“ขยะจะเป็นแค่ขยะ หากคุณไม่นำมันไปทำเป็นประโยชน์อะไร”
ประโยคเปิดแสนเรียบง่ายในการกล่าวสุนทรพจน์ของ Monique Collignon แฟชั่นดีไซเนอร์อันดับต้นๆ ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสตรีระดับโลก Monique Collignon ที่งานแฟชั่นโชว์ RECO Young Designer Competition 2018 ณ สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย
โมนีกคือแฟชั่นดีไซเนอร์เจ้าของรางวัล The Designer of the Year ประจำปี 2010 ในปี 2012 เธอได้รับรางวัล Best Foreign Designer จากประเทศเยอรมนี ผลงานการออกแบบของเธอถูกจัดแสดงถาวรอยู่ที่ Amsterdam Historical Museum และ Haagse Gemeente Centrum ประเทศเนเธอร์แลนด์ นั่นหมายความว่า ผลงานของเธอได้รับการยอมรับในแง่ศิลปะ ประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และมีคุณค่าต่อสังคม
เหนือสิ่งอื่นใด โมนีกคือแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกของโลกที่นำเส้นใยรีไซเคิลมาใช้ในการออกแบบคอลเลกชัน Haute Couture พูดง่ายๆ ให้เห็นภาพคือ เธอนำขยะที่ถูกทิ้งขว้างมาเพิ่มมูลค่าให้กลายเป็นผลงานแฟชั่นชั้นสูง ผ่านนวัตกรรมในการแปรรูปวัสดุ ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้
ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของโมนีก เส้นทางในโลกแฟชั่นและแพสชันเรื่องพลาสติกรีโซเคิลของเธอ เราขอเล่าถึง RECO Young Designer Competition ที่โมนีกเดินทางมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเป็นกรรมการตัดสินโดยเฉพาะสักเล็กน้อย
โครงการประกวดออกแบบแฟชั่นเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ ถือเป็นเวทีระเบิดไอเดียด้านการออกแบบแฟชั่นนวัตกรรมรักษ์โลก สำหรับกลุ่มนักศึกษาด้านการออกแบบ และดีไซเนอร์อิสระที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ให้ตระหนักถึงคุณค่าของเหลือใช้ทุกชิ้นว่าสามารถนำมาเพิ่มคุณค่า โดยใส่นวัตกรรมด้านแนวคิด และกระบวนการผลิตเทคนิคแปลกใหม่ ที่สามารถนำมาต่อยอดและใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง
หลังจบแฟชั่นโชว์ วันต่อมาเรามีนัดกับโมนีคอีกครั้งที่งานเสวนา ‘Fashion from Waste’ ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC และนี่คือบทสนทนาในวันที่ขยะพลาสติกกำลังจะล้นโลกกับแฟชั่นดีไซเนอร์คนนี้
โมนีกเป็นทั้งนักออกแบบและนักธุรกิจ สิ่งที่เธอตั้งใจทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือ การส่งข้อความบางอย่างเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมออกไปในวงกว้าง ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานของเธอ
“ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ฉันเชื่อมั่นในวิถีกินดีมีสุขของผู้คน สัตว์ ที่ส่งผลถึงความอุดมสมบูรณ์ของโลกใบนี้ ฉันใช้แนวคิดอยู่ดีมีสุขนี้เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเสมอมา ทั้งในแง่การทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว” โมนีกเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของเธอ
“บางครั้งเวลาฉันไปบรรยายที่ใดก็ตาม และเริ่มด้วยการพูดถึงแนวคิดพื้นฐานเหล่านี้ คนมักจะมองว่าฉันเป็นคนที่เจ๋งมาก พวกเขาคิดว่าฉันคือนักพัฒนาที่ใส่ใจโลกและ สิ่งแวดล้อม ที่ใส่ใจผู้อื่นมากกว่าชีวิตตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วฉันแค่กำลังทำสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือส่งต่อสิ่งดีงามออกไปโดยเริ่มต้นจากตัวเอง”
โมนีกสำเร็จการศึกษาใน ค.ศ. 1983 จากเมืองรอตเทอร์ดาม เมืองท่าหลัก และเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศเนเธอร์แลนด์ “ฉันเติบโตมากับการเห็นแม่สามารถเย็บ ปัก ถัก ทุกสิ่งรอบตัวออกมาเป็นข้าวของเครื่องใช้สวยๆ แม่เลยเป็นทั้งผู้มอบแรงบันดาลใจ และต้นแบบความคิดสร้างสรรค์ของฉัน
“ตอนที่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ฉันอายุแค่ 7 ขวบเท่านั้นเอง ฉันหมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาความสามารถของตัวเอง จนหลายสิบปีต่อมา การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเหล่านั้นก็เริ่มผลิดอกออกผล แบบที่เขาพูดกันว่า ‘All hard work paid off’ นั่นแหละ และเมื่อมองย้อนกลับไปยังเส้นทางอันยาวไกลที่ฉันเดินมา ฉันก็พบบทเรียนมากมายที่ทำให้ฉันเป็นฉันอย่างในทุกวันนี้”
โมนีกออกแบบคอลเลกชัน Haute Couture (โอต์ กูตูร์) ครั้งแรกใน ค.ศ. 1990 เธออธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่า “โอต์ กูตูร์ เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าศิลปะการตัดเย็บชั้นสูง หรือ High Sewing ซึ่งจำกัดวงเฉพาะอยู่ในเมืองแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลกเท่านั้น เช่น ปารีส นิวยอร์ก ลอนดอน และมิลาน”
ห้องเสื้อโอต์ กูตูร์ มีขึ้นในประเทศฝรั่งเศสเป็นแห่งแรก เสื้อผ้าในแบบโอต์ กูตูร์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวัน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์ ซึ่งเสื้อผ้าประเภทนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่งเลยทีเดียว
ไม่นานหลังจากโอต์ กูตูร์ คอลเลกชันแรก โมนีกเปิดร้านเสื้อผ้าของเธอเองครั้งแรก ที่เมืองไลเดน (Leiden) ทางตอนโต้ของเนเธอร์แลนด์ และอีก 6 ปีต่อมาขยายสาขาไปสู่เมือง Van Baerlestraat จากนั้นใน ค.ศ. 2008 โมนีกก็เริ่มออกแบบและผลิตคอลเลกชัน Prêt-à-porter
“Prêt-à-porter เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า Ready-to-wear หรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป” โมนีกอธิบายพร้อมรอยยิ้ม หลังจากฉันขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินภาษาฝรั่งเศสติดกันหลายคำ
หลังจาก ค.ศ. 2008 โมนีกเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “การผลิตในอุตสาหกรรม Fast Fashion เป็นหนึ่งในต้นทุนอันยิ่งใหญ่ที่ต้องแลกมาด้วยสิ่งแวดล้อม จากแต่เดิม สินค้าแฟชั่นอาจมีเพียง 3 – 4 ฤดูกาลหลักเท่านั้น แต่ทุกวันนี้อาจมีมากถึง 6 – 8 ฤดูกาล และยังไม่นับคอลเลกชันย่อยๆ ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในทุกๆ 2 สัปดาห์”
การปรับเปลี่ยนดิสเพลย์สินค้าหน้าร้าน และการหมุนเวียนสับเปลี่ยนการจัดวางสินค้าในร้านทุกๆ สัปดาห์ เพื่อให้มีความสดใหม่ หรือมีการเติมสินค้าใหม่เข้าเชลฟ์ มากถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมกับเพิ่มความตื่นเต้น เช่น การทำ Collaborate กับสิ่งที่อยู่รอบแบรนด์ต่างๆ เช่น การร่วมมือกันระหว่างสินค้าแต่ละแบรนด์ ซึ่งถือเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าตลอดเวลา
ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ถูกวางแผนและหยิบยื่นให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นความต้องการและสื่อสารกับผู้บริโภคในกลุ่มที่มีความหลงใหลต่อสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะกับกลุ่มที่มีความต้องการที่จะอัพเดตเทรนด์ ดูเป็นคนทันสมัย และใช้สินค้าแฟชั่นไอเทมใหม่ๆ ตลอดเวลา
จากสิ่งที่กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบ จังหวะ และปัจจัยในการหมุนเวียนของ Fast Fashion ที่เกิดขึ้น เป็นผลทำให้วัฏจักรของ Fast Fashion Revolution มีความฉาบฉวยมากขึ้นไปอีก เช่นว่า ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อยขึ้น มากขึ้น แต่กลับมีการใช้งานที่น้อยลง จากแต่ก่อน การจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ก็ต่อเมื่อชิ้นเก่าชำรุด หรือไซส์ไม่พอดีแล้ว แต่ปัจจุบันอาจซื้อเพียงเพราะสีและลวดลายแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มเพื่อน
พฤติกรรมของผู้บริโภคเหล่านี้ก็ย่อมส่งผลอย่างต่อเนื่องกลับมาที่วัฏจักรแฟชั่นและอุตสาหกรรมแฟชั่นโดยรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุที่ทันสมัย แต่อาจไม่ต้องคำนึงถึงความทนทานมากนัก หรือกระบวนการผลิตที่รวบรัดตัดตอนมากขึ้น
สิ่งที่ถูกกระทบต่อมาคือการทำการตลาดสำหรับ Fast Fashion ก็ย่อมถูกปรับเปลี่ยนไปตาม Life Cycle ของสินค้านั้นๆ โดยกลยุทธ์และวิธีการทำการตลาดในยุค 4.0 ก็ต้องทำออกมาอย่างรวดเร็ว แบบติดจรวดเลยทีเดียว คราวนี้เราลองมาจินตนาการถึงความสิ้นเปลืองที่จะเกิดขึ้นจากอุตสาหกรรม Fast Fashion ว่ามันจะมีปริมาณที่มหาศาลขนาดไหน
โมนิกยิ้มก่อนเล่าต่อว่า “เมื่อก่อนเวลามีคนถามว่า งานออกแบบสวยๆ ของฉันใช้ผ้าชนิดใดในการตัดเย็บ ฉันสามารถตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า ‘พลาสติก’ แทบทุกคนตื่นตะลึงและคิดว่าฉันพูดเล่น แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเล็กน้อยรอบตัว อย่างสภาพดินฟ้าอากาศ ฉันก็เริ่มตระหนักได้ว่านี่คือปัญหาระดับโลก”
ปัญหาระดับโลกที่โมนีกพูดถึง คือปัญหาขยะพลาสติกที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลก ตั้งแต่บนพื้นดินไปจนถึงใต้มหาสมุทร ณ ขณะนี้
“แต่เชื่อไหมว่า แค่คุณเปิดตามองไปรอบๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ คุณจะเห็นผู้คนมากมาย ตั้งแต่คนตัวเล็กๆ ไปจนถึงองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ และกำลัง Take Action เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับโลกของเราอยู่”
โมนีกใช้เวลากว่า 7 ปี นับจาก ค.ศ. 2008 ลองผิดลองถูกในการใช้พลาสติกรีไซเคิลเป็นวัสดุหลัก จนใน ค.ศ. 2015 ‘The Conscious Collection’ คอลเลกชันเสื้อผ้าที่ใช้พลาสติกรีไซเคิล เป็นวัสดุหลักกว่า 70% ก็ปรากฏสู่สายตาชาวโลก
“ฉันมองเห็นคุณค่าของ ‘การนำกลับมาใช้ใหม่’ ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้โดยอาศัยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดปริมาณขยะซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องการแบ่งปันองค์ความรู้ในการรีไซเคิล และกระตุ้นเตือนสังคมให้มีความรู้ความเข้าใจและมองเห็นคุณค่าของสิ่งของรอบตัวมากขึ้น”
โมนีกชี้ให้ดูชุดสีสดตรงหน้าและอธิบายว่า “เนื้อผ้าที่เห็นอยู่นี้ทอขึ้นจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล ที่เกิดขึ้นจากการนำขยะขวดพลาสติก PET ไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก”
PET คือพลาสติกชนิดเดียวที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% สามารถนำกลับมาหลอมทำบรรจุภัณฑ์ใหม่หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้มากมาย นิยมใช้ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและของใช้ เพราะมีความใสแววเป็นประกาย มีความปลอดภัยสูง แข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย
โมนีกคือแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกของโลก ที่นำเส้นใยรีไซเคิลมาใช้ในการออกแบบคอลเลกชันโอต์ กูตูร์ เธอบอกกับเราว่า “ในอนาคต ฉันมีแผนที่จะใช้วัสดุยั่งยืนชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น ขนสัตว์รีไซเคิลและใยฝ้ายออแกนิค”
และเมื่อฉันถามถึงแรงผลักดันที่ทำให้เธอตั้งอกตั้งใจ ทำในสิ่งที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้ คำตอบของเธอเรียบง่ายและทรงพลังแบบเดียวกับสุนทรพจน์บนเวทีแฟชั่นโชว์เมื่อคืน
“แม้ว่าฉันและสามีจะไม่มีลูกด้วยกัน แต่ฉันคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมให้คนรุ่นหลังจากนี้ ได้กินปลาที่เติบโตในมหาสมุทรอันสมบูรณ์ ได้หายใจด้วยอากาศบริสุทธิ์ และได้อาศัยอยู่ในโลกที่งดงามแบบที่คนรุ่นฉันเคยเห็นเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว”