โพสต์อิทถูกออกแบบมาเพื่อให้ดูสะดุดตา และสื่อสารเนื้อหาบางอย่าง
ใครๆ ก็ใช้โพสต์อิทหน้าที่นั้น รวมถึงชายคนนี้ แม้ว่าวิธีการของเขาจะแปลกประหลาดสักหน่อย แต่ใครๆ ก็สะดุดตากับโพสต์อิทของเขา และใครๆ ก็ได้รับสารจากโพสต์อิทนี้แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เพราะเขาไม่ได้เขียนเนื้อหาบนโพสต์อิท แต่เอาโพสต์อิทมาเรียงเป็นเนื้อหา
วีร์ วีรพร คือชายคนนั้น เขาเป็นนักออกแบบกราฟิก มีสตูดิโอออกแบบของตัวเองชื่อ Conscious Studio ชอบขี่จักรยานสีแดง ชอบใส่เสื้อลายดอก ชอบการออกแบบหลายหลายแขนง ชอบพูดคุยกับนักออกแบบคนอื่นๆ เคยทำรายการ Podcast และรายการทีวีชื่อ design ไป บ่นไป ชอบผสมผสานความสนุกแบบไทยๆ ลงไปในงานออกแบบ
ชอบโพสต์อิท และชอบแปะโพสต์อิท
นี่คือเรื่องราวของนักออกแบบที่หลายคนเรียกเขาว่า นักแปะโพสต์อิท
ที่เราเอามาแปะให้อ่าน
จุดเร่ิมต้นความสนใจในงานออกแบบกราฟิกของ วีร์ วีรพร เร่ิมต้นจากหน้าปกอัลบั้มเพลง
ช่วงเรียน ม.4 เขาได้อ่านนิตยสาร Music Express ฉบับที่ 100 ซึ่งรวบรวมอัลบั้มเพลงที่น่าสนใจตั้งแต่ยุค 60 เอาไว้เต็มเล่ม เมื่อเขาเดินเข้าไปตามหาอัลบั้มเหล่านี้จากร้านโดเรมี (ร้านขายเทปเพลงในสยามสแควร์ที่โด่งดังมากในยุคนั้น) หนุ่มน้อยคนนี้ก็สะดุดตากับหน้าปกอัลบั้มเพลงในตำนานมากมาย สองสามปีหลังจากนั้นเขาก็โดนฮุกด้วยการออกแบบหน้าปกอัลบั้มของค่ายเพลงเบเกอรี มิวสิค ซึ่งแตกต่างจากค่ายอื่นอย่างชัดเจน เช่น ภาพปกโมเดิร์นด็อกชุดแรกเป็นงานคอลลาจ ปกของบอย โกสิยพงษ์ ก็เป็นภาพถ่ายสิ่งของต่างๆ ที่ไม่เห็นหน้าตาคนร้อง แต่สื่อสารอารมณ์ของอัลบั้มได้ดีมาก วงการโฆษณาในยุคนั้นก็เริ่มใช้ภาพภาพเดียวมาประกอบกับข้อความที่มีคาแรกเตอร์ของตัวอักษร วีร์เร่ิมสัมผัสได้ว่า การเล่าเรื่องด้วยการใช้ภาพและตัวอักษรมีพลัง จึงเลือกเรียนกราฟิกดีไซน์และ Visual Communication ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนที่มาของการแปะโพสต์อิท ต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นไกลกว่านั้น
“ผมโตมากับเกมแฟมิคอม เสน่ห์อย่างนึงของเกมยุคนั้นคือ มันเว้นช่องว่างไว้ให้จินตนาการมากกว่าเกมยุคนี้ ด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีภาพยุคนั้นทำให้การออกแบบสิ่งต่างๆ ในเกมต้องลดทอนรายละเอียดลง แต่คนยังดูรู้เรื่อง เช่น คาแรกเตอร์ของมาริโอ้ถูกสร้างขึ้นจากจุดสี (pixel) เล็กๆ ไม่กี่จุดเท่านั้น แต่ดูแล้วรู้ว่า เขาเป็นช่างประปา มีหนวด ใส่เอี๊ยม ใส่หมวก ส่วน type ของตัวอักษรชื่อเกมก็อยู่ในข้อจำกัดนี้เช่นกัน แต่ก็ยังคงอารมณ์และความรู้สึกไว้ได้อย่างดี ผมโตมากับความงามของการออกแบบที่ลดทอนรายละเอียดแบบนี้ ถึงทุกวันนี้ก็ยังชอบคาแรกเตอร์แบบนี้อยู่”
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย วีร์เร่ิมต้นทำงานออกแบบกราฟิกในบริษัทชั้นนำของประเทศ ก่อนจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ พอกลับมาได้สักพักก็ตัดสินใจเปิดบริษัทเล็กๆ ของตัวเองที่ซอยพหลโยธิน 8 ซึ่งทำให้เขาก้าวเข้าสู่การเป็นนักแปะโพสต์อิทเต็มตัว…โดยบังเอิญ
“ผมไม่ได้มีเงินทุนมากนัก เลยเช่าออฟฟิศอยู่ชั้นล่างสุดของอพาร์ตเมนต์ ติดกับร้านซักรีด พอคนมองเข้ามาเห็นมีคอมพิวเตอร์เยอะๆ ก็ชอบเดินเข้ามาถามว่า รับพรินต์งานไหม หรือคิดว่าเป็นร้านเน็ตก็มี
“ผมเลยคิดว่าต้องตกแต่งอะไรบางอย่างให้คนรู้ว่านี่คือบริษัทออกแบบ จะตัดสติกเกอร์มาติดก็มีราคาสูง แล้วก็คงเปลี่ยนบ่อยๆ ไม่ได้ ผมเห็นโพสต์อิทบนโต๊ะก็เลยอยากลองเรียงเป็นข้อความอะไรบางอย่าง”
วีร์เล่าต่อว่า งานแรกของเขาคือการแปะโพสต์อิทเป็นรูปโลโก้บริษัท Concious หลังจบงานเขาก็พบว่า ความสนุกการแปะโพสต์อิทคือการที่คนในออฟฟิศได้ใช้เวลาแปะร่วมกัน เขาก็เลยชวนทีมงานแปะโพสต์อิทกันอีกเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนโจทย์จะท้าทายขึ้นตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่แปะรูปร่มและฝนต้อนรับหน้าฝน แปะเป็นคำว่า We want you ตอนเปิดรับสมัครงาน แล้วก็แปะเป็นรูปแอปเปิ้ลในวาระการจากไปของสตีฟ จ๊อบส์
ภาพและวิดีโอเบื้องหลังการแปะโพสต์อิทของวีร์ไปเตะตาเอเจนซี่ชูใจ กะ กัลยาณมิตร จึงชวนเขาไปแปะโพสต์อิทในงาน ‘งานวัดลอยฟ้า’ ที่ห้างสยามพารากอน
“ถือเป็นการก้าวกระโดดอย่างมาก เราเคยติดบนกระจกหน้าออฟฟิศแค่ไม่กี่ตารางเมตร อยู่ดีๆ ได้ไปติดกลางห้างในพื้นที่ใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่า มันใหญ่เกินกำลังทีมงานที่มีเลยคิดว่า น่าชวนให้ผู้ร่วมงานมาช่วยติด ผมกับทีมงานเลยช่วยกันระดมไอเดียออกมาได้ว่าให้ผู้ที่มาร่วมงานนี่แหละเป็นคนติด โดยโยงเข้ากับกิจกรรมในงาน ผ่านคำสอนของท่านที่ว่า ‘ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา’
“ด้วยการชวนเขียนคำสัญญาว่าจะทำความดีลงบนโพสต์อิทสีต่างๆ แล้วทีมงานของเราจะแนะนำว่าต้องติดตรงไหน พอจบงานก็จะเห็นโพสต์อิทคำสัญญาของผู้ร่วมงานเรียงเป็นรูปหน้าพระพุทธเจ้า”
Gepostet von conscious am Dienstag, 13. Juni 2017
เส้นทางการแปะโพสต์อิทของวีร์ยังไปได้ไกลกว่านั้น
“ผมสงสัยตั้งแต่สมัยเรียนแล้วว่า ทำไมนักออกแบบไทยถึงไม่กล้าเล่นหรือดัดแปลงตัวอักษรไทยในงานออกแบบเลย อย่างป้ายหินยักษ์หน้าสถานที่ราชการก็เอาตัวอักษรไทยพื้นฐานทั่วไปมาขยายขนาดวางเรียงต่อกันเฉยๆ ไม่มีการประดิดประดอยอะไรเลย ต่างจากตัวอย่างงานกราฟิกเก่าๆ ในหนังสือ สิ่งพิมพ์สยาม ซึ่งมีการประดิษฐ์ตัวอักษรที่เหมาะสมกับสารที่ต้องการสื่อ ดูแล้วงดงาม ละเมียดละไม
“ผมพยายามหารูปทรงใหม่ๆ ให้ตัวอักษรไทยอยู่เสมอ การที่เรามีตัวอักษรเป็นของตัวเองคือวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยชาติเดียว ไม่มีนักออกแบบชาติไหนจะใช้เก่งกว่าเราแน่ๆ แต่เราไม่เคยหยิบเอามาใช้เลย น่าเสียดายมาก ช่วงนั้นผมเจอคุณสุหฤท สยามวาลา ที่กำลังจะลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ
“ผมเลยทำโลโก้แบบ fan art ขึ้นมา จนกลุ่มผู้สนับสนุนเอาไปใช้กันจริงจัง แล้วก็มาแปะเป็นโพสต์อิทโปรโมตชื่อและเบอร์ของแก ซึ่งผมพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาพอสมควร”
สถานะนักแปะโพสต์อิทของเขาเด่นชัดขึ้น เมื่อคอมมูนิตี้มอลล์ชื่อดังอย่าง The COMMONS เชิญเขามาร่วมแปะโพสต์อิทเป็นภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 เคียงข้างศิลปินชื่อดังมากมาย ผลตอบรับจากผู้ชมก็ดีมาก จนวีร์ขอใช้พื้นที่นี้แปะโพสต์อิทสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ไปตลอดทั้งปี
The making of our second Post-it art for HeArt for The King at The COMMONSDesigned by Panya MatanangkoonTime-lapse video by Zrs Gamboa#consciouspostit
Gepostet von conscious am Dienstag, 20. Dezember 2016
แล้วงานของวีร์ยังไปเตะตาเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่าง 3M จนได้คุยกันและได้ส่งโพสต์อิทมาให้ใช้
แล้วก็ยังชวนไปแปะโพสต์อิทในร้าน B2S อีกหลายที่
เส้นทางสายนักแปะโพสต์อิทของวีร์ยังมีทางให้ก้าวไปอีกยาวไกล วีร์บอกเราว่า “ผมอยากเพิ่มสถานะจากนักออกแบบ อาจารย์ นักแปะโพสต์อิท ให้ไปเป็นศิลปินที่ทำงานสื่อสารประเด็นที่อยากเล่าผ่านภาพแบบพิกเซล วัสดุอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราจับมาเรียงกัน
“ส่วนวิธีการก็ไม่จำกัด อย่างเช่นมีคอนเสิร์ตติดต่อเข้ามาว่าอยากชวนแปะโพสต์อิทแบบสดๆ ให้เป็นฉากด้านหลังของนักดนตรีในระหว่างเล่น เหมือนเป็น performance art อาจจะแปะเพลงละภาพ หรือทั้งคอนเสิร์ตเป็นภาพใหญ่ภาพเดียวก็ได้ ถ้าเราซ้อมคิวดีๆ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น เสน่ห์ของโพสต์อิทคือ มันจับต้องได้ เราเห็นมันค่อยๆ เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราทีละแผ่นจนเสร็จ
“แล้วก็มีโรงเรียนบ้านดอยช้าง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ Design for Disaster ไปช่วยสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนที่เสียหายจากแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย
“เราก็ได้ทำงาน Pixel Art จาก EVA foam ประมาณ 16,000 ชิ้น เล่าเรื่องชาติพันธุ์ที่หลากหลายของนักเรียนในโรงเรียนนี้ และการพัฒนาดอยช้างโดยในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปลูกกาแฟต้นแรกที่นี่ จนกาแฟกลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สำคัญของพื้นที่ ซึ่งงานทั้งหมดจะถูกขนขึ้นไปติดตั้งตอนต้นเดือนกรกฎาคมนี้”
ในโลกที่ทุกอย่างอยู่บนหน้าจออันแสนจะคมชัด เราจะมาดูงานโพส์ตอิทพิกเซลไปทำไม
“ทุกอย่างรอบตัวเราอยู่บนจอภาพหมดแล้ว แต่เราไม่ได้วิวัฒนาการให้เป็นเหมือนแมลงเม่าที่วิ่งเข้าหาแสงโดยอัตโนมัตินะ เรายังถวิลหาสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส จับต้องได้ หนังอย่าง Transformers เมื่อก่อนสมัยผมเด็กๆ เวลาหุ่นยนต์แปลงร่างก็แค่หมุนๆ ขยับๆ ทีสองทีรถก็กลายเป็นหุ่นยนต์แล้ว ซึ่งในทางวิศวกรรมมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เรามองว่านั่นคือพื้นที่ของจินตนาการไง
“แต่ในหนังยุคนี้ฉากแปลงร่างถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกแบบสมจริงมาก เห็นลูกสูบ เห็นโช้กอัพ แต่มันไม่เหลือพื้นที่ให้เราจินตนาการอีกแล้ว เพราะผู้ผลิตหนังเขาคิดมาให้เราหมด
“ความซูเปอร์ละเอียดอย่างจอ 4K อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนถวิลหาตลอดไป เพราะมันจับต้องไม่ได้ แล้วเราก็เร่ิมเหนื่อยและล้าเกินไปแล้ว ผมเลยเชื่อในสิ่งที่จับต้องได้ แม้จะไม่ละเอียดมากเท่า แต่มันมีคุณค่าบางอย่างอยู่ในนั้น คุณค่าที่เรารับมันได้โดยไม่เหนื่อยและล้าจนเกินไป และยังเว้นที่ว่างให้จินตนาการได้ทำงาน”
นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมนักออกแบบกราฟิกคนนี้ถึงพยายามหาเวลาว่างหนีจากหน้าจอมาจับกระดาษแปะผนังอย่างสม่ำเสมอ