“ไทก้า! ไฟย่า! ไซบ้า! ไฟบ้า! ไดว่า! ไวบ้า! จ้าจ้า!”

พ.ศ. 2560 วงไอดอลชุดสีลูกกวาดแปลกตาสัญชาติญี่ปุ่น BNK48 ปรากฏตัวให้ชาวไทยได้เห็น ซึ่งเพลง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ ซิงเกิลที่ 2 ของวงก็ดังเป็นพลุแตก จนปลุกกระแสเกิร์ลกรุ๊ปไทยให้กลับมาได้อีกครั้ง และส่งผลมาถึงทิศทางบางส่วนของ T-POP ในปัจจุบัน

เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ ชื่อแรก ๆ ที่คนจะพูดถึงเมื่อพูดถึง BNK48 เรียกว่าเป็นบุคคลที่ก้าวขาเข้าไปในวงก่อนใครเขา เพราะในงาน BNK48 We Need You ซึ่งเป็นงานประกาศการออดิชั่นสานฝันวัยรุ่นสาวชาวไทยสู่วงการบันเทิง เมื่อ พ.ศ. 2559 เด็กสาวผู้เป็นแฟนคลับวงพี่อย่าง AKB48 ที่ได้ขึ้นไปถ่ายรูปบนเวทีคือ กระเต็น หรือ เจนนิษฐ์ BNK48 ในวันนี้

สำหรับเรา เราเห็นเธอมาก่อนหน้านั้น ตั้งแต่เรายังอยู่มัธยมปลายและเธอยังเป็นเด็กน่ารักผูกคอซองเดินอยู่ที่โรงเรียน น่าทึ่งที่รุ่นน้องคนนี้ได้เริ่มชีวิตการทำงานจริง ๆ จัง ๆ ก่อนเรานานนัก ผ่านไปเกือบ 6 ปี เธอกลายเป็นไอดอลที่มีประสบการณ์ ทั้งร้อง เต้น เป็นนักแสดง และปัจจุบันก็กำลังจะเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต หลังจากที่ประกาศจบการศึกษาไป จะทำงานในวงถึงแค่สิ้นปีนี้

ในวาระที่ภาพยนตร์ระทึกขวัญ Faces of Anne ผลงานแสดงของเธอเข้าโรงไป (เราคุยกันก่อนภาพยนตร์เข้าโรง) เราขอชวนเธอมาคุยกันถึงการทำงานชิ้นนี้ รวมถึงสรุปสิ่งที่ตกตะกอนจากการเป็น ‘ไอดอล’ และการเป็น ‘เจนนิษฐ์’ ผู้เถรตรงในวัย 22 ปี กันสักหน่อย

แอบกระซิบว่าการพูดคุยในครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจมุมมองของเธอต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่น้อย แม้จะเผยแพร่ไม่ได้ทั้งหมดเพราะความอ่อนไหวบางอย่าง แต่เท่าที่คัดมาลงในบทความนี้ก็น่าสนใจทีเดียว

คุยกับเจนนิษฐ์ BNK48 ผู้อยากรวย แต่ถ้าถูกหวยร้อยล้านก็จะยังทำงาน

เปิดใจสาวเต็น

แนะนำตัวพอเป็นพิธี

สวัสดีค่ะ เจนนิษฐ์ BNK48 ค่ะ ถ้าคนอื่นมองเข้ามา เราคือไอดอลคนหนึ่ง แต่จริง ๆ ก็เป็นคนธรรมดานี่แหละค่ะ ทำงานหาเช้ากินค่ำ

BNK48 รุ่น 1 กำลังทยอยประกาศจบการศึกษากันหลายคนแล้ว ใจหายไหม

มากค่ะ วันนี้เพิ่งไปถ่ายรายการมาก็น้ำตาร่วงอีกแล้ว ช่วงนี้รุ่น 1 ทริกเกอร์นะคะ ห้ามพูดอะไรเซนซิทีฟ ร้องไห้กันเก่งมาก

เหตุการณ์อะไรที่รู้สึกภูมิใจที่สุดตั้งแต่เข้ามา

ภูมิใจที่สุดน่าจะเป็นช่วงรับรางวัลตอน (ภาพยนตร์) Where We Belong นี่แหละค่ะ เป็นช่วงที่เดินสาย Q&A ต่างประเทศเยอะที่สุดในชีวิต ปกติไม่เคยไปทำงานต่างประเทศนอกจากญี่ปุ่น แต่ครั้งนั้นไปทุกที่เลย น่าจะประสบความสำเร็จที่สุดตั้งแต่อยู่ในวงมาค่ะ

ช่วงชีวิต 5 – 6 ปีที่ผ่านมานี่คิดว่าต่างจากชีวิตก่อนหน้านั้นมากไหม

แน่นอน ต้องต่างมากแน่นอน เพราะว่าเปลี่ยนจากการเรียนหนังสืออย่างเดียวมาทำงานเต็มตัว จากคนที่ไม่ได้มีใครรู้จักเราขนาดนั้นก็กลายมาเป็นจุดสนใจ

ขอสักคำมานิยามให้กับช่วงชีวิตนี้หน่อย

เหมือนเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ค่ะ เหมือนเรียน ม.1 ถึง ม.6 กับเพื่อนห้องเดิมตลอด ไม่เปลี่ยนห้องเลย (กลั้วหัวเราะ) อาจจะมีเพื่อนหายไปบ้าง แล้วก็มีรุ่นน้องชั้นปีใหม่เข้ามา 

มันคือการเรียน แค่ไม่ได้เรียนวิชาในตำรา ในหนังสือ แต่เรียนวิชาชีวิต การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การตอบคำถามสื่อ เรียนเต้น เรียนร้อง

ความรู้สึกตอนนี้ต่างจากวันที่เข้ามายังไงบ้าง การรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ของเรามันเปลี่ยนไปมากไหม

แน่นอนค่ะ เราเรียนรู้จากความผิดพลาดทั้งของตัวเองและของคนอื่น เรียนรู้ว่าควรจะทำยังไง ควรจะรับมือยังไง ตอนนี้เราก็เก่งขึ้น ชั่วโมงบินเยอะขึ้น และมีวิธีหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหา

คุยกับเจนนิษฐ์ BNK48 ผู้อยากรวย แต่ถ้าถูกหวยร้อยล้านก็จะยังทำงาน

มาถึงจุดนี้แล้ว คิดว่า ‘ไอดอล’ คืออะไร

ตอบเหมือนเดิม ไอดอลก็คืออาชีพค่ะ เราทำหลายอย่าง เลยรู้สึกว่าไอดอลเป็นชื่อเรียกอาชีพเราที่คนจะเข้าใจมากที่สุดถ้าถามว่าเราทำอะไร จะพูดว่านักร้องก็ไม่ใช่ นักเต้นก็ไม่ใช่ บอกว่าไอดอลคนก็คงเข้าใจแหละว่าเราทำงานแบบนี้ ๆ

ในบริบทที่ว่าไอดอลคือบุคคลตัวอย่าง มันเป็นผลพลอยได้ที่คนอื่นเรียกเรา แต่ถ้าในมุมมองของหนู ยังไงไอดอลก็คือชื่ออาชีพของหนูเอง

แล้วเราคิดว่าเราเป็นบุคคลตัวอย่างบ้างไหม

อันนี้ก็แล้วแต่ว่าคนจะนับถือหนูเป็นบุคคลตัวอย่างไหม แต่ตัวเองก็รู้สึกเฉย ๆ เหมือนเรามาทำอาชีพที่เราชอบแล้วมีคนมาชอบเรา 

หนูบอกตลอดว่าหนูไม่ทำตามที่คนอื่นคาดหวังอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นคนที่ชอบทำตามใจคนอื่น หนูทำตามใจตัวเอง

แสดงว่าไม่เคยทุกข์กับการที่มีคนมาคาดหวังอะไรกับเราแบบคนอื่นเขาเลย

ไม่เคยค่ะ (ยิ้ม) พูดมาแต่แรกเลยว่าไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเรียบร้อย ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนเพอร์เฟกต์ที่จะมาคาดหวังได้ แต่ถ้าคุณโอเคกับการตามเรา เราก็ยินดี ก็ขอบคุณเขาที่ชอบที่เราเป็นเรา

เจนนิษฐ์ล่ะ คาดหวังอะไรกับตัวเองไหม

ไม่เชิงว่าคาดหวัง มันเป็นความต้องการนะ เราอยากเก่งขึ้นแหละ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะต้องเล่นหนังแล้วได้รางวัลปีละ 3 เรื่อง แค่อยากเก่งขึ้น ได้งานดี ๆ ทำ

การที่เป็นไอดอลมา 5 – 6 ปี หล่อหลอมอะไรเราบ้าง เหมือนเราโตมาในนี้เลย

หล่อหลอมให้อยู่เป็น ให้เจอจุดสมดุลในการเป็นตัวเองโดยที่อยู่กับคนอื่นได้ บางทีเป็นตัวเองเกินก็อยู่กับคนอื่นไม่ได้ เราทำงานกับคนที่หลากหลาย ก็ต้องปรับตัวให้หลากหลายตามเขาด้วย แต่ต้องไม่สูญเสียตัวเองไปเลย

แปลว่าถ้าไม่ได้เข้ามาที่นี่ คิดว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ

ใช่ ก่อนเข้าวงก็คือไม่ค่อยแคร์ ไม่ค่อยประนีประนอมค่ะ อาจจะเพราะเราไม่ค่อยอยู่กับใครมาก เราอยู่แค่กับแก๊งเพื่อนของเราที่เข้าใจความเป็นเราอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้เดือดร้อน เราไม่รู้ด้วยว่าการที่เราเป็นตัวเราแบบนี้จะไปทำคนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เจอคนเยอะ แต่พอเข้าวงก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่ได้ว่ะ แบบนี้มันอยู่ไม่ได้ ต้องปรับแล้ว

คิดว่าออกไปจะกลับสู่สภาพเดิมหรือเปล่า

ไม่ ไม่แล้วค่ะ (ตอบยิ้ม ๆ) ออกไปก็ต้องปรับไปเรื่อยเลย เพราะเราออกไปเจอโลกที่กว้างขึ้น ออกไปเจอคนเยอะขึ้นแน่นอน

คุยกับเจนนิษฐ์ BNK48 ผู้อยากรวย แต่ถ้าถูกหวยร้อยล้านก็จะยังทำงาน

หาตัวเองเจอ

คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาการจัดการและพัฒนาไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์ ที่เรียนอยู่นี่เรียนอะไรบ้าง

มีเรียนร้อง เรียนเต้น เรียน ASEAN Music ถ้าวิชาของธุรกิจ (สาขาเดิม) ก็จะมีเรียน Aesthetic Listening เรียนวิเคราะห์ดนตรีพื้นฐาน เรียนวิชา PR เรียน Customer Behavior พวกวิชา Business ก็มี

คนที่เรียนคือเขาอยากเป็นไอดอลหรืออยากอยู่เบื้องหลัง

ถ้าเป็นธุรกิจดนตรีและบันเทิง สาขาเก่าหนู คือเป็นเบื้องหลัง แต่ถ้าสาขาใหม่ที่ย้ายมาน่าจะเบื้องหน้ามากกว่า แต่ก็เป็นเบื้องหลังได้ด้วย ถ้าจะเป็นเบื้องหลังก็เรียนให้รู้ว่าเบื้องหน้าต้องทำอะไร เบื้องหลังจะได้รับมือจัดการได้ถูกต้อง

ตอนแรกดูเป็นคนสายวิทย์นะ

ใช่ เรียนวิทย์มาตลอดชีวิต ตอนอยู่จุฬาฯ ก็ยังเรียนวิทย์ แต่พอคิดว่าคงไม่ได้ใช้แล้ว ก็ทิ้งเลย

จุดเปลี่ยนมันคืออะไร รู้สึกว่าเราไม่เอาแล้วเหรอ

ไม่ได้ไม่เอาแล้ว แต่มันจะไม่ได้ใช้แล้วในอนาคต ก็เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไมค่ะ มันเสียตังค์อะเนอะ ค่าเทอมแพง (หัวเราะ) เราจะอยู่ในวงการบันเทิง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเบื้องหน้า ก็คงอยู่ในธุรกิจแวดวงนี้ หรือไม่ก็คงไปทำธุรกิจตัวเอง ถ้าจะใช้วิทย์มันคงไม่ถึงขั้นต้องเรียนมหา’ลัย หรือเรียนเฉพาะเจาะจงไปขนาดนั้น

เรียกว่าหาตัวเองเจอแล้วหรือเปล่า

ช่าย (ลากเสียง) คนอื่นเขาอาจจะเรียนมหา’ลัยเพื่อหาสิ่งที่ชอบ หางานที่ชอบ เราข้ามขั้นตอนไปแล้ว แต่พอเจองานที่ชอบก็มีปัญหาเหมือนกันว่าจะเรียนไปทำไม เพราะเราเจองานแล้ว

แล้วพอเข้าไปเรียน เรามีมุมมองต่อวงการไอดอลเปลี่ยนไปไหม

ไม่นะ เราเป็นผู้รู้ในวงการ (หัวเราะ) เข้าไปแนะนำคนอื่นได้มากกว่า ถ้าน้อง ๆ ถามเราก็ตอบได้

จริง ๆ ในอนาคตอยากลองเป็นเบื้องหลังไหม ไม่ต้องที่นี่ก็ได้นะ

ช่วยดูได้ เป็นที่ปรึกษาได้ แต่คุมทั้งหมดอาจจะไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราจัดการตัวเองได้ดีกว่าจัดการคนอื่น

เวลาไปเอาต์ติ้ง เขาจะมีการแบ่งคนตามสี สีแดงกับเขียวที่คนเยอะมาก สีเหลืองกับน้ำเงินจะเป็นส่วนน้อย เขาเปรียบเทียบว่าสมมติจะไปเดินทางต่างจังหวัดวันเสาร์ สีแดงจะจัดกระเป๋าเช้าวันเสาร์แบบโยนทุกอย่างเข้าไปแล้วไปเลย เป็นพวกที่ลงมือทำเลย ไม่ค่อยคิด สีเขียวจะเป็นพวกมีเช็กลิสต์ 1 2 3 4 ถ้ามีครบก็ไป สีเหลืองจะยาก ๆ หน่อย ไม่หลุดโลกไปเลย ก็เป็นพวกธรรมะธรรมโม ส่วนหนูเป็นสีน้ำเงิน เป็นพวกคิดแล้วคิดอีก จัดตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้วจนถึงวันเสาร์สุดท้ายแล้วค่อยปิดกระเป๋าแล้วค่อยไป อาจจะไม่เหมาะกับการเป็นเบื้องหลัง

คิดเยอะ ๆ ไม่ปวดหัวเหรอ

ชินแล้ว ขนาดอยู่บนห้องจะเดินลงไปทำ 2 – 3 อย่างข้างล่าง ยังคิดก่อนว่าต้องไปทำอันไหนก่อนถึงจะเซฟเวลาที่สุด (หัวเราะ) แต่เพราะอย่างนี้ สีน้ำเงินก็เลยรู้จักตัวเองนะ เราคิดเยอะ

คิดยังไงกับอุตสาหกรรมเพลงไทย อุตสาหกรรมไอดอลในตอนนี้บ้าง

ช่วงนี้ครึกครื้นดีนะ คนเยอะมาก ๆ เลย ย้อนกลับไปก่อน BNK48 ก็คือไม่มีเลย ไม่มีทั้งเกิร์ลกรุ๊ป ทั้งบอยแบนด์ เงียบเหงามาก แต่ตอนนี้มีเพื่อน ๆ รุ่นใกล้ ๆ กัน เป็นเหมือนเพื่อนคนละโรงเรียนที่ทำสิ่งเดียวกับเรา ดูสนุกสนานดี ยิ่งถ้ามีโอกาสได้มาคอลแลบกันยิ่งเจ๋ง

อยากให้วงการนี้ดีขึ้นยังไงบ้าง

เรื่องพื้นที่ ตอนนี้รายการโชว์มีแค่ T-POP STAGE ยังไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น เห็นดราม่าที่วงดัง ๆ ไปลงสยามแล้วคนหาว่าแย่งพื้นที่ แต่เรารู้สึกว่าพื้นที่เราก็ไม่ได้เยอะเว้ย (หัวเราะ) ถึงเราจะมีเยอะกว่าคนอื่นก็รู้สึกว่ามันยังไม่ได้พอขนาดนั้น แล้วก็มีเรื่องการสนับสนุนที่จะโกอินเตอร์ด้วยค่ะที่ยังไม่เพียงพอ

จริง ๆ แล้ว ไอดอลไทยหรือเพลงไทย จะมีโอกาสเป็น Soft Power ในต่างประเทศได้ไหม

ได้นะ หนูว่าอย่าง MILLI ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ ในที่สุดก็ได้ชื่อว่านี่คือนักร้องไทย เอาจริง ๆ วงการบันเทิงไทยมีแฟนคลับต่างชาติเยอะจะตาย วงเราก็มีแฟนคลับจีน อินโด เยอะแยะเลย เพราะเขาชอบความเป็นไทย หนูว่ามันผลักดันได้

ถ้าจะไปขายต่างประเทศ หนูว่าแนวไหนก็ได้หมดแหละ ถ้ามันบังเอิญไปตรงจริต ไปตรงเทสเขา

คุยกับเจนนิษฐ์ BNK48 ผู้อยากรวย แต่ถ้าถูกหวยร้อยล้านก็จะยังทำงาน

ใครอยากเป็นเศรษฐี

(เจนนิษฐ์น่ะสิ เจนนิษฐ์น่ะสิ)

ถ้าไม่นับ Girls Don’t Cry ที่เป็นสารคดี Faces of Anne ก็เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของเจนนิษฐ์แล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

รู้สึกว่าน่าจะออกมาดี (ยิ้ม) เชื่อใจ พี่เดช (คงเดช จาตุรันต์รัศมี) อยู่แล้ว ยังไม่ได้ดูนะ แต่พี่เดชกับพี่ป๊อปชอบแสดงว่ามันดี

หลายคนคงรู้สึกว่าแค่มีชื่อพี่เดชก็เชื่อใจได้ ว่าอย่างน้อยมันไม่ออกมาแย่แน่นอน อาจจะแค่ไม่ตรงเทสบางคน ผู้กำกับแต่ละคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง แต่ส่วนตัวหนูชอบความคิดการตีความของพี่เดช แล้วก็การอธิบายให้เขาเข้าใจเวลาเขามากำกับเรา

เห็นว่าเรื่องนี้คนละแนวกับ Where We Belong ที่เจนนิษฐ์ให้พี่คงเดชเรื่องที่แล้ว คิดว่าอะไรที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้

พี่เดชชอบใช้ตัวละครนำเป็นผู้หญิง เพราะว่าตัวเองมีลูกสาว เห็นลูกสาวเลยเอามาเขียน Where We Belong เรื่องนี้ก็เป็นผู้หญิงอีก ก็เลยรู้สึกว่าดูเป็นลายเซ็นช่วงนี้ของเขา

เราพัฒนาอะไรขึ้นมาจาก Where We Belong บ้าง

ในเรื่อง Acting เรื่องนี้ค่อนข้างจะคนละแบบ ยากกว่าด้วย Where We Belong อาจจะเข้าทางมากกว่าด้วยซ้ำ แต่คงพัฒนาในแง่ประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ทำงานได้หน้าซีนได้เข้าใจมากขึ้น แต่ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าการแสดงพัฒนาอะไรขึ้นมา

ตอนถ่ายสนุกนะ พอมีเพื่อนมันก็จอย ๆ ได้เจอไม่กี่คนแต่ว่ามันก็สนุกกว่าเล่นคนเดียว (หัวเราะ)

ชอบเล่นหนังหรือว่าซีรีส์มากกว่า

ถนัดหนังมากกว่า ก็เลยเหมือนจะชอบมากกว่า แต่ว่าไม่ได้ไม่อยากเล่นซีรีส์นะ อยากออกจากเซฟโซนเหมือนกัน ควรจะทำให้ได้ทั้งหมด

วิธีเล่นเรามันอาจจะไปตรงกับ Pacing หนังมากกว่า หนังจอใหญ่กว่า เราเล่นน้อยกว่า ถ้าเล่นเยอะจะล้น แต่ว่าพอเป็นจอทีวีเราต้องเล่นใหญ่กว่า

ตอนนี้การแสดงเป็นแพสชันในชีวิตเรารึเปล่า

แพสชันคือเงิน (ยิ้มกริ่ม) ไม่หรอก 

(ผู้เขียน : น่าจะใช่แหละ)

เราชอบทำหลายอย่างไง แต่ว่าการที่เราจะไปทำหลายอย่างนั้นได้เราต้องมีเงิน ความสุขเราก็ต้องซื้อด้วยเงินด้วย 

ชีวิตนี้อยากทำมาหากินเหรอ

อยากรวย (หน้านิ่ง) รวยแล้วเราจะได้พาแม่ไปเที่ยว ชอบออกไปใช้ชีวิต แต่ออกเดินทางก็ต้องใช้ตังค์ไง อยากลองไปเรียนดำน้ำ เรียนวาดรูป ก็ใช้ตังค์ เราก็เลยมีแพสชันเป็นเงิน

ที่ว่าอยากออกไปใช้ชีวิตมันคืออะไรบ้าง ไปเจอโลกกว้างเหรอ

ใช่ ไปเจอคนอื่น ทำอะไรใหม่ ๆ แค่ออกไปเจอคนอื่นก็ต้องใช้ตังค์แล้ว ค่าเดินทาง ค่าข้าว ค่าน้ำ

แสดงว่าแพสชันจริง ๆ ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากอาชีพ

ใช่ แต่ก็ชอบทำงานด้วยนะ (หัวเราะ)

ชอบอะไรมากกว่าระหว่างการเป็นคนรวยกับการทำงาน

อยากเป็นคนรวยที่มีงานดี ๆ ทำ (หัวเราะ) รวยมาก ๆ ก็ยังอยากทำงานดี ๆ อยู่ดี

เปิดใจ เจนนิษฐ์ BNK48 เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตไอดอลที่ผ่านมา และมุมมองต่ออนาคตนอกวงที่กำลังจะมาถึง

ถูกหวยร้อยล้านก็ยังจะเล่นหนัง?

ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะเล่นโดยไม่หวังเงินแล้ว เราจะเล่นเพราะเราอยากเล่น

จริง ๆ แล้วอยากทำงานแบบไหน อยากเป็นนักแสดงหรือเป็นไอดอล

ชอบทำทั้งหมด (หัวเราะ) ทุกอย่างในวงการบันเทิงที่เคยทำมาก็รู้สึกโอเคหมดเลย ต่อไปจะเป็นฟรีแลนซ์แล้ว ใครจ้างอะไรก็คงทำ เป็นพิธีกร เป็นนักแสดง

ส่วนงานเพลงก็ยังอยากทำอยู่ แต่คงไม่ได้เป็นวงแล้ว เราชอบฟังหลายแนว เพลงร็อกก็ชอบ เพลงป๊อปก็ชอบ เพลงบัลลาดก็ชอบ ถ้ามีโอกาสทำได้ก็อยากทำหมดเลย

อยากมีชีวิตแบบไหนในวัยผู้ใหญ่

คำตอบจะมีแต่อยากรวย (หัวเราะ) พอรวยแล้วจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ อย่างน้อยมันก็ซื้อความสะดวกสบายได้ เราอาจจะชิลล์ขึ้นในประเทศที่ต้องใช้เวลาเดินทางเยอะเหลือเกิน แล้วก็มีตังค์จ้างแม่บ้าน แม่จะได้ไม่ต้องทำงานบ้าน (หัวเราะ) 

ถ้าป๊ากับแม่อยากทำธุรกิจต่อ ก็คงเอาเงินไปช่วย จะรีโนเวตร้านใด ๆ ก็ว่าไป อยากสร้างบ้านใหม่ก็สร้าง

เรื่องมีครอบครัว เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะแต่งงานสัก 28 แต่ตอนนี้คิดว่า 38 ก็อาจจะยังไม่ได้แต่ง (หัวเราะ) แม่มีลูกตอน 30 รู้สึกว่าแม่มีลูกช้าเกินไป ก็เลยคิดว่าเราต้องแต่งก่อน แต่ดูทรงแล้วคนแต่งช้าลงทุกวัน ตอนนี้ 22 แล้ว 30 กว่าคงยังทำงานอยู่แน่นอน

สรุปก็คืออยากแต่งงาน ใช้ชีวิตผาสุข รวย แล้วก็ไปเที่ยว

ใช่ เขาบอกว่าถ้าเรารวย เราก็จะเป็นคนดีได้ ถ้าเรารวยแล้วเราก็จะมีน้ำใจช่วยคนอื่นได้โดยไม่ต้องห่วงตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่รวยแล้วจะเป็นคนดีไม่ได้นะ แต่ถ้ารวยแล้วเราจะเป็นคนดีง่ายขึ้น ให้เห็นภาพนะ สมมติเราอยากช่วยคุณยายข้างทางซื้อของ เราก็จะรู้สึกว่าลำบากตัวเองนิดหนึ่งใช่ไหม แต่ถ้าเป็นคนรวยเราก็ซื้อแบบมีปัญหาการเงินน้อยลง

22 ปีที่ผ่านมาทำให้เราตกตะกอนเรื่องอะไรบ้าง

หนูว่าน่าจะปลงกับชีวิตกับเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น จะเรียกว่าตกตะกอนไหมไม่แน่ใจ น่าจะใช้ชีวิตด้วยแนวคิดที่ไม่ได้เปลี่ยนมากจากตอนเด็กจนถึงตอนโต เป็นคนที่มีทัศนคติที่ใกล้เคียงเดิม มีแค่ปลงกับไม่คาดหวังในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น 

เราก็เป็นเราเหมือนเดิม แค่มีสิ่งเพิ่มเติมมา

ได้ข้อสรุปไหมว่า เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ เป็นใคร

เป็นคนที่ชอบทำงาน (หัวเราะ) เป็นคน Super Extrovert ออกไปเจอคนแปลกหน้าก็ชวนทุกคนคุยได้โดยไม่อึดอัด สามารถออกไปแฮงก์เอาต์กับคนแปลกหน้าได้ ชอบพบปะ ชอบทำงานกับคนใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ แล้วก็เป็นคนใช้ชีวิตเต็มที่

ในฐานะที่สเต็ปต่อไปของชีวิตกำลังจะมาถึง อยากจะบอกอะไรกับคนที่มองมาที่เราบ้าง

อืม (คิดนาน) 

น่าจะไม่ได้หายไปไหนค่ะ น่าจะยังอยู่ในวงการบันเทิงต่อ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหนูค่ะ (หัวเราะ) น่าจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองไปได้เรื่อย ๆ หนูหาตัวเองเจอแล้ว มีเส้นทางที่ชัดเจน ถ้ายังอยากสนับสนุนกันต่อก็… ด้วยความยินดีค่ะ

หนูจะทำสิ่งที่ชอบไปเรื่อย ๆ ขอบคุณทุกการสนับสนุนที่ผ่านมา (ยิ้ม)

เปิดใจ เจนนิษฐ์ BNK48 เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตไอดอลที่ผ่านมา และมุมมองต่ออนาคตนอกวงที่กำลังจะมาถึง

Writer

พู่กัน เรืองเวส

พู่กัน เรืองเวส

อดีตนักเรียนสถาปัตย์ สนใจใคร่รู้เรื่องผู้คนและรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลาย ชอบลองทำสิ่งแปลกใหม่ พอ ๆ กับที่ชอบนอนนิ่ง ๆ อยู่บ้าน

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์