28 สิงหาคม 2024
2 K

ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาล ณ ขณะนั้นมีวาระสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คือการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน 1.02 ล้านคนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์  

ว่าไปแล้ว ถ้ามองเรื่องการศึกษาให้กว้างกว่าห้องเรียน เป็นการเรียนรู้เพื่อดำรงชีวิตแทน เราอาจพบว่าไม่ใช่แค่เด็กและเยาวชนเท่านั้นที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา แต่คนไทยทุกวัยในยุคนี้ต่างต้องเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะการเอาตัวรอด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ อัปสกิลล์ใหม่ ๆ ให้ทันโลก แต่ก็ยังเข้าถึงแหล่งเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์นี้ไม่ได้

ทุกวิกฤตมักเผยผู้นำ เป็นเรื่องดีที่ได้รู้มาว่าไม่นานมานี้มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ในขอนแก่นลุกขึ้นมาขับเคลื่อนประเด็นเรื่องการเข้าถึงการเรียนรู้เท่าเทียมอย่างจริงจัง พวกเขาเรียกตัวเองว่า ‘อีสานจะเลิร์น’ มีคติพจน์ประจำกลุ่มว่า ‘เมืองจะเจริญถ้าผู้คนอยากจะเลิร์น’ คอนเซปต์น่าสนใจแล้ว ที่มาของทีมงานแต่ละคนก็น่าสนใจไม่แพ้กัน บางคนเป็นนักจัดกิจกรรมเพื่อสังคม บ้างทำงานสื่อสารเชิงสังคม บ้างเคยเป็นครูในระบบแล้วเห็นช่องโหว่บางอย่างทางการศึกษา จึงกระโดดออกมาเพื่อมาสร้างพื้นที่เรียนรู้เพื่ออุดรอยรั่วนั้น บ้างเป็นกระบวนกรที่เชื่อว่าทุกการเรียนรู้จะสำเร็จได้ต้องผ่านการออกแบบ ฯลฯ 

ต่างคนต่างที่มา ทว่าแรงขับเคลื่อนในใจกลับเป็นจุดร่วมเดียวกัน คือรู้สึก ‘คันแข่ว’ (ภาษาอีสานหมายถึง มันเขี้ยว) อยากลองดูสักตั้ง ว่าถ้าประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะลองเข้ามาแก้ปัญหานี้ดูบ้างด้วยวิธีการที่ต่างออกไป มันจะช่วยอุดรูรั่วเรื่องการเข้าถึงการศึกษาเรียนรู้อย่างเท่าเทียมที่เป็นปัญหาอยู่ได้มากน้อยเพียงใด จังหวะเหมาะเจาะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้กลุ่มอีสานจะเลิร์นจัด Session ถอดบทเรียนกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ของจังหวัดขอนแก่น ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขึ้น ณ โฮงสินไซ นำโดย ไนท์-พิชิต ชัยสิทธิ์ ผู้ประสานงานหลักของกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ กิจกรรมที่นำพาให้เกิดการก่อการกลุ่มอีสานจะเลิร์นขึ้น เราจึงถือโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมถอดบทเรียนดังกล่าว และมีโอกาสได้พูดคุยกับไนท์ พร้อมหัวเรือใหญ่ในด้านต่าง ๆ อีก 3 คน ทั้ง ครูแคท จันทิมาพร ชีวะสวัสดิ์, มะพร้าว-ฉัตรบดินทร์ อาจหาญ และ อ๊อฟ-กฤษฎิ์ บุญสาร ถึงที่มาที่ไปในการตัดสินใจเข้าร่วมก่อการขับเคลื่อนประเด็นด้านการศึกษาครั้งนี้ ตลอดจนความตั้งใจ และวิธีการไปถึงเป้าหมายสูงสุดสไตล์อีสาน Lifehacker ของพวกเขา

ปิดเทอมสร้างสรรค์ขอนแก่น กิจกรรมจุดประกายการเรียนรู้ให้เมือง กับทักษะการตุ้มโฮม (รวบรวม) Learning Creator ของไนท์ Somjing Book

ณ โฮงสินไซ กิจกรรมถอดบทเรียนโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ขอนแก่นออกแบบไว้ให้จัดขึ้นที่นี้ในช่วงบ่ายของวัน นำโดย ไนท์-พิชิต ชัยสิทธิ์ ผู้ประสานงานหลักของกิจกรรม พร้อมกับทีมงานอีสานจะเลิร์น และทีมงานหลักของผู้สนับสนุนจาก สสส. และ Learning Creator ทั่วขอนแก่นกว่า 30 คนที่เข้าร่วม เราจึงเลือกนัดหมายทีมงานอีสานจะเลิร์นมาเจอกันในช่วงเช้าก่อน เพื่อจะได้คุยกับพวกเขาถึงการก่อร่างสร้าง Learning Hub Community สุดเจ๋งนี้ 

เราเปิดบทสนทนากับไนท์เป็นคนแรก เพราะโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ขอนแก่น พ.ศ. 2566 – 2567 ที่เขาดูแล คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด ‘อีสานจะเลิร์น’ ขึ้น 

“โครงการนี้ได้รับทุนมาจาก สสส. และมีแคมเปญที่ฉีกออกมาเรียกว่า ‘ปิดเทอมสร้างสรรค์’ ทำมา 10 ปีแล้ว แต่ว่ากลับมาทำใหม่หลังโควิด-19 และเปลี่ยนคน Organize มาให้ ครูแอ๋ม-ศิริพร พรมวงศ์ เจ้าของโครงการคลองเตยดีจังเป็นคนทำ โดยมีโจทย์ว่าอยากให้รูปแบบมีมิติขึ้น และเริ่มกระจายออกจากจังหวัดเครือข่าย 

“ผมเป็นนักจัดกิจกรรมทางสังคม ทำร้านหนังสือ ทำอีเวนต์ ทำคอนเสิร์ต ทำ Festival ต่าง ๆ อยู่แล้ว พี่แอ๋มคงจะเห็น ซึ่งเราไม่ได้เจอกันมานานมาก ได้กลับมาเจอกันจากคอนเทนต์หมู่บ้านงานคราฟต์ ขอนแก่น ชุด ‘ขอนแก่นมาแล้วคราฟต์’ ของ กอมอนอ (อาย-กมลเนตร เรืองศรี) เขามองเห็นว่าผมยังทำงานประเภทนี้อยู่ น่าจะมีเครือข่ายคนทำงานสร้างสรรค์เก็บเอาไว้ในสต็อกของตัวเองอยู่แล้ว เขาก็เลยโยนคำถามมาว่า ไนท์อยากทำไหม 

“ผมมองว่าจริง ๆ แล้วก่อนที่จะมีปิดเทอมสร้างสรรค์ พวกผม แฟนผม พี่สอญอ พี่กุล พี่เอ๋ พี่ธิ พี่กระตั้ว อ๊อฟ แก้ม มะพร้าว แคท หรือเครือข่ายอย่าง พี่นัท-ณัฐวุฒิ กรมภักดี ขับเคลื่อนเรื่องพื้นที่สร้างสรรค์อยู่แล้ว มันเป็นทั้งการเรียนรู้ การขับเคลื่อนสังคม และการขับเคลื่อนเมืองผ่านการทำงานสร้างสรรค์อยู่แล้ว แต่ว่าปัญหาคือเกิดการกระจายตัว ต่างคนต่างทำ ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อน ปิดเทอมสร้างสรรค์จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ชวนเพื่อนมาอยู่ในกลุ่มก้อนเดียวกันแล้วทำเรื่อง Learning Space, Creative Space ให้เคลื่อนไปด้วยกันอย่างมีพลัง” 

ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากการประสานงานของไนท์ ขอนแก่นที่หลายคนนึกว่าไม่น่าจะมีพื้นที่การเรียนรู้ กลับมี Learning Creator ยินดีเข้าร่วมเปิดพื้นที่การเรียนรู้ถึง 60 แห่ง เกือบ 100 กิจกรรมย่อย และมีมาเพิ่มอีกมากในปีหน้า ทั้งยังกระจายอยู่ในหลายอำเภอ ไม่ใช่กระจุกอยู่แค่ในอำเภอเมืองเท่านั้น ทำให้ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนตลอด 3 เดือน ขอนแก่นมีกิจกรรมการเรียนรู้จัดเต็มฉ่ำเวอร์ตามแฮชแท็กของโครงการ 

การประสานงานคนจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไนท์มีสกิลล์การจัดการที่ดีเมื่อต้องตุ้มโฮม (ภาษาอีสานหมายถึง รวบรวม รวมตัว) ผู้คนที่มีความแตกต่าง หลากหลายกันทางความคิดให้เข้ามาร่วมทำงานจนประสบผลสำเร็จ เขาแลกเปลี่ยนกับเราว่า 

“จุดที่ยากที่สุดก็คือการสื่อสารนี่แหละ เราจำเป็นต้องรู้จักธรรมชาติของเพื่อนในเครือข่าย แล้วเลือกใช้วิธีเชื่อมและสื่อสารที่ต่างกันไป อันนี้ยากมาก แต่ท้าทายและเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ผมไม่ได้อยากทำงานคนเดียว อยากทำงานกับคนอื่น ๆ และไม่ได้เป็นมิติเพียงแค่การเรียนรู้ แต่คือการทำ Learning Ecosystem หรือนิเวศด้านการศึกษาของเมือง และเรากำลังใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสร้าง Ecosystem ที่ดีของเมือง ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นและทำงานต่อเนื่องในระยะยาวได้ 

“การที่เรารู้จักคนเยอะและรักษาคอนเนกชันไว้ได้ น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติตัวเองเป็นคนที่ชื่นชมความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ ผมเชื่อว่าทุกคนมีของ มีความตั้งใจ และมีคุณค่าในตัวเอง ทั้งที่เริ่มแรกยังไม่ได้รู้จักกับเขาเลยนะ เราเริ่มจากการอยากรู้ตื้นลึกหนาบางของผู้คน อยากสัมผัสความคิด ทัศนคติของผู้คน ผมอยากเรียนรู้ตลอดเวลาและคงจะเข้าใจการตั้งคำถาม รับมือ รับฟังกับความหลากหลายของคนอย่างตั้งใจและจริงใจ ผมป็นคนที่ยืดหยุ่น อะลุ่มอล่วยเยอะ ให้เกียรติ และมีความระมัดระวังการพูด ไม่วางตัวให้อยู่เหนือใคร อันนี้เลยน่าจะทำให้มีโอกาสรู้จักเพื่อนมากมายหลากหลายสาขาอาชีพ” 

เมื่อกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์เสร็จสิ้นลง ไนท์รู้สึกว่าบรรยากาศการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมันดีต่อใจ ดีต่อผู้คน ดีต่อเมืองมาก ๆ จึงอยากขับเคลื่อนประเด็นเรื่องการศึกษาเรียนรู้นี้ต่อ เพราะเล็งเห็นประโยชน์ต่อเมืองขอนแก่น ซึ่งประจวบเหมาะที่เพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ระดับโลกจาก UNESCO นั่นคือเชื้อไฟที่ประทุ จุดประกายขึ้นก่อนที่จะเกิดการรวมตัวของอีสานจะเลิร์น

มะพร้าว กระบวนกรและนักออกแบบการเรียนรู้ ผู้เชื่อมั่นว่าทุกการเรียนรู้จำเป็นต้องถูกออกแบบ ทุกคนเข้าถึงได้ และการก่อร่างสร้างทีมอีสานจะเลิร์นบนกระดาษแผ่นเดียว

“พร้าวเป็นกระบวนกรและจัดเวิร์กช็อปสร้างการเรียนรู้ ในกรุงเทพฯ คือแหล่งทำมาหากินที่ดีกับอาชีพนี้เลย แต่ตอนที่มาอยู่ขอนแก่น เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมไม่มีคนจัดเวิร์กช็อปเลย”

น้ำเสียงสดใสไม่แพ้แววตาของผู้พูด เล่าถึงความรู้สึกครั้งแรกของคนทำอาชีพกระบวนกรอย่าง มะพร้าว-ฉัตรบดินทร์ อาจหาญ หนุ่มนนทบุรีที่ย้ายถิ่นฐานตามแฟนสาวมาปักหลักอยู่ที่ขอนแก่น ระบายกับเรา 

จากคำพูดที่เพื่อนบอกว่า เฮ้ย ทำไมมึงติวแล้วกูเข้าใจกว่าเรียนกับครูในห้อง ทำให้นายมะพร้าว นักเรียนมัธยมปลายยามนั้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า หรืออาชีพครูจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับเขา

มะพร้าวปักหมุดศึกษาต่อในคณะศึกษาศาสตร์ เรียนจบปริญญาตรี ได้วุฒิครูที่เข้าสู่ระบบการศึกษาหลักได้ เขาเลือกที่จะเป็นครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ก่อนจะอกหักกับระบบที่ไม่พ้นเรื่องการผลักดันเด็กสู่ความเป็นเลิศเพื่อการแข่งขัน โดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องวิชาชีวิตเลย สุดท้ายมะพร้าวจึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู 

“ช่วงคาบเกี่ยวที่กำลังจะลาออก มะพร้าวตัดสินใจเรียนปริญญาโท คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะตอนจะตัดสินใจเรียนปริญญาตรี จำได้ว่ามีคณะหนึ่งพูดเกี่ยวกับการศึกษาอีกภาพหนึ่ง คือพูดถึงการเป็นมนุษย์ การเจริญเติบโตงอกงามที่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียน เลยอยากมาเติมในจุดนี้ และทำให้มะพร้าวได้เจอกับแคทซึ่งเป็นคนขอนแก่น

“ระหว่างนั้นมะพร้าวก็ทำงานไปด้วยหลายอย่างเพื่อค้นหาตัวเอง ก่อนสรุปได้ว่าเราเป็นอะไรก็ได้ที่มีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำและสะท้อนให้เราสัมผัสได้เลยทันที ซึ่งอาชีพกระบวนกร พอจัดการเรียนรู้ปุ๊บ มีคนฟีดแบ็กเลยว่าอันนี้สนุก กิจกรรมนี้ดี มีประโยชน์ต่อชีวิตเขา เลยเลือกทำอาชีพกระบวนกร 

“พอมาอยู่ขอนแก่นกับแคท มะพร้าวมองไม่เห็นเลยว่ามีพื้นที่ไหนบ้างในขอนแก่นที่จัดการเรียนรู้อย่างที่เล่าไปตอนต้น แต่มีความเชื่อลึก ๆ ว่าคนขอนแก่นก็ต้องการสิ่งนี้ เลยเป็นแพสชันที่เซ็กซี่มากกว่าไปทำที่ กทม. มันท้าทายกว่า 

“Pain Point ตอนมาอยู่ขอนแก่นแรก ๆ คือไม่มีใครจ้างกระบวนกรเลย มะพร้าวใช้วิธีบินไปหาเงินจากที่อื่นเพื่อมาใช้ชีวิตในขอนแก่น หาเงินมาปุ๊บก็มาจัดเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองในขอนแก่น มันดูเป็นนามธรรมมาก ๆ ไม่มีใครซื้อไอเดียเลย ชื่อครูมะพร้าวก็ยังไม่มีใครรู้จัก เลยลำบากอยู่ 

“ทีนี้มีโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ของ สสส. เข้ามา แล้วเขาก็พยายามจะหานักสร้างการเรียนรู้ นักจัดกิจกรรม เราก็บอกว่า ทำด้วย ๆ เงินน้อยไม่เป็นไร ผมทำให้เลย 3 งาน เพราะเป็นโอกาสที่จะได้บอกทุกคนให้รู้ว่าเราทำหน้าที่นี้นะ 

“พอจัดงานปุ๊บ เราได้เจอกับนักสร้างการเรียนรู้เต็มไปหมด เลยคุยกันว่าบรรยากาศนี้ดีจังเลย เราอยากเกาะเกี่ยวคนเหล่านั้นเป็นคอมมูนิตี้ และอยากสร้างบางอย่างให้กระบวนกรเหล่านี้มีอาชีพ เป็นทางเลือกใหม่ในขอนแก่น” 

จุดกำเนิดของอีสานจะเลิร์นจึงเลยเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ชื่อว่า A quiet place.house ตอนนั้นมี แก้ม-ฌัลลิกา ทิพย์ฝั้น, อ๊อฟ เจ้าของเพจลาวเด้อ, นนท์-ธนานนท์ สาลาด, ณโม-เมวดี พลอาสา แคท และมะพร้าว คุยกันแล้วตกตะกอนว่า เราต้องสร้างระบบนิเวศของนักสร้างการเรียนรู้ ตอนนั้นยังไม่มีชื่อ เป็นแค่โครงร่างบนกระดาษแผ่นหนึ่ง 

“เราเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้แล้วนำไปคุยกับพี่ ๆ ทั้งพี่ไนท์ พี่สอญอ-สัญญา มัครินทร์ จากมหาลัยไทบ้าน เที่ยววิถีสีชมพู เขาดูเหมือนจะซื้อไอเดียเราก็เลยนัดประชุมกัน ไปที่อาศรมมรรคง่ายใต้ถุนบ้านของครูสอญอเลย คุยกันว่าเราอยากทำสิ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี พี่สอญอก็ผุดไอเดียขึ้นมาว่า ‘อีสานจะเลิร์นไหม’ เพราะคำว่า ‘เจริญ’ มันพ้องเสียง ถ้าเราจะเลิร์นก็คือจะเรียนรู้ อีสานต้องเจริญแน่ ๆ อีสานจะเลิร์นก็เลยกำเนิดขึ้นมาว่าเดี๋ยวเรารวมทีมกันนะ สร้างคอมมูนิตี สร้างระบบนิเวศของกระบวนกรหรือนักสร้างการเรียนรู้ ต้องมีกลไกบางอย่างที่ทำงานร่วมกันและทำให้มันยั่งยืน”

นับจากนั้นอีสานจะเลิร์นก็ก่อตั้งขึ้น พร้อมเพิ่มเติมความแข็งแกร่งของทีมงานหลักด้วยองคาพยพจากเหล่าคนเจ๋ง ๆ ในขอนแก่น ทั้ง กุล-กุลชาติ เค้นา แห่งเทคไทบ้าน มหาลัยไทยบ้าน กระตั้ว-กิตติพงษ์ นุชสวัสดิ์ แห่ง ติส studio มิลินทร์-รุ่งมิลินทร์ อินทรารักษ์ แห่ง ReThink Urban Space Cancun เอ๋-ไพฑูรย์ เพิ่มศิรินิวาส Reality Soul กระบวนกรจิตตปัญญาศึกษา และ นัท-ณัฐวุฒิ กรมภักดี แห่ง Friends of the Homeless 

ในฐานะกระบวนกร มะพร้าวทิ้งท้ายกับเราด้วยการย้ำความสำคัญของการออกแบบประสบการณ์ซึ่งสำคัญต่อการเรียนรู้ว่า

“กิจกรรมการเรียนรู้ที่ขาดการออกแบบชุดประสบการณ์จากกระบวนกร กิจกรรมนั้นเสร็จได้ แต่มันอาจจะไม่สำเร็จ เพราะกระบวนกรจะมีทักษะในการดำเนินบทสนทนาและสร้างบรรยากาศให้ทุกคนอยากพูด จะไม่มีใครพูดคนเดียว บทสนทนาจะกระจายไป เราจะช้อนประเด็นขึ้นมา แล้วอีกคนจะมาช่วยเติมเต็มประเด็นนี้ บทสนทนาจะลื่นไหลและสร้างการเรียนรู้ให้กันและกัน กิจกรรมการเรียนรู้แบบมีกระบวนกรที่ออกแบบประสบการณ์เป็นจะมีความหมาย มีเป้าหมาย และไปถึงเป้าหมายของการเรียนรู้ได้มากกว่าการไม่มีกระบวนกร”

จากที่มะพร้าวเล่ามา จึงแน่ใจว่าทุกกิจกรรมการเรียนรู้ของอีสานจะเลิร์นจะผ่านการออกแบบมาอย่างดีแน่นอน

ครูแคท ผู้ลาออกจากระบบเพื่อยืนยันว่าการเรียนรู้อยู่นอกรั้วโรงเรียนได้ ระบบไม่ควรผลักนักเรียนให้แข่งกันไปยืนบนยอดพีระมิด และผู้คนในสังคมควรเกาะเกี่ยวเติบโตไปด้วยกัน

จันทิมาพร ชีวะสวัสดิ์ หรือ ครูแคท เจ้าของเพจ Chanthi.moon – Visual Note Taker คืออีกหนึ่งผู้ก่อตั้งอีสานจะเลิร์นที่มีบทบาทสำคัญในฐานะกระบวนกรและนักบันทึกการเรียนรู้ (Facilitator and Visual Note Taker) ความน่าสนใจของแคทคือเธอมองเห็นปัญหาบางอย่างในระบบการศึกษาจากการรับราชการครู จึงตัดสินใจลาออกและทดลองสร้างพื้นที่การเรียนรู้นอกโรงเรียนขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วโรงเรียนก็ได้

“เราเชื่อว่าการที่ครูเปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นพื้นที่การเติบโตขอบคนคนหนึ่ง เพราะเรามาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่เพราะว่าเราเรียนอย่างเดียว เลยคิดว่าถ้าได้เป็นครูก็จะทำแบบเดียวกันนี่แหละ 

“อีกอย่างหนึ่งคือเราเห็นว่าการศึกษาไทยชี้นำเด็กให้เข้าไปอยู่ในห้องเรียนอย่างเข้มข้น วิ่งไปในลู่เดียวกัน จนต้องไปหาติวหนังสือนอกห้องเรียน แล้วจะมีพื้นที่ไหนบ้างที่เด็กได้มารวมกลุ่มกัน มาแชร์ความคิด แชร์ความรู้สึกกัน แชร์ประเด็นอะไรบางอย่างที่จะทำให้เด็ก ๆ ขยายมุมมองออกจากตัวเอง ได้เห็นสังคมมากขึ้น แล้วอยากลงมือที่จะทำเพื่อจะเปลี่ยนมัน 

“แคทสอบติดครู หลังเรียนจบเรารับราชการครู 5 ปี อยู่ในระบบราชการ ระบบการศึกษา ทดลองทำสิ่งที่เราเชื่อโดยเปิดชมรมอย่างไม่เป็นทางการ เกิดเป็นชมรมอนุรักษ์ขึ้น ชวนเด็ก ๆ มาเรียนรู้และทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น วันสืบ นาคะเสถียร ก็จัดกิจกรรมให้เด็กในโรงเรียนมาดูหนัง หรือพาเด็ก ๆ เข้าไปในชุมชนแลนด์ฟิลด์ (Landfill) ซึ่งเป็นแหล่งฝังกลบขยะในขอนแก่นเพื่อเรียนรู้เรื่องขยะเมือง แล้วสร้างการเรียนรู้ว่าจะกลับไปทำอะไรได้บ้างในโรงเรียนตัวเอง 

“เราชวนเด็กมาทำกิจกรรมที่ขยายออกจากตัวเองบ้าง เพราะเห็นเด็กถูกสอนให้คิดถึงตัวเองเยอะเกินไป ถูกปลูกฝังเรื่องการศึกษาเป็นเลิศเพื่อเติบโตไปยืนอยู่บนยอดพีระมิด กลายเป็นว่าโรงเรียนอยู่กลางเมืองแท้ ๆ แต่ไม่ได้เห็นคนในเมืองเดียวกัน การไต่ขึ้นไม่ได้ผิด แต่ควรมองเห็นผู้คนรอบข้างบ้าง ได้เห็นว่ามีผู้คนทุกข์ยาก ผู้คนลำบาก หรือรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของผู้คน มันสำคัญนะ คุณต้องขยายมุมมองออกให้ไกล แล้วคุณก็ควรจะดึงแขนคนในสังคมไปด้วยกัน เป้าหมายคือการสร้างสรรค์สังคม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม แล้วก็ช่วยเหลือกันและกันในสังคม 

“แคทรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนเก่งที่จะอยู่กับระบบได้อย่างแนบเนียน ทำในสิ่งที่ตั้งใจแต่ก็ยอมถอยร่นให้กับอะไรบางอย่างที่ระบบเข้ามาทำงานกับข้างในของเรา บางทีในการทำงานราชการ จะมีคำสั่งจากสายงานผู้บังคับบัญชาที่ทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ะ อันนี้สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กไหมนะ พอเราตั้งคำถามเยอะก็เลยทุกข์ใจ ทำให้หมดพลังที่จะเคลื่อนในสิ่งที่เราตั้งใจ จึงเลือกลาออกมาสร้างพื้นที่ของเราใหม่แต่ในบทบาทเดิม คือครูแคทคนเดิม เพิ่มเติมคือไม่ต้องไปโรงเรียน แต่ก็ยังสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้  

“พอลาออกมาแล้ว แคทตั้งใจทำอีสานจะเลิร์นให้เติบโต ความจริงอีสานจะเลิร์นมันถูกรันมาก่อนหน้านี้แล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มส่วนใหญ่มีหน้างานที่อยู่แล้ว แค่ทุกคนเอาพื้นที่ดินแดนหน้างานของตัวเองมาคอนเนกกัน เช่น การทำงานกับเด็ก ๆ อย่างแคทเองก็ทำ Visual Note Taker มาตั้งแต่ยังเป็นครู แคทมีเพจที่เราทำงานสื่อสาร คือแปลงงานวงประชุม แปลงงานเสวนา แปลงงาน Text เยอะ ๆ ให้เป็นภาพ มันเป็นสิ่งที่เราชอบ เลยคิดว่าถ้าทำสิ่งนี้ต่อแล้วทำให้เป็นระบบ ให้มันเลี้ยงเราได้ และอนุญาตให้เรามีเวลาทำงานกับเด็ก ๆ ได้ด้วย” แคทกล่าวกับเรา 

และวันนี้ ใน Session ของการถอดบทเรียนกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ เธอก็จะได้โชว์ทักษะการถอดบทเรียนวงเสวนาเป็นภาพในฐานะ Visual Note Taker ให้เราเห็นและเรียนรู้ไปด้วย

การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียที่ทรงพลังของอ๊อฟ และวิธีไปถึงเป้าหมายสร้างนิเวศการเรียนรู้ เพื่อเป็นเครื่องมือกระจายอำนาจทางการศึกษามาสู่อีสาน

เมื่ออีสานจะเลิร์นวางบทบาทไว้ว่าจะเป็น Learning Hub Community ช่องทางการสื่อสารและกระจายข่าวสารจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จ ทางกลุ่มมอบหมายบทบาทนี้ให้ อ๊อฟ-กฤษฎิ์ บุญสาร เจ้าของเพจลาวเด้อ และ Khon Kaen POP มาเป็นผู้ช่วยดูแล และเขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอีสานจะเลิร์นนี้ขึ้นมาด้วย 

จากนักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะไม่ยอมตัดผม จึงหมดสิทธิ์สอบจบ ม.3 ช่วงแรกของชีวิตอ๊อฟต้องวิ่งสู้ฟัดกับความลำบาก แต่ก็ผลักพาตัวเองให้เรียนจนจบปริญญา และเข้าทำงานที่เอเจนซี่แห่งหนึ่งในตำแหน่งช่างภาพ และไต่เต้าจนมาเป็น Account Manager งานของเขาต้องเชื่อมโยงทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ และขอนแก่น อ๊อฟจึงได้มาเยือนขอนแก่น และเห็นว่าเป็นเมืองที่น่าสนใจและน่าอยู่ กระทั่งตัดสินใจมาอยู่ขอนแก่น และเลือกทำในสิ่งที่ถนัดให้หล่อเลี้ยงตัวเองได้ ด้วยการทำเพจเพื่อสื่อสารเรื่องราวและขับเคลื่อนอีสานในนาม ลาวเด้อ และ Khon Kaen POP ก่อนถูกทาบทามจากโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการสื่อสารโครงการดังกล่าว

“มันเป็นความหวนคิดถึงและอยากรู้จักอีสาน เพราะในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเราอยู่ที่กรุงเทพฯ ตลอด ไปเรียนรู้ความเป็นส่วนกลาง ความเป็นเมือง การใช้ชีวิต การต่อสู้ ความเร่งรีบ พอวันหนึ่งมีเวลากลับมาอยู่ขอนแก่นในช่วงสั้น ๆ เพราะออฟฟิศมี 2 ที่ เราเห็นว่าขอนแก่นเป็นเมืองที่น่าสนใจมากทั้งในเชิงกายภาพ คมนาคม การท่องเที่ยว รวมถึงอากาศในตอนนั้น ถ้าให้เทียบว่าอีสานจังหวัดไหนใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ก็คือขอนแก่น ช่วงมาอยู่ใหม่ ๆ เราไม่ต้องปรับตัวมากเท่าไหร่ 

“วันหนึ่งเราออกจากงานจากที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาอยู่ที่ขอนแก่น คุยกับแก้ม แฟนผม ว่าเราน่าจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับพื้นที่และมีรายได้ด้วยนะ ก็คิดว่างั้นทำในสิ่งที่ทำมาตลอด คือ ดิจิทัลมาร์เก็ตติง การทำสื่อจะช่วยให้เราอยู่ที่นี่ได้และมีอาชีพ เลยมาทำเพจลาวเด้อ มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลาปีครึ่งแล้ว

“พอเราเป็นสื่อโซเชียลมีเดียในพื้นที่เรารู้จักกับคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ในขอนแก่น ทางผู้ดูแลโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์เห็นว่าเราน่าจะมีศักยภาพในการสื่อสารเรื่องราวของปิดเทอมสร้างสรรค์ได้ เลยชวนให้เข้ามาอยู่ในคอมมูนิตี้ด้วย เราอยากทำ เพราะลึก ๆ แล้วประเด็นการศึกษาก็เป็นสิ่งที่เราสนใจ พอเขามาชวนเราจึงตอบตกลงทันที 

“การรับหน้าที่สื่อของโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ทำให้ได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในขอนแก่น จากไม่เคยรู้เลยว่าในขอนแก่นมีอีเวนต์ต่าง ๆ หรือไม่ พอเปิดตัวปิดเทอมสร้างสรรค์ โอ้โห มันเกิดขึ้นถึง 60 งาน ตลอดระยะเวลา 3 เดือน ว้าวมาก ทำให้เห็นว่าขอนแก่นก็เป็นเมืองที่มีอีเวนต์เหมือนกันนี่นา แถมน่าสนใจ เราเองยังอยากเข้าไปร่วมด้วยเลย เพราะนอกเหนือจากการทำงาน เราอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นเหมือนที่พักใจ ให้เราได้เรียนรู้และเจออะไรใหม่ ๆ  

“หลังจบกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ พวกเราจัดตั้งกลุ่มอีสานจะเลิร์นขึ้น ผมได้รับ 2 บทบาท คือหนึ่ง ดูแลคอนเทนต์และโซเชียลมีเดีย การสื่อสารทั้งหมดที่ทางอีสานจะเลิร์นทำ สอง คือทำหลักสูตร โดยผมทำหลักสูตรลาวเด้อ Academy ในเชิง Production เลยครับ เช่น การทำคอนเทนต์ การถ่ายภาพ การทำวิดีโอ ให้คนที่อยากเป็น Content Creator มาเรียน รวมถึงสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว คือกิจกรรมการอ่านหนังสือ ชื่อ ‘คุยหนังสือแนบน้ำ’ ให้คนที่อ่านหนังสือเล่มเดียวกันมาคุยกัน เหมือน Book Club แต่จะมีกระบวนการให้ทั้งคนที่อ่านและไม่ได้อ่านร่วมกิจกรรมได้ 

“เป้าหมายที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ คืออีสานจะเลิร์นจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือการต่อรองเชิงการกระจายอำนาจมาที่อีสาน ถ้าเขามองว่าอีสานจะเลิร์นมีศักยภาพในการขับเคลื่อนด้านการศึกษาให้ปังได้ เข้าถึงคนได้จริง ๆ ส่วนกลางอาจจะปล่อยทั้งงบประมาณและอำนาจในการตัดสินใจ อย่างเช่นเรื่อง ‘ธนาคารหน่วยกิต’ ให้อีสานจะเลิร์นทำก็ได้ อาจจะเป็นการศึกษาคู่ขนานไปกับการศึกษาในระบบ สิ่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการต่อรองกับส่วนกลาง

“วิธีจะไปถึงเป้าหมายนั้น ผมมองว่า Learning City จะเกิดขึ้นได้ต้องมี 3 ปัจจัย อย่างแรก คือต้องมี Learning Design คือคนที่ทำหลักสูตร ถัดมาคือ Learning Space สถานที่ให้คนที่อยากจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรม อันที่ 3 ก็คือ Budget ดีที่สุดก็คือคนมาเรียนต้องไม่เสียเงิน จึงต้องมีงบประมาณมารองรับทั้งผู้สอนและผู้เรียน โดยงบประมาณอาจมาจากส่วนกลางหรือจากองค์กรที่สนใจเรื่องนี้อย่าง สสส. กระทรวงศึกษาธิการ องค์กรหรือบริษัทต่าง ๆ ที่อยากทำ CSR เพื่อมาสนับสนุน Learning Design หรือ Learning Space ให้มีทุนมาทำงาน และให้คนที่มาเรียนได้เรียนฟรี อันนี้เป็นหลักการที่รัฐเคยพูดไว้เลยนะว่าเด็กทุกคนควรจะเรียนฟรี คุณมาสนับสนุนเราสิ เดี๋ยวทำให้ดูว่าเรียนฟรีทำยังไง”

และอ๊อฟกล่าวทิ้งท้ายกับเราว่า “จริง ๆ มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่เราต้องมาทำหรอกนะ (หัวเราะ) เพราะเราเสียภาษีให้รัฐไปแล้ว รัฐก็ควรมีหน้าที่ดูแลพลเมืองให้มีการศึกษา มีการเรียนรู้ เพื่อให้เขามีทักษะสำหรับต่อยอดประกอบอาชีพได้ แต่ในเมื่อรัฐไม่ทำหรือทำแล้วแต่ยังไม่เวิร์กสำหรับทุกคน หรือคุณบอกว่ามันติดระบบเงื่อนไขนั่นนู่นนี่ งั้นไม่เป็นไร เราทำเอง เพราะการมาทำสิ่งนี้ก็เหมือนการตอกย้ำ หรืออาจจะเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้เรามาทำก็ได้ เพราะการที่เรามาทำก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องฝืนใจ ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากแล้วในการทำสิ่งนี้ เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ เอื้อมาก รวมถึงเรามีคอมมูนิตี้ มีเพื่อน ๆ ที่สนใจในประเด็นคล้าย ๆ กัน และมีจุดมุ่งหมายคล้าย ๆ กัน ที่อยากทำให้ขอนแก่นเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้จริง ๆ”

ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) และ Plug in การศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบอย่างไร้รอยต่อ คือวิธีแฮ็กสู่เป้าหมายแบบอีสานจะเลิร์น และฝันไกล ๆ ของพวกเขา

สิ่งที่พวกเขาทำนั้นน่าสนใจ แต่จะไปถึงเป้าหมาย Learning Hub Community ที่จะสร้างการเรียนรู้เท่าเทียมในสังคมด้วยวิธีไหน และฝันไกล ๆ ของพวกเขาคืออะไรคือคำถามสำคัญ ทีมงานล้อมวงพูดคุยกันอยู่สักพักแล้วให้ครูมะพร้าวสรุปกับเราว่า

“จากที่คุยกัน ฝันไกล ๆ มีอยู่ 2 ระดับ หนึ่ง คือระดับที่เราทำได้เลย เช่น สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ให้ทุกคน ทุกช่วงวัย ทุกชนชั้น เข้าถึงได้ อยากเรียนรู้อะไรลุกขึ้นมาเรียนรู้ได้โดยไม่มีอุปสรรค 

“ส่วนฝันในระดับที่ 2 คืออยากให้อีสานจะเลิร์นหรือการเรียนรู้ทั้งหมดไป Plug in หรือเป็นทางเลือกในระบบการศึกษาหลักได้ เช่น ระบบ Credit Bank ธนาคารหน่วยกิต การที่โรงเรียนส่งเด็ก ๆ มาเรียนกับอีสานจะเลิร์นได้ แล้วตอบตัวชี้วัดการศึกษาบางอย่างซึ่งตอบโจทย์ให้การศึกษาแกนกลางได้ นี่คือฝันที่เข้าไปอยู่ในระบบด้วยเลย

“ส่วนเรื่องวิธีการไปถึงฝัน ความฝันแรกที่บอกว่าเราจะทำให้การศึกษาเข้าถึงทุกช่วงวัย ทุกชนชั้น อีสานจะเลิร์นพยายามสร้างทีมกลางเพื่อจะเชื่อมโยงทุกคน เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้อยู่ในคอมมูนิตี้เดียวกัน โดยพวกเราจะไม่ได้เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่สร้างให้เกิดการทำงานร่วมกัน มีกลไกเชื่อมหลักสูตรเหล่านี้สู่คนเรียน ผ่านการประชาสัมพันธ์ สื่อสาร ด้วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

“ฝันที่ 2 เรื่องเข้าไป Plug in ในระบบ วิธีการที่เราพยายามอยู่คือชวนผู้ใหญ่ในระบบมาคุย เช่น เทศบาล อบจ. ไปจนถึงนักธุรกิจ ทำให้เขาเห็นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และการมีทีมอีสานจะเลิร์นจะเป็นเครื่องมือต่อรองทางอำนาจ ให้พวกเขาเห็นว่าเราสร้างการศึกษาได้ เรามีกลไกในการทำงาน คุณจะร่วมสนับสนุนเรายังไงได้บ้าง ทั้งเชิงนโยบาย งบประมาณ ให้อีสานจะเลิร์นได้ทำงาน เพราะเรารู้ว่าคนที่อยู่ในระบบอาจมองไม่เห็นภาพ เรามี Know-how ส่วนเขามี Resource หรือมีงบประมาณ มีนโยบาย อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ในตอนนี้ 

“อีกเรื่องสำคัญคือ Credit Bank หรือ ธนาคารหน่วยกิต กำลังจะมา เราเตรียมการกันไว้แล้วว่า ถ้าถึงวันนั้น เราจะต้องทำหลักสูตรให้มีความเป็นวิชาการมากพอที่จะตอบโจทย์ระบบการศึกษาและตัวชี้วัดในสถานศึกษา ตอบสมรรถนะที่เขากำหนดขึ้นมา แล้วก็จะต้องตั้งทีมวิชาการ คอยวิเคราะห์ว่าแต่ละเวิร์กช็อปตอบตัวชี้วัดหรือตอบสมรรถนะตรงกลางใดได้บ้าง เขียนออกมาเป็น Paper ให้ได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรัฐ ให้กับกระทรวงที่เขาส่งเด็กมาเรียนกับเราว่า นี่ไงมันตอบโจทย์จริง ๆ มีคำอธิบายรายวิชา มีสมรรถนะ มีตัวชี้วัด มี KPI มาตรฐานไปอ้างอิง 

“ในขณะเดียวกัน ความระวังของเรา คือเราจะไม่เปลี่ยนตัวเอง เช่น ไปตอบโจทย์ตัวชี้วัดจนไม่มีความเป็นผู้เล่นนอกระบบการศึกษาเลย เราจะมีเอกลักษณ์ของอีสานจะเลิร์นเอง แต่ก็ตอบโจทย์หลักสูตรแกนกลางด้วย”

มุมมองของคำว่า ‘เจริญ’ ในแบบอีสานจะเลิร์น

เราทิ้งท้ายคำถามสั้น ๆ กับทั้ง 4 คน ก่อนจะต้องปลีกตัวไปเข้าสู่กระบวนการถอดบทเรียนว่า คำว่า ‘เจริญ’ ในแบบอีสานจะเลิร์นคืออะไร ไนท์ให้นิยามกับเราว่า 

“เจริญคงหมายถึงการเรียนรู้ตลอดเวลา เรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ และเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ แบ่งบานขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านจิตใจ ซึ่งเป็นปัจเจกของแต่ละคน และมองเห็นทางเลือกอื่น ๆ ได้มากกว่านี้ เพราะความเป็นต่างจังหวัด ทางเลือกในการเรียนรู้หรืออาชีพการงานมีน้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย เพียงแค่เราไม่ถูกทำให้เห็น เพราะฉะนั้น ต้องพยายามทำให้เห็นพื้นที่ของตัวเองและของผู้อื่นด้วยนะครับ เราอยากให้เป็นอย่างนั้น”

ส่วนมะพร้าวฉายมุมมองคำว่าเจริญในแบบของเขาว่า “มะพร้าวคิดว่าคำว่าเจริญเกิดจากการเกาะเกี่ยวกันเป็นนิเวศที่ส่งเสริมกัน และใช้การเรียนรู้เป็นเครื่องมือช่วยให้ทุกฝ่ายก้าวไปสู่คำคำนั้น นิเวศของการเรียนรู้อาจจะมีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่จิ๊กซอว์สำคัญที่สุดคือประชาชนหรือคนในชุมชนนี่แหละที่จะมาร่วมขบวนสร้างการเรียนรู้ไปด้วยกัน 

ครูแคทเสริมว่า “อีสานจะเลิร์นไม่ใช่พื้นที่เชิงกายภาพ แต่คือพื้นที่ที่จะ Grooming ให้คนที่สร้างการเรียนรู้มีโอกาสสร้างการเรียนรู้ของตัวเอง เชื่อมต่อกับผู้ที่อยากเรียนให้เข้ามาเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อคนในเมืองได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนโดยไร้เงื่อนไขมาขัดขวาง ประชาชนมีอำนาจในการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนในระบบ การเรียนรู้อย่างอิสระเช่นนี้แหละที่จะนำไปสู่คำว่าเจริญ”

สุดท้ายคืออ๊อฟ ที่เขามองว่าเจริญคือความเท่าเทียมกัน “เจริญมี 2 อย่าง จะเลิร์น ที่พ้องเสียงกับวลีที่หมายความว่า กำลังจะไปเรียน เลิร์น คือ เรียนรู้ แต่เจริญในความหมายที่ 2 นี่น่าสนใจ คือเจริญในเชิงการพัฒนา ไม่ใช่แค่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุ แต่เราอยากให้เกิดความเจริญในเชิงการพัฒนาตัวบุคคล เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของการลงทุนหรือการพัฒนาคือการลงทุนกับคน เพราะคนคือส่วนสำคัญที่ทำให้เมืองเดินหน้าต่อไปได้”

หลังจบบทสนทนากับทีมอีสานจะเลิร์น เหล่า Learning Creator ที่นัดหมายกันไว้เพื่อร่วมกิจกรรมถอดบทเรียนของโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ก็มารวมตัวกันอย่างล้นหลาม พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางทีมออกแบบเอาไว้ ระหว่างการถอดบทเรียน เหล่าผู้สร้างการเรียนรู้จากหลากหลายที่มา ทั้งที่รู้จักกันแล้วและยังไม่รู้จักกัน ได้มาละลายพฤติกรรมและรู้จักกันใหม่ เล่าในสิ่งที่พวกเขาทำให้เพื่อน ๆ ฟัง และร่วมถอดบทเรียนว่าสิ่งที่ทำมามีโมเมนต์ใดบ้างที่ว้าว (ดีต่อใจ ซึ้งใจ) เย่ (สิ่งที่ทำได้ดี จุดเด่น) อ๋อ (สิ่งที่ค้นพบ ปิ๊งแวบ) ฮึ่ย (สิ่งที่อยากพัฒนาเพิ่มเติม) 

ตลอดเวลาที่ถอดบทเรียนและแลกเปลี่ยนมุมมองกัน ครูแคท Visual Note Taker คือผู้คอยจับประเด็นมารวมเป็นกลุ่มผ่านภาพวาดน่ารัก ๆ ถ้อยคำสั้น ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น มีมะพร้าวคอยเป็นกระบวนกรดำเนินกิจกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีไนท์ อ๊อฟ และแกนหลักของทีมอีสานจะเลิร์นเข้าร่วมกิจกรรมไปพร้อมกัน ที่สำคัญ มีผู้ให้ทุนจาก สสส. เข้าร่วมกิจกรรม รับฟัง แลกเปลี่ยนข้อมูลกับทุกคนที่เข้าร่วม 

ข่าวดีอย่างหนึ่ง คือในปีการศึกษาหน้า โครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ได้ยกระดับพื้นที่จังหวัดขอนแก่นให้เป็นพื้นที่หลักในการจัดกิจกรรม จากเดิมที่ปีนี้เป็นเพียงพื้นที่ทดลอง โดยจะมีทางทีมอีสานจะเลิร์นคอยดูแลโครงการดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าผลงานที่สร้างไว้ในกิจกรรมครั้งที่แล้วโดนใจกรรมการ และถ้ามองให้ลึกกว่านั้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าวันนี้สังคมแห่งการศึกษาเท่าเทียมด้วยการเลิร์นที่พวกเขาขับเคลื่อนกันมานั้น เริ่มผลิใบอ่อนเจริญงอกงามขึ้นแล้วในจังหวัดขอนแก่นแห่งนี้

ติดตามกิจกรรม อีเวนต์ต่าง ๆ และปฏิทินเวิร์กช็อปของอีสานจะเลิร์นได้ที่ Facebook : อีสานจะเลิร์น หรือเว็บไซต์ isaanjalearn.org (พิมพ์ในกูเกิลว่า อีสานจะเลิร์น จะขึ้นชื่อแรก)

Writer

สิทธิโชค ศรีโช

สิทธิโชค ศรีโช

มนุษย์ผู้ตกหลุมรักอาหารการกินมาตั้งแต่จำความได้ เคยโลดแล่นอยู่ในวงการสื่อสารด้านอาหารกว่าสิบปี ก่อนกลับบ้านนอกมาใช้ชีวิตติดกลิ่นปลาร้าที่อีสาน และยังคงมุ่งมั่นส่งต่อเรื่องราววัฒนธรรมอาหาร สุขภาพ และการดำรงชีวิตของผู้คนบนที่ราบสูง ให้โลกได้รับรู้

Photographer

กานต์ ตำสำสู

กานต์ ตำสำสู

หนุ่มใต้เมืองสตูลที่มาเรียนและอาศัยอยู่อีสาน 10 กว่าปี เปิดแล็บล้างฟิล์ม ห้องมืด และช็อปงานไม้ อยู่แถบชานเมืองขอนแก่น คลั่งไคล้ฟุตบอลไทยและร็อกแอนด์โรล