพอแล้ว” 

ส่วนข้อจำกัดถัดมาของเครื่องกำจัดเศษอาหารแบรนด์ต่างประเทศ คือไม่ได้ออกแบบมาสำหรับอาหารไทยที่มีสารพัดแกง สารพัดน้ำจิ้ม 

“กุญแจสำคัญของการแปรรูปน้ำแกงคือเอาน้ำออกไป เพราะกากที่เหลืออยู่คือเศษอาหาร ตอนแรกก็คิดว่าต้องต่อท่อน้ำทิ้งไหม แต่เรามองว่ายุ่งยากและสร้างน้ำเสีย เลยใช้หลักการทางกลในการจัดการกับความชื้นส่วนเกินตรงนี้” 

โจทย์ที่ 3 คือเรื่องพลังงาน กัสพบว่าในการใช้งานจริง ไม่มีใครใส่เศษอาหารตลอดเวลา ดังนั้น เธอจึงออกแบบให้เครื่องมี 2 โหมด คือโหมดแปรสภาพเศษอาหารกับโหมดสแตนด์บาย ทำให้เครื่องไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ผลคือประหยัดพลังงานได้มาก แต่ขณะเดียวกัน เครื่องก็จะสลับโหมดเองอัตโนมัติ โดยเข้าสู่โหมดแปรสภาพอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน โดยผู้ใช้งานจะใส่เศษอาหารลงไปกี่ครั้งก็ได้ ตอนไหนก็ได้ในปริมาณ 3 กิโลกรัมต่อวัน 

“สุดท้ายคือการบำรุงรักษา เราไม่อยากผลักภาระให้ผู้บริโภคมาก สิ่งที่ต้องดูแลจึงมีแค่ถอดฟิลเตอร์มาล้าง เนื่องจากระบบมีการเติมอากาศเข้า-ออกถังหมักเพื่อไม่ให้เกิดก๊าซมีเทน จึงจำเป็นต้องมีฟิลเตอร์ป้องกันฝุ่นออกสู่ภายนอก ส่วนสิ่งที่ต้องซื้อเติมก็มีแค่วัสดุตั้งต้นที่เป็นวัสดุอินทรีย์ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่ค้นพบจากการทดลอง กับตัวดูดซับกลิ่นที่เป็นถ่านกัมมันต์จากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งราคาอยู่แค่หลักร้อย ใช้งานได้ 3 – 6 เดือน”  

เมื่อพัฒนาจนกระทั่งจุดแตกต่างทั้ง 4 ข้อเป็นจริง และได้ผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ ก็ถึงเวลานำไปให้คนอื่นลองใช้บ้าง กัสและทีมจึงผลิตเครื่องต้นแบบเพิ่มขึ้นมาอีก 5 เครื่อง และส่งไปให้กลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย นับตั้งแต่แม่บ้าน ไปจนถึงขอตั้งในร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงวางไว้ในห้องครัวของออฟฟิศและโซนอาหารของโรงงาน 

ผลปรากฏว่า ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คิดไว้เลย

ก้อนข้าวเหนียวในตู้เย็น

“ในเดือนแรก ทั้ง 5 เครื่องเจอปัญหาหมดเลย บางที่ใส่เศษอาหารน้อยไป ทำให้แห้งเกิน ฟุ้งเป็นฝุ่น บางที่ทิ้งเกิน 3 กิโลกรัมที่เรากำหนด ทำให้ย่อยสลายไม่ทัน ไม่มีจุดไหนได้ผลแบบเดียวกับที่เราทำเองเลย กลายเป็นว่าโจทย์ตอนนี้ไม่ใช่การทำงานของเครื่องแล้ว แต่คือพฤติกรรมผู้ใช้งานที่หลากหลาย” 

เมื่อกัสนำปัญหาที่เจอกลับมาแก้ แต่การแก้ปัญหาหนึ่งก็นำไปสู่ปัญหาใหม่ เมื่อคิดว่าใช้ได้แล้วจึงนำมาไว้ที่บ้าน พร้อมแต่งตั้งให้คุณแม่เป็น ‘นักวิจัยอาวุโส’ ผู้ทดสอบการใช้งาน 

“มีครั้งหนึ่งทดสอบในโรงงานดิบดี พอเอากลับมาตั้งที่บ้าน แล้วถึงวันที่แม่โละตู้เย็น แม่เอาก้อนข้าวเหนียวแข็ง ๆ ใส่ลงไป เครื่องพังเลย เพราะข้าวเหนียวแช่เย็นคือก้อนหินดี ๆ นี่เอง มันลงไปอยู่ที่ก้นเครื่อง แล้วเข้าไปขัดกับกลไกการทำงานของใบกวน” 

รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เองที่ทำให้การพัฒนาเครื่องใช้เวลานาน และผลจากข้าวเหนียวก้อนนั้น ทำให้กัสต้องกลับไปออกแบบกลไกใหม่ พร้อมกับหาวิธีสื่อสารใหม่กับผู้ใช้งาน 

“ในด้านกลไก เรากลับไปแก้ให้เครื่องยืดหยุ่นขึ้น และหลบหลีกปัญหาเหล่านี้แทนที่จะดึงดันสู้จนทำให้เกินความเสียหาย เพราะพอก้อนข้าวเหนียวหายแข็ง ก็กลายเป็นข้าวธรรมดาที่ย่อยสลายได้ปกติ ส่วนวิธีสื่อสาร เราบอกแม่แล้วนะว่าไม่ให้ใส่กระดูกหรือของแข็ง แต่ในสายตาแม่ ข้าวเหนียวไม่ใช่ของแข็งไง เราเลยต้องเปลี่ยนมาสื่อสารกับลูกค้าว่า อะไรที่มือลูกค้าบีบไม่แตก ใส่ไม่ได้”

และอีกหนึ่งคำแนะนำจากแม่ที่กลายมาเป็นจุดเด่นที่ลูกค้าหลายคนถูกใจ คือการกดปุ่มเพื่อถ่ายดินไปยังถาดด้านล่างได้ ทำให้ไม่ต้องก้มตักดินเองให้ปวดหลัง 

“เครื่องมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะความคิดเห็นจากแม่ อะไรที่แม่รู้สึกว่ายาก เราก็เอากลับไปปรับแก้ ยกเครื่องกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น”

“ตั้งแต่มีเครื่องนี้ ถังขยะหน้าบ้านก็ไม่เหม็นอีกเลย”

“เราอยากให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่ามีเครื่องนี้แล้วสะดวกขึ้น ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ระหว่างทำเราก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบโจทย์ได้จริงไหม จนกระทั่งวันหนึ่ง ช่วงที่เราย้ายเครื่องจากบ้านกลับไปแก้ที่โรงงาน แม่ก็ถามว่า เมื่อไหร่จะเอาเครื่องกลับมาคืน แม่ไม่อยากทิ้งลงถุงพลาสติก แล้วไปทิ้งในถังขยะเหม็น ๆ หน้าบ้าน กลายเป็นว่าเครื่องนี้ไปเปลี่ยนพฤติกรรมแม่”

กัสเล่าว่าก่อนที่จะมีเครื่องนี้ บ้านของเธอก็เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ บ้านที่ทิ้งขยะเศษอาหารลงถุงพลาสติก มัดปาก แล้วเอาไปทิ้งนอกบ้าน เพื่อไม่ให้มด แมลงวันเข้ามาตอม 

“คือเราก็รู้ในใจแหละว่าวิธีนี้ไม่ถูกแน่ ๆ แต่ไม่งั้นจะให้ทิ้งที่ไหนล่ะ แต่พอมีเครื่องนี้ แค่เปิดฝาโยน จบ ลดความยุ่งยากการจัดการเศษอาหารในบ้าน แล้วถังขยะหน้าบ้านก็ไม่เหม็นอีกเลย เพราะของที่เน่าได้อยู่ในนี้หมด นี่คือประโยชน์ทางตรงที่สุดสำหรับคนที่อาจไม่ได้อินเรื่องสิ่งแวดล้อมขนาดนั้น”

ส่วนผลพลอยได้ถัดมาก็คือปุ๋ยที่นำไปใส่ต้นไม้ได้ เธอเล่าว่าลูกค้าบางคนที่ทิ้งมะเขือเทศลงไป พอเอาปุ๋ยไปใช้ก็ได้ต้นมะเขือเทศงอกขึ้นมา (แต่กัสย้ำว่าถ้าเป็นเมล็ดใหญ่ ๆ อย่างเช่นเมล็ดขนุนหรือแกนมะม่วงใส่ไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการไปขัดใบกวน)

ประโยชน์ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับ คือในระดับสังคม เพราะขยะเศษอาหารคือสาเหตุหลักที่ทำให้กองขยะเน่าเหม็น เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค และตัดโอกาสการรีไซเคิลของขยะอื่น ๆ ที่เศษอาหารไปเปื้อน

“เราไปหาข้อมูลการจัดการขยะของ กทม. ปรากฏว่าค่าเก็บขยะที่พวกเราจ่ายกันคิดเป็นแค่ 7% ของค่าใช้จ่ายการจัดการขยะทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 93% คือ กทม. ต้องแบกรับภาระ ลองคิดดูว่าถ้าขยะเศษอาหารทั้งหมดถูกจัดการตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยลดภาระการจัดการขยะของประเทศได้เยอะขนาดไหน”

หากมองไกลขึ้นไปอีกถึงปัญหาระดับโลก ขยะเศษอาหารถือเป็นที่มาของก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้าง 8 – 10% โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนได้สูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายสิบเท่า

“มาถึงวันนี้ เป้าหมายของเราไม่ใช่การสร้างแบรนด์เครื่องกำจัดเศษอาหารที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ หรือการทำให้เครื่องขายได้ แต่เราอยากให้สิ่งที่เราทำไปช่วยแก้ปัญหาได้จริง ๆ แต่การจะบอกว่าเครื่องนี้ช่วยแก้ปัญหาได้ เราพูดเองก็อาจยังไม่มีน้ำหนัก เราก็เลยพยายามหาข้อมูลมายืนยัน จนได้ไปอบรมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.)”

กัสจึงสมัครเข้าร่วมโครงการ LESS (Low Emission Support Scheme) ซึ่ง อบก. จะให้การรับรองและใบประกาศเกียรติคุณแก่กิจกรรมที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเครื่องกำจัดเศษอาหารของเธอก็ได้ใบรับรองนั้นด้วย โดยคิดเป็นตัวเลขราว ๆ 300 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 17 ต้นต่อปี 

  “พอเราได้เห็นว่าคุณค่าที่เกิดขึ้นคืออะไร ความเหนื่อยทั้งหมดที่ผ่านมาหายเป็นปลิดทิ้งเลย พอได้ใบประกาศฯ ทุกคนในทีมตื่นเต้นกันมาก เพราะมันคือสิ่งยืนยันว่า เครื่องนี้ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ๆ ทำให้เรามีแรงฮึดที่จะพัฒนาต่อไปอีก” 

ปัจจุบันทีมของเธออยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องกำจัดเศษอาหารในระดับที่ใหญ่ขึ้นสำหรับร้านอาหาร ศูนย์อาหาร หรือโรงแรม โดยตั้งเป้าให้กำจัดเศษอาหารได้ 50 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้ได้จากการที่กัสไปนั่งในร้านอาหารแล้วคอยสังเกตปริมาณอาหารเหลือในแต่ละโต๊ะ และบางครั้งถึงกับขอพนักงานเดินไปดูการจัดการขยะเศษอาหารหลังร้าน 

“การที่เรามาถึงวันนี้ได้ต้องขอบคุณคนทั้งทีม ทุกคนเป็นนักสู้ที่ไปสุดกันมาก พุ่งใส่ปัญหาไม่เคยถอย การมีทีมที่ดีคือส่วนสำคัญมากที่ทำให้เราผ่านปัญหาทั้งหมดมาถึงวันนี้” 

“อยากให้มองเครื่องนี้เป็นเหมือนพี่สาวคนโตของบ้าน”

นอกเหนือจากกลไกวิศวกรรมในการทำงานของเครื่องแล้ว อีกบุคคลหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มในขั้นตอนสุดท้ายก็คือก๊อต นักออกแบบผลิตภัณฑ์ผู้มาแปลงโฉมเครื่องต้นแบบให้สวยงามน่าใช้

“ครั้งแรกที่เราได้เห็นตัวเครื่องก็อึ้งเหมือนกันนะ คือเป็นเหล็กทั้งเครื่อง ดูดิบมาก เหมือนเอาไว้ตั้งในโรงงาน หน้าที่ของเราคือการออกแบบให้ดูน่ารักขึ้น เพื่อให้คนมองว่านี่ไม่ใช่ถังขยะ แต่เป็นสิ่งที่ตั้งในบ้านได้เหมือนเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนึ่ง” 

ส่วนในเรื่องการสร้างแบรนด์ ก๊อตเลือกใช้ชื่อ Klaren ที่มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า Purify หรือทำให้บริสุทธิ์ ซึ่งตรงกับคอนเซปต์เครื่องที่เปลี่ยนของเสียให้กลับมามีประโยชน์ และเลือกใช้ ‘สีศิลาดล’ (สีเขียวหยกหรือเขียวอมเทา) เป็นสีประจำแบรนด์ ซึ่งเป็นสีที่เกิดจากการนำวัสดุธรรมชาติมาผ่านกระบวนการของมนุษย์

“เราอยากให้มอง Klaren เป็นเหมือนพี่สาวคนโตของบ้าน คือนางอาจมีความจู้จี้นิดหนึ่ง ช่วงแรก ๆ อาจต้องปรับความเข้าใจกันหน่อย แต่พอสนิทกันแล้วก็จะรู้ว่าในความเยอะของเขา เขาช่วยแก้ปัญหาในบ้านได้”

ส่วนกัสก็เสริมขึ้นมาว่า สิ่งที่ยากที่สุดในวันนี้ และเผลอ ๆ อาจยากยิ่งกว่ากระบวนการที่ผ่านมาทั้งหมด ก็คือการทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจ ‘ข้อจำกัด’ ของเครื่อง

“เครื่องกำจัดเศษอาหารยังเป็นเรื่องใหม่ ไม่เหมือนตู้เย็น เครื่องซักผ้า ที่เรารู้แล้วว่าต้องใช้ยังไง แก้ปัญหายังไง อยากให้ลูกค้าให้เวลามันหน่อย เพราะต่อให้สิ่งประดิษฐ์เลิศเลอแค่ไหนก็มีข้อจำกัด การทำสินค้าให้คนจำนวนมากใช้ เราทำให้ตอบโจทย์ทุกคนไม่ได้ เช่น ถ้าบางคนใส่น้อย เราก็จะบอกว่าถ้าแห้งไปอาจเติมน้ำลงไปหน่อย แต่ถ้าใครใส่เยอะไปก็มีโหมด Dehydrate (ระเหยน้ำ) เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่า Klaren คือพี่สาวคนโต ถ้าอยู่ด้วยกันแบบเข้าใจ เช่น เข้าใจว่าทำไมต้องเติมน้ำ ทำไมต้องล้างฟิลเตอร์ ก็จะไม่ทะเลาะกันและใช้งานเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”  

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ออกแบบเครื่องให้ย่อยกระดูกได้ กัสก็ชวนนึกถึงฟอสซิลไดโนเสาร์ที่อยู่มาหลายล้านปีก็ยังไม่ย่อยสลาย เพราะการย่อยสลายกระดูกจำเป็นต้องมีเครื่องบด ซึ่งไม่เหมาะแน่ ๆ สำหรับการใช้งานในบ้านเรือน 

“ความหวังสูงสุดของเราคืออยากให้ลูกค้าใช้แล้วพอใจ รู้สึกว่าเครื่องนี้ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ก็อยากให้เข้าใจข้อจำกัดของมันด้วย สุดท้ายอยากฝากว่า อย่าเพิ่งหมดหวังกับพวกเรานะ เรากำลังพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ให้เครื่องนี้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก” 

Website : www.klarenthecomposter.com

Writer

Avatar

เมธิรา เกษมสันต์

นักเขียนอิสระ เจ้าของเพจ ‘Nature Toon การ์ตูนสื่อความหมายธรรมชาติ’ สนใจเรื่องธรรมชาติ ระบบนิเวศ สรรพสัตว์ โลกใต้ทะเล และการใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีผลงานหนังสือแล้ว 2 ชุด คือ ‘สายใยที่มองไม่เห็น’ และ ‘สายใยใต้สมุทร’

Photographer

Avatar

ณัฎฐาจิตรา ชินารมย์รัตน์

ช่างภาพที่ชอบการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลงและหลงรักในความทรงจำ