เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน มีผู้เชื้อเชิญด้วยประโยคว่า
“เมื่อไหร่จะไปนรกคะ”
ฉันนึกถึงบาปผิดที่ก่อไว้แก่คนผู้นี้ไม่ออก มิใยที่เธอจะแก้ประโยคว่า
“หมายถึงเมื่อไหร่จะพาไปนรกน่ะค่ะ”
ซึ่งฉันก็ว่าไม่ได้ทำให้คำถามนั้นดีขึ้นมาอีกสักกี่มากน้อย แต่เมื่อพินิจดูแล้ว เธอน่าจะหมายถึงว่า พาไปรู้จักนรกฝรั่งมากกว่า เพื่อที่จะได้อ่านหรือดู Inferno ของ แดน บราวน์ (Dan Brown) ได้ถึงรสถึงชาติขึ้น กระนั้น ฉันก็ไม่ได้คิดจะ (พาเธอ) ไปนรกอย่างที่เธอขอ เพราะดูมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเกินกว่าจะเล่าได้ในไม่กี่หน้า
แต่มาช่วงไม่กี่วันนี้ มีข่าวเรื่องผู้คนอ้างว่าตนได้ผ่านนรก สวรรค์มา แล้วเอามาเล่าให้ฟัง ฉันจึงคิดว่า ชะรอยเทพไทจะอุปถัมภ์นำชักให้ฉันต้องพาเที่ยวนรกจริงๆ เสียแล้ว
จะเริ่มอย่างไรดี เริ่มจากคำว่า Inferno ก่อนแล้วกัน
คำนี้อ่านว่า อิน-แฟร์-โน ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า นรก
นอกจากนั้นยังเป็นบรรพแรกของวรรณคดีเอกของอิตาลีที่ชื่อ La divina commedia อีกด้วย
La divina commedia หรือชื่อในภาษาสากลว่า The Divine Comedy (เดอะ ดีไวน์ คอมเมดี) รจนาโดยกวีชาวฟลอเรนซ์ นามว่า ดันเต อลิกิแยรี (Dante Alighieri) ในศตวรรษที่ 14 เทียบเวลาแล้วก็ร่วมสมัยกับยุคสุโขทัยของเราโดยประมาณ
วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของดันเตไปสู่ดินแดนหลังความตายทั้งสามภพภูมิตามคติคริสต์ศาสนาในยุคนั้น ได้แก่ นรก แดนชำระ และสวรรค์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 เล่ม แน่นอนตอนที่ฮอตฮิตที่สุดย่อมเป็นนรก หายนะของคนอื่นย่อมเป็นสิ่งน่าอ่านน่าพูดคุยเสมอ
เล่ารูปพรรณสัณฐานภายนอกของนรกฝรั่งให้ฟังก่อนนะ ว่ามันเป็นทรงกรวย เป็นวงๆ ลู่ลงไปเรื่อยๆ ‘ขุม’ นรกในภาษาอิตาเลียนจึงเป็นคำว่า วง (Cerchio)
ทำไมนรกถึงเป็นทรงกรวย
ลองนึกภาพโลกกลมๆ นะ วันหนึ่ง เทวดาลูซิเฟอร์นึกคึกฮึกเหิม ตั้งต้นจะเป็นพระเจ้า ท่านจึงพระราชทานรางวัลเป็นการเฉดศีรษะเทวดาหัวแข็งนี้ตกลงมาจากสวรรค์ เมื่อลอยละลิ่วจวนจะถึงพื้นโลกอยู่แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์บันดาลดล พื้นแผ่นดินยุบตัวร้องอี๋หนีจนยุบไปถึงแกนโลก นรกทรงกรวยจึงเกิดด้วยเหตุนี้ นอกจากนั้นการยุบตัวนี้ยังทำให้แผ่นดินอีกด้านข้างของโลกนูนขึ้นมาเป็นภูเขา ภูเขาลูกนั้นล่ะคือแดนชำระ ตั้งอยู่กลางทะเลใดทะเลหนึ่ง ส่วนสวรรค์นั้นอยู่บนฟ้า แหงอยู่แล้ว
เอาล่ะ เราจะมาที่ฉากเปิดเรื่องอันเริ่มว่า
“เมื่อมาถึงกลางกึ่งซึ่งชีวิต
ณ กลางป่ามืดมิด ข้าฯ ยืนเคว้ง
ไม่พบทางที่ควรเดินสุดวังเวง
แสนกลัวเกรงป่ามืดมนจนหนทาง”
สรุปคือ ดันเตซึ่งจับพลัดจับผลูไปอยู่ที่ป่ามืดได้อย่างไรก็ไม่รู้ ยืนหันรีหันขวางอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงแฮ่ฮื่อ ไม่สิ ยังไม่ผีสิ ผีอะไรร้องเสียงนั้น เป็นสัตว์ป่า 3 ตัวต่างหาก อันมีสิงโต หมาป่า แล้วก็เสือดาว
ในช่วงเวลาความเป็นความตายนั้นเองก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมา ซักไซ้ไล่เลียงกันแล้วก็คือ เวอร์จิล (Virgil) มหากวียุคโบราณซึ่งดันเตนับถือเป็นครู เนื่องจากได้เคยอ่านงานของท่านมานั่นเอง
เวอร์จิลได้รับบัญชาจากเบื้องบนให้พาดันเตเดินผ่านนรก ก่อนจะไปต่อแดนชำระและสวรรค์เป็นสถานีสุดท้าย ก่อนจะกลับสู่โลกมนุษย์
แล้วทัวร์นรกก็เริ่มขึ้น โดยมีเวอร์จิลถือธงนำ นับเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้ทรู
เมื่อพ้นปากทางเข้าสู่นรก ก็จะเจอด่านแรก ซึ่งยังไม่นับเป็นนรก เรียกว่าเป็นห้องรับแขกหรือห้องรับวิญญาณจะดีกว่า ณ ห้องนี้เป็นที่อยู่ของผู้ที่ไม่ถือหางทางการเมือง (ในฟลอเรนซ์ยุคนั้น) รวมทั้งเทวดาที่วางตัวเป็นกลางในเหตุการณ์กบฏของลูซิเฟอร์ต่อพระเจ้าด้วย วิญญาณพวกนี้จะแก้ผ้าวิ่งตามธงเปล่าและถูกต่อแตนไล่ตามต่อย
แล้วก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำอาเครอนเต ที่มีเรือรับวิญญาณไปสู่นรก เมื่อถึงฝั่ง ก็มีอมนุษย์เป็นผู้กำหนดว่าจะต้องไปยังขุมไหนโดยดูขดหาง
จากนั้นก็เริ่มที่วงแรก เป็นที่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ล้างบาปหรือเกิดก่อนพระคริสต์ วิญญาณพวกนี้ไม่ได้รับโทษอะไร เพียงแต่ต้องรอคอยพระคริสต์ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
วงที่ 2 เป็นต้นไปนี้ ถือเป็นนรกจริงๆ แล้ว โดยเรียงตามจากบาปเบาที่สุดไปยังบาปหนักที่สุด
วงที่ 2 สำหรับผู้ที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงใหลมัวเมาไปกับกามคุณ โทษที่ได้รับก็คือ หมุนลอยไปกับพายุที่พัดอื้ออึงอยู่ ณ ที่นี้ไม่มีวันจบสิ้น…อะไรนะ ไม่เจ็บ? ลองนึกถึงตัวเองนั่งม้าหมุนแล้วเพื่อนเหวี่ยงวิ้วๆ ๆ ไม่มีวันจบสิ้นดูสิ
วงที่ 3 สำหรับคนตะกละ โทษคือนอนแผ่หรารอรับฝนเหม็น ลูกเห็บเหม็น และหิมะเหม็น ซึ่งก็จะมาทับถมเป็นโคลนแหยะๆ เหม็นๆ อีก อี๋
วงที่ 4 สำหรับคนงกและคนสุรุ่ยสุร่าย ดูเหมือนคนสองกลุ่มนี้จะเป็นคู่ตรงข้ามกัน แต่ลึกๆ แล้วก็คือคนที่ใช้ทรัพย์ไม่เป็นนั่นเอง โทษของกลุ่มนี้คือ คนสองกลุ่มจะหันหลังให้กัน แล้วเอาอกดันหินก้อนใหญ่เคลื่อนไปข้างหน้า แล้วด้วยความที่ขุมมันเป็นวงกลมใช่ไหม ก็จะดันมาชนกัน ณ จุดหนึ่ง แล้วก็ออกมาทะเลาะกัน แล้วก็กลับหลังหันเอาอกดันกลับไปอีกทาง ซึ่งก็จะไปชนกันอีก วนไป
วงที่ 5 เป็นแม่น้ำสติจ สำหรับคนโมโหร้าย และคนขี้คร้านในการทำดี คนเหล่านี้จะกัดกินกันอยู่ในแม่น้ำอันร้อนจนเดือด
ตรงนี้มีกำแพงกั้น 1 กำแพง
วงที่ 6 เป็นขุมของพวกนักพรตนอกรีต พวกนี้จะนอนอยู่ในโลงหินที่มีไฟลุกโชน
แล้วตรงนี้มีแม่น้ำกั้นอีก 1 สาย จริงๆ ก็แม่น้ำสายเดิมนั่นละ แต่จะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย ๆ ในภาษาอิตาเลียนเรียกแม่น้ำตรงนี้ว่า เฟลเจตอนเต
วงที่ 7 เป็นที่สำหรับผู้ใช้ความรุนแรง วงนี้แบ่งออกเป็น 3 ขุมย่อย
ขุมแรก คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และปล้นสะดมทรัพย์สิน อันถือเป็นการทำรุนแรงต่อผู้อื่น
ขุมที่ 2 ผู้ที่ฆ่าตัวตาย อันถือเป็นการทำรุนแรงต่อตนเอง
ขุมที่ 3 ผู้ด่าว่าพระเจ้า / รักร่วมเพศ / ผู้ปล่อยเงินกู้หน้าเลือด อันถือเป็นการกระทำรุนแรงต่อ พระเจ้า / ธรรมชาติ / ศิลปะ ตามลำดับ
วิญญาณเหล่านี้โดยรวมยืนแช่อยู่ในแม่น้ำเลือดเดือด ลำดับความสูงของน้ำก็ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของบาป ใครพยายามจะตะเกียกตะกายหนีขึ้นฝั่งก็จะถูกสัตว์นรกเอาอาวุธปลายแหลมทิ่มแทงโอดโอย
จากนั้นเป็นวงที่ 8 ซึ่งเป็นเหวลึกลงไป แล้วยังแบ่งแยกย่อยไปอีก
นรกวงนี้เป็นที่ของการผู้หลอกลวง แบ่งออกได้เป็น 10 ขุมย่อยทีเดียว เข้าใจว่าฟลอเรนซ์ยุคนั้นคงโกงกันไม่เบา
ขุมย่อยที่ 1 พวกชอบล่อลวงหญิง พวกนี้จะถูกสัตว์นรกเอาเขาขวิด
ขุมย่อยที่ 2 ผู้ที่คบชู้ อยู่ในบ่ออุจจาระมนุษย์
ขุมย่อยที่ 3 ผู้ขายสมณะพระ หัวจุ่มลงไปในหลุมไฟ โผล่ขึ้นมาให้เห็นแค่เท้าซึ่งมีไฟลุกโชน
ขุมย่อยที่ 4 หมอดู วิญญาณเหล่านี้จะถูกบิดหัวให้หันไปข้างหลัง โทษฐานที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้อนาคตดีนัก
ขุมย่อยที่ 5 ผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ วิญญาณจะอยู่ในยางมะตอยเดือด มีปีศาจในนรกคอยเอาปฏักจิกเกี่ยว
ขุมที่ 6 ผู้ที่ตลบตะแลง หน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าตาขยิบ ทั้งนรก วิญญาณกลุ่มนี้ดูจะแต่งตัวดีสุด เพราะถ้ามองแต่ไกลแล้วจะเห็นว่าสวมเสื้อคลุมสีทอง ที่ผิดสังเกตคือ การเดินจะเชื่องช้ามากราวกับแบกอะไรเอาไว้ ถูกต้อง ถึงข้างนอกจะเป็นทอง แต่ข้างในเป็นตะกั่วหนักมาก
ขุมที่ 7 ขโมย ถูกมัดมือไพล่หลังด้วยงู งูก็จะฉก แล้วก็จะกลายเป็นเถ้า เป็นมนุษย์ เป็นงู แล้วก็คืนร่างมาอีก วนไปเรื่อย ๆ
ขุมที่ 8 ให้คำแนะนำที่เลวร้าย โทษของขุมนี้คือ ใช้ชีวิตอยู่ในเปลวไฟ รู้จักเรื่องม้าเมืองทรอยไหม โอดิสเซียสผู้คิดแผนการสร้างม้าไม้เมืองทรอยก็อยู่ในขุมนี้เช่นกัน
ขุมที่ 9 สำหรับผู้เพาะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความร้าวฉาน พวกนี้ถูกฟันด้วยดาบ แล้วพอแผลเริ่มจะสมานกันดี ผู้คุมในนรกก็จะจับแหกออกอีก
ขุมที่ 10 สำหรับผู้ทำของปลอม วิญญาณพวกนี้มีอาการเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน ท้องมาน และหนาวสั่นด้วยพิษไข้ตลอดเวลา
และวงสุดท้ายคือวงที่ 9 เรียกกันว่า ‘บ่อแห่งยักษ์’ นี้ เป็นบ่อน้ำแข็งใหญ่สำหรับผู้ที่ทรยศหักหลังผู้ที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ แบ่งย่อยไปได้อีก 4 ขุม
ขุมแรก ผู้เนรคุณญาติพี่น้อง
ขุมที่ 2 ผู้ทรยศหักทางทางการเมือง หรือพวกคนขายชาติ ขายพวกพ้อง
ขุมที่ 3 ผู้ทรยศหักหลังอาคันตุกะและเพื่อนฝูง
ขุมที่ 4 ผู้ทรยศต่อผู้สร้างคุณงามความดี
ทั้งหมดมีร่างอยู่ในบ่อน้ำแข็ง ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
แล้วก้นบึ้งที่สุดของนรกหรือก้นกรวยก็คือ ลูซิเฟอร์ เทวดาตกสวรรค์ที่กล่าวถึงในตอนแรก ลูซิเฟอร์ซึ่งมี 3 หน้าและร่างกายใหญ่โตมาก พยายามโบกปีกมหึมาของตนหวังว่าจะให้พ้นไปจากที่นี้ โดยหารู้ไม่ว่า ลมจากการโบกของตนยิ่งจะทำให้น้ำแข็งแข็งตัวยิ่งขึ้น
ลูซิเฟอร์ไม่ได้โบกอยู่เฉยๆ นะ ปากทั้งสามของแต่ละหน้าให้คาบเคี้ยวคนบาปหนักที่สุดไว้ปากละคน ทั้งสามคนนั้นคือ จูดา ผู้ทรยศพระเยซู คัสเซียสและบรูตัส ผู้สังหารจูเลียส ซีซาร์
พอมาถึงปลายสุดของขุมนรก ก็วาร์ปไหลลงกรวยท่อไปโผล่ที่ภูเขาแห่งการชำระบาป
เอาพอหอมปากหอมคอ ให้พอเห็นว่า นรกไหนๆ ก็ไม่น่าอยู่ทั้งนั้น
แล้วไม่ต้องมาชวนไปแดนชำระล่ะ แต่ถ้าจะชวนไปสวรรค์ล่ะก็…
…ขอคิดดูก่อนนะ… // แกะเสื่อม้วนต้วน