เรามาถึงบ้านหลังใหม่เอี่ยมของ ไอซ์-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ หรือ ไอซ์ซึ ก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย จึงพอมีเวลาให้ใช้สายตาสำรวจคร่าวๆ

ภายในเบรกความนิ่งเนี้ยบของบ้านสีขาวด้วยโทนสีไม้แสนอบอุ่น เติมไม้ยืนต้นทะลุขึ้นไปถึงชั้นสอง เพดานสูงโปรงเปิดช่องแสงให้ส่องสว่างกระทบผนังที่ติดภาพของศิลปินคนโปรด ทั้ง David Hockney, Kusama Yayoi, Robert Motherwell, Joan Miró i Ferrà และอาจารย์อนันต์ ปาณินท์ ราวกับอยู่ในแกลเลอรี่

ไอซ์-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ หรือ ไอซ์ซึ

ข้างห้องที่เรานั่งอยู่ เป็นโซนนั่งเล่นในสวนหินแบบเซน มีโต๊ะไม้ขนาดยาวเป็นพระเอกอยู่ตรงกลาง ด้านข้างติดระแนงไม้ซี่ห่างพอให้แดดไล้ลอดเปลี่ยนองศาตามช่วงโมงยาม คล้ายแสดงวัฏจักรความเป็นไป

ใช่บ้านสวยน่าอยู่อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ เป็นคนติดบ้านแต่ไหนแต่ไร ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ไกลสุดที่ไปก็คือห้างใกล้บ้าน

แต่อย่างไร คนติดบ้านก็เก็บเสื้อผ้าไปโกอินเตอร์ ด้วยตั้งใจเบิกทางให้นางแบบนายแบบรุ่นหลัง และพิสูจน์ให้วงการแฟชั่นไทยเห็นความสามารถของคนไทย

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

ย้อนกลับไป ไอซ์ในวัย 19 ก้าวเท้าเข้าสู่วงการนายแบบ ก่อนเป็นที่รู้จักในฐานะนายแบบไทยคนแรกๆ ที่มีชื่อเสียงในวงการนายแบบต่างประเทศ เขาเป็นนายแบบไทยคนแรกที่ได้เดินใน Seoul Fashion Week กับแบรนด์เบอร์ต้นของประเทศเกาหลีใต้

ด้วยรูปร่างหน้าตาและคอนเนกชันที่มี ไอซ์ซึจะเข้าทำงานที่ไหนก็ได้ง่ายๆ แต่เขากลับหอบพอร์ตส่งใบสมัครเข้าสังกัด Agency Garten โมเดลลิ่ง TOP 5 ที่รับนายแบบเพียง 15 คน ด้วยตัวเอง เพราะอยากให้ได้รับเลือกจากผลงานและความสามารถที่มี

วันที่ตัดสินใจเลือกไปเกาหลี ไอซ์ซึพกเช็กลิสต์แบรนด์เสื้อผ้า-นิตยสารดังนับ 10 เล่มที่ตั้งใจจะร่วมงานให้ได้ เมื่อทำได้ครบ ถึงเวลาที่เขาต้องเลือกเส้นทางใหม่ เพื่อชาเลนจ์ตัวเองอีกครั้ง นั่นคือการเป็นนักแสดงที่เกาหลีต่อ หรือบินกลับไทย

แน่ล่ะ เขาติดบ้าน

พี่ไอติม คือผลงานแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงของนายแบบดาวรุ่ง จากเรื่อง มาลี เพื่อนรัก..พลังพิสดาร

จากนั้นก็ดังเป็นพลุแตกจากบทบาท ปุณ พระเอกคนซื่อ ในซีรีส์ แก๊สโซฮัก..รักเต็มถัง

คุณเดาถูก-ชื่อไอซ์ซึ (ออกเสียงแบบชาวเกาหลี) ก็มาพร้อมกับเรื่องนั้นด้วย เพราะนางเอกคือ ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร เพื่อป้องกันความสับสนเวลาคนเรียก

นอกจากเรียนการแสดง ในโปรเจกต์นั้น ไอซ์ซึตั้งใจเดินทางขึ้นไปใช้ชีวิตบนดอย เพื่อซึมซาบวัฒนธรรมและวิธีการพูดของชาวลาหู่ ไปเป็นสมัครเป็นเด็กปั๊ม หัดเติมน้ำมัน เช็ดกระจกจนคล่องแคล่ว ไม่มีใครบอกให้เขาทำ แต่ไอซ์ซึอยากแสดงให้เป็นธรรมชาติจนทำให้คนดูเชื่อในตัวละครนั้นจริงๆ กระทั่งช่วงที่ไม่มีถ่าย เขามักก็เข้าไปในกองเพื่อสังเกตและเรียนรู้วิธีแสดงจากดารารุ่นใหญ่

อีกหลายเรื่องต่อมา เราจึงได้เห็นเขาเอาตัวเข้าไปอินกับทุกบทบาท ทั้งลดน้ำหนักไปกว่า 14 กิโลกรัมเพื่อรับบทปาย นักวาดการ์ตูนผู้มีอาการทางจิตในเรื่อง The Collector เรียนโยคะเพราะบทในเรื่อง VOICE สัมผัสเสียงมรณะ คือนักธุรกิจผู้เล่นโยคะเป็นงานอดิเรก บางวันก็เปิดดูรูปศพไปด้วย กินข้าวไปด้วย เพราะอีกมุม แทนคุณเป็นฆาตกรโรคจิต หรือล่าสุด เขาทั้งต้องเพิ่มและลดน้ำหนัก โกนผม เพื่อรับบทชายหนุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายในเรื่อง One For The Road ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่คว้ารางวัล World Dramatic Special Jury Award สาขา Creative Vision จาก Sundance Film Festival 2021 ซึ่งกำกับโดย บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ และมี หว่องกาไว เป็นโปรดิวเซอร์

บางครา ความอินนั้นเกือบทำให้เขาหลุดออกจากบทบาทไม่ได้ในชีวิตจริง

การได้มาคุยกันครั้งนี้ นักแสดงหนุ่มพูดถึงการพัฒนาทักษะมากกว่า 1 รอบ เราจึงพบว่าเขาเป็นคนที่ไม่รอโอกาสให้ตกมาใส่มือ แต่พยายามใช้มือคว้าโอกาส 

เขาว่า เพราะเขารักวงการนี้ และไอซ์ซึในวัย 30 ก็ยอมรับว่าตัวเองเลือกงาน

งานที่ว่าไม่ใช่บทที่เล่นแล้วดังอย่างเดียว แต่เป็นบทที่ดีด้วย

ชีวิตไอซ์ซึไม่ได้ราบเรียบ มีขึ้น มีลง โลดโผน ทะเยอทะยานตามวันวัย จากเด็กเกเร จับพลัดจับผลูไปเป็นนายแบบ เข้าสู่วงการบันเทิงดัง มีชื่อเสียง แล้วมีช่วงพยายามดิ้นรนหางาน ไปเสนอพอร์ตตามค่ายหนัง แต่ก็ถูกปฏิเสธจนเกือบถอดใจออกจากวงการ ล่าสุดได้ฝากฝีมือเล่นหนังรางวัล และตอนนี้กำลังมีความสุขกับชีวิตที่สงบพร้อมแมว 3 ตัว

ทำไมถึงชอบอยู่บ้าน

เราไม่รู้ว่าจะไปอยู่ข้างนอกทำไมดีกว่า ถ้าอยู่บ้านมีอะไรให้ทำเยอะมาก

เช่น

โห หลายอย่างมากครับ ตื่นมาดูหนัง อ่านหนังสือ ทำอาหารกิน อยู่กับแมว อยู่กับแฟน เราออกแบบบ้านให้เหมาะกับตัวเองมากๆ มีที่ได้ออกกำลังกาย ได้โยคะ ได้วอร์มเสียง วอร์มร่างกาย เตรียมพร้อมในการแสดง

ชอบอยู่บ้านมากกกกก ไม่ชอบกันเหรอ

ชอบสิ ชอบไปบ้านคนอื่นด้วย แล้วชอบอ่านหนังสือแนวไหน

หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยา พัฒนาตัวเอง หรือการดูแลตัวเอง Why We Sleep ต้องนอนยังไง หรือว่าเรื่องที่เป็นความรู้อย่าง Sapiens ก็ชอบ หนังสือการ์ตูนก็ชอบ (หัวเราะ)

รองลงมาจะเป็นพวกนิยายที่ต้องใช้จินตนาการ เพื่อเป็นแบบฝึกหัดให้เราจินตนาการตามเรื่องราว ซึ่งมีส่วนช่วยในงานด้านการแสดง และอีกอย่างคือเราเรียนรัฐศาสตร์ อ่านพวกหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองด้วย 

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ ชอบอยู่บ้านขนาดนี้ ทำไมตัดสินใจไปเป็นนายแบบที่เกาหลี

เราเป็นนายแบบมาสี่ถึงห้าปี สะสมพอร์ตได้ประมาณหนึ่ง แล้วก็เริ่มมีช่วงที่งานวนกลับมาถ่ายเล่มเดิมซ้ำๆ จนเรารู้สึกว่าอยากไปต่อ บวกกับเทรนด์ลูกครึ่งกำลังมา ตอนนั้นเขาฮิตชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทย สังเกตได้เลยว่าในโชว์มีนายแบบฝรั่งหรือเกาหลีที่หน้าคล้ายๆ เราประมาณเจ็ดสิบต่อสามสิบ เราก็ เฮ้ย เสื้อผ้าแบรนด์ไทยมันควรให้นายแบบไทยใส่เพื่อให้คนไทยดูว่าใส่แล้วจะออกมาเป็นอย่างไร ทำไมเราถึงโดนชาวต่างชาติแย่งงาน แล้วทำไมคนไทยถึงซัพพอร์ตชาวต่างชาติ จนทำให้เราตั้งคำถามว่า เราด้อยกว่าชาวต่างชาติจริงๆ หรือ

มันเป็นแรงผลักดันและอยากพิสูจน์ให้ดีไซเนอร์หรือคนที่อยู่ในวงการแฟชั่นไทยได้เห็นว่า เรานายแบบไทยก็ไม่ได้แพ้นายแบบต่างชาติที่เขามาทำงานนะ ส่วนในฐานะนายแบบคนหนึ่ง เราก็อยากไปได้ไกลกว่าที่ตัวเองเคยเป็นอยู่ เลยเริ่มแกะว่าเขามาทำงานในเมืองไทยกันได้ยังไง แล้วทำกลับกัน

ที่เกาหลีการแข่งขันสูงมาก ทำยังไงให้ได้เป็นหนึ่งใน 15 คนของ Agency Garten และยืนระยะอยู่ในวงการนายแบบได้นานหลายปี

ฝึกครับ (ตอบทันที) ฝึกทุกวัน หนักมาก บ้านเขามีนายแบบเป็นพันคน มันต้องใช้ฝีมือจริงๆ ถ้าไม่ดีพอก็คงไม่ได้

ระดับไอซ์ซึยังต้องฝึกอีกเหรอ

เราถ่ายมาทุกแบบ คิดว่าเก่งประมาณหนึ่ง มั่นใจมาก เดือนแรกที่ไปแคส โดนด่ายับ เจ้าของสังกัดบอกว่าเดินไม่ได้เลย ทำไมขาเบี้ยว โพสต์ท่าก็ต้องมีอารมณ์มากกว่านี้ เราอยู่เมืองไทยก็โพสต์ท่านายแบบ ล้วงกระปงกระเป๋าไป แต่ของเขามันต้องมีอารมณ์ในท่าที่โพสต์ด้วย ต้องสื่อออกมาทางภาพ ซึ่งพัฒนาทักษะเราเยอะมาก

แต่ก่อนเราก็ไม่รู้ว่าเขาจ้างเพราะอะไร คิดเขาน่าจะชอบ แต่ความจริงไม่ใช่ เราเป็นตัวพ่วงนะ โดนฝากยัดไปให้มีผลงานไว้ก่อน โดยที่ทักษะเรายังไม่มีเลย

แล้วหลังจากที่รู้ว่าอยู่ไทยเราเป็นเด็กฝาก ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อ

เราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น เลยเชื่อว่าคนที่โดนฝากเข้าไป เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนกัน มันเป็นปมว่าไม่ได้เว้ย เราต้องทำงานให้คุ้มค่ากับเงินที่เขาให้มา เริ่มจริงจังกับการเป็นนายแบบ แล้วยิ่งไปเกาหลี เรายิ่งรู้เลยว่าการฝากมันไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะเอเจนซี่คือแบรนดิ้ง เด็กที่อยู่คือนายแบบมืออาชีพที่ผ่านการคัดจากเอเจนซี่มาแล้ว ดีไซเนอร์เขาก็จะมั่นใจว่าเราถูกฝึกอย่างดี

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

เคยรู้เหตุผลที่เราได้รับเลือกเข้า Agency Garten ไหม

เหมือนเขาเห็นแพสชัน คำถามแรกที่สังกัดถามคือ คุณมาเกาหลีเพื่ออะไร ความฝันของคุณคืออะไร ซึ่งเราไม่เคยโดนคำถามแบบนี้เลยตอนทำงานในเมืองไทย มีแต่บอกว่าทำงานอันนี้สิ ได้เงินสี่พัน ห้าพันบาท (สมัยก่อนนะ) ดีกว่านอนตีพุงอยู่บ้าน

เราบอกเขาว่าอยากถ่ายนิตยสารสิบเล่มกับอีกสามโชว์ที่หาข้อมูลไว้แล้วว่าจะร่วมงานให้ได้ เขาก็บอกว่าผมจะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ เหมือนให้คำมั่น เราเลยตกลงจะสู้ไปด้วยกัน ซึ่งเขาทำอย่างนี้กับทุกคนที่เข้ามาในการทำงาน แต่ละคนก็จะต่างกันไป บางคนอยากทำเงินให้ได้มากที่สุด เขาก็พาไปทำ Commercial บางคนอยากเป็นนักแสดง งั้นก็ต้องเปิดทางก่อน

บทเรียนที่ได้จากการเป็นนายแบบที่เกาหลี และยังสอนเราอยู่จนทุกวันนี้

โห หลายอย่าง แต่หลักๆ คือความจริงจังในการทำงาน ความเป็นระบบในการทำงานทุกด้าน เพราะทุกคนมีแพสชันมาก บางคนดร็อปเรียนมาเพื่อเป็นนายแบบ เวลาเขาคุยกันก็คุยเรื่องงานแบบซีเรียสมากๆ พอมันมีแพสชันเลยเกิดความจริงจังขึ้นมา และยิ่งมีการแข่งขันก็ยิ่งมีความจริงจังเข้าไปใหญ่ ทำให้เราเรียนรู้ว่า การจริงจังกับงานจนออกมาได้ดีเป็นอย่างนี้นี่เอง และต้องสร้างคาแรกเตอร์ให้ชัดด้วย เพื่อให้แบรนด์เลือกเรา

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

แล้วคาแรกเตอร์ที่ไอซ์สร้างตอนที่อยู่เกาหลีคืออะไร

เราจะสร้างตามงาน ไม่เป็นสไตล์ไหนเลย เช่น แบรนด์นี้เขาต้องการลุคร็อกๆ ก็หาชุดที่เป็นร็อกๆ ใส่ แล้วให้เขานึกว่าเราเป็นคนแบบนั้น ถ้าต้องการลุคสนุก จะหาเสื้อสีสดใสใส่ไปแคส ทำให้มีโอกาสทำงานเยอะกว่าการคงคาแรกเตอร์เดียว แล้วก็ไม่ได้มีสไตลิสต์ให้นะ ต้องแต่งตัวเอง แต่ต้นสังกัดจะแนะนำว่าดีไซเนอร์คนนี้ชอบอะไร ให้ถ่ายรูปเสื้อผ้าที่หามาให้ดูก่อนไปว่าผ่านไหมแล้วค่อยไปแคส ถ้าวันหนึ่งแคสห้าที่ แคสเสร็จก็ต้องกลับบ้าน เปลี่ยนชุด แล้วก็ส่งไปให้เขาอย่างนี้สับไปสับมา เหมือนเขาหัดให้เราทำอะไรเอง

อยู่ตั้งหลายปี ฟังดูก็น่าจะไปได้ดี ทำไมถึงกลับมา

เราต้องบินไปบินกลับ พอเหนื่อยมันไม่สนุกเลย จนวันสุดท้ายที่เห็นว่าทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ครบแล้ว ได้เดินแฟชั่นโชว์ของ pushBUTTON แบรนด์ที่สุดของเกาหลี ในสังกัดจากสิบห้าคนที่ได้เดินมีแค่สองคน

เราไปบอกเขาว่าทำสำเร็จแล้วนะ เขาก็ถามว่าจะเอายังไงกับชีวิตการทำงานของคุณที่เกาหลี ถ้าจะไปต่อ เดี๋ยวพาไป แต่ต้องเริ่มเรียนภาษาและต้องไปเล่นภาพเคลื่อนไหวแล้ว อย่าง TV Series หรือมิวสิกวิดีโอ

คือเราได้เล่นมิวสิกวิดีโอสองตัว แต่ปัญหาเป็นเรื่องการสื่อสาร และถ้าเป็นนายแบบต่อ ปีถัดไปมันก็วนลูปเหมือนเมืองไทย ถ้าไม่ไปสายการแสดง เลยคิดว่าถ้าเกิดเป้ามันได้แล้ว เราจะทำต่อไปทำไม

เลยกลับมาเมืองไทยก่อน มาอยู่กับแฟน มาอยู่กับแมว ก็มีความสุข และลองหาหนทางใหม่ของตัวเอง จนเจองานด้านการแสดง

ถ้าอยากเป็นนักแสดง อยู่ที่เกาหลีมันไม่ท้าทายกว่าเหรอ

ที่เกาหลีอะมันโคตรท้าทายเลย แต่อย่างแรก สามปีต้องหายไปจากชีวิตเราเพราะต้องไปเรียนภาษาก่อนเลย พอคิดว่าไปครั้งละสามเดือนก็เหนื่อยจะตายแล้ว แฟนก็ไม่ได้อยู่ด้วย แมวก็ไม่ได้อยู่ด้วย ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งเรากลับมาแมวตายไปแล้ว

เห้ย

ถ้าย้ายสำมะโนครัวไปอยู่มันก็โอเค แต่เแฟนเราเขามีงานที่นี่ แล้วเราเป็นคนให้ความสำคัญกับความรัก ถ้าไปไล่ตามอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แล้วให้แฟนต้องมานั่งทรมานที่ไม่ได้เจอเรา และเราทรมานที่ไม่ได้เจอเขา เราไม่เอาดีกว่า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ซัพพอร์ตเรานะ

ประเด็นที่สำคัญก็คือ ถ้าทำไปสามปีแล้วมันไม่ได้ขึ้นมาล่ะ กลายเป็นว่าเวลาที่เราจะได้อยู่กับคนที่เรารักหายไปเลย เป็นอะไรที่ต้องตัดสินใจหนัก คิดแล้วก็เครียดว่าจะเอายังไงดี

แล้วเอาไง

พอไปแล้วมีชื่อเสียง คนก็เริ่มคาดหวังว่าต้องไปไกลแบบ พี่นิชคุณ หรเวชกุล นะ คุณต้องไปให้ไกลกว่านี้นะถึงขนาดมีรายการตามไปสัมภาษณ์ที่เกาหลีเลย เราก็เฮ้ย จริงหรอ เรามาที่นี่เพื่ออะไร ถ้ามาเพื่อพิสูจน์ก็เราพิสูจน์ได้แล้วว่านายแบบไทยสู้นายแบบชาวต่างชาติได้ พอกลับไทย วงการแฟชั่นก็ให้ความสนใจเรามากกว่าเดิม

หายหน้าจากวงการไปหลายปีเหมือนกัน ทำยังไงถึงเข้าสู่วงการนักแสดงได้

กลับมาก็เริ่มคิดวางแผนว่าจะเอายังไงดี ถามตัวเองคำถามแรกว่าอยากทำงานที่ไหน เราก็ไปหาข้อมูลเหมือนเดิม การไปเกาหลีมันสอนให้รู้ตรงนี้ด้วยว่าการวางแผนงานคืออะไร การทำพอร์ตมันคืออะไร

ช่วงนั้นเราดู พี่มาก..พระโขนง ดูหนังของ GDH ชื่นชอบและคิดว่าเป็นค่ายที่น่าจะดีมากๆ ที่นักแสดงไปเล่นหนังได้ด้วย เราโทรหา พี่ก้อง Hive Salon (กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒน) ปรึกษาว่าพอจะมีหนทางให้เข้าไปขายโปรไฟล์กับค่ายไหม ซึ่งบังเอิญช่วงนั้นมีการแคสติ้งเรื่อง ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรีส์ ซีซั่น 1 พอดี แต่แคสไม่ผ่านนะครับ

อ้าว

ที่ได้เล่นเป็นซีซั่นสองครับ ตอนนั้นพี่แจนที่เป็นโปรดิวเซอร์ของ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรีส์ เขาชอบ เลยบอกทาง GDH ให้เซ็นไว้ก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยหาโปรเจกต์ให้ลงทีหลัง โป๊ะเชะ ก็อยากจะเลือกที่นี่อยู่แล้ว

ที่ผ่านมา แต่ละบทบาทห่างไกลความเป็นตัวของไอซ์ซึมากๆ เรารู้มาว่าคุณมักเอาตัวเองไปลองเป็นแบบตัวละครนั้นๆ เช่น ขึ้นดอยไปอยู่กับชาวลาหู่ ไปเป็นเด็กปั๊ม เช็ดกระจก ส่งผักในตลาด เป็นครูสอนศิลปะเด็ก ฯลฯ ทำไมต้องทำขนาดนั้น

ตัวเราเองทำงานจริงจังกับตัวละครอยู่แล้ว กับชอบดูหนังตั้งแต่เด็ก เคยทำงานที่ร้านเช่าวิดีโอ เมื่อตอนอายุประมาณสิบห้า สิบหก รู้ว่าฝรั่งเขาเล่นกันประมาณไหน จริงจังแค่ไหน ไปเห็นการทำงานของวงการบันเทิงเกาหลีที่จริงจังมาก เราก็เลยอยากให้มันออกมาดีที่สุด

เรามองว่าการแสดงที่ดีคือการถ่ายทอดได้อย่างสมจริงที่สุด ทำให้คนดูได้รู้สึก เห็นแล้วเข้าใจชีวิตมนุษย์คนนั้น เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเห็นว่าถ้าเราเป็นตัวละครนั้นก็ทำแบบเดียวกัน

เช่น การเติมน้ำมัน การที่ไปทำท่าเติม มันได้แค่ภาพเฉยๆ อินเนอร์มันไม่ได้ ในฐานะนักแสดงเราจำเป็นต้องรู้ว่า การเติมน้ำมันทุกวัน มันส่งผลต่อมุมมองของตัวละครอย่างไรบ้าง แล้วพอเราลองทำงานเป็นเด็กปั๊มดูจริงๆ ทำให้เราเข้าใจว่า การที่ตัวละครชาวลาหู่อยู่แต่ในหุบเขา ไม่ได้ไปไหน แทบไม่รู้จักห้างสรรพสินค้า มันเป็นความไม่รู้ ความไร้เดียงสา เลยส่งผลออกมาจากสายตาตอนแสดง

และคิดว่าเราไม่ได้เก่งแบบมีพรสวรรค์ ไม่ได้เกิดมา Born to Be เป็นนักแสดง เรามองว่าตัวเอง Wanna be นักแสดงมากกว่า ซึ่งเวลาได้ยินคำว่า Wanna be จากคนอื่นมันจะเป็นคำในแง่ลบ แต่บอกเลยว่าเรา Wanna be เพราะอยากเป็น และทำทุกอย่างเพื่อให้มันได้เป็น เรามองแบบนี้ตั้งแต่เริ่มจากการทำงานเลย อยากเป็นนายแบบ อยากทำให้มันดี อยากพิสูจน์ให้คนเห็น พอเราทำได้ด้วยความสามารถ ด้วยฝีมือ ด้วยความทุ่มเทของเรา มันก็กลายเป็นว่าเราชื่นชอบคำนี้นะ

เราเชื่อนะ เรื่อง The Collector ที่เล่นเป็นคนโรคจิต กับ VOICE สัมผัสเสียงมรณะ ที่เป็นฆาตกร น่ากลัวมาก

The Collector เป็นเรื่องที่เราใช้วิธี Method Acting (การแสดงที่ต้องกลายเป็นตัวละครนั้นจริงๆ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ ลดน้ำหนัก ย้ายไปเช่าคอนโดฯ อยู่คนเดียวแบบตัวละครที่แฟนเขาตาย แล้วก็แปะรูปการ์ตูนผีเต็มห้อง อยู่ในความรู้สึกแบบนั้นของตัวละคร จนหนังจบ เรากลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมของเราแล้วทำให้เกิดความสับสน ยิ่งตัว แทนคุณ ที่เป็นฆาตกรโรคจิตใน VOICE สัมผัสเสียงมรณะ นี่เราทำอะไรบ้ามาก เพราะอยากลอง เลยนั่งเปิดดูรูปศพตอนกินข้าวไปด้วย

ที่บอกว่าละครต้องเล่นใหญ่ หนังต้องเล่นน้อย เพราะถ้าจอเล็กต้องเล่นใหญ่ให้คนดูรู้สึก เรามองว่าไม่มีแล้ว สุดท้ายเมื่อลงใน Video Streaming ก็จอเล็กกันหมด เลยมาเริ่มหาวิธีการแสดงที่ดีที่สุดของตัวเอง คือรู้สึกอะไรก็เล่นจริงไปตามที่รู้สึก

ไม่ถึงขั้นอินจนกลับมาไม่ได้ใช่ไหม

บอกเลยว่าแรกๆ เป็นนะ เพราะเรายังใหม่กับการแสดงแบบนี้ แต่ก็ได้เรียนรู้และพัฒนามากขึ้น หลังตอนเล่น The Collector จบ เรากลายเป็นคนไม่ชอบแต่งตัวเหมือนตัวละครเป็นเวลาเกือบครึ่งปี พอมีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้เรารู้ตัวและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

การทุ่มเททำแบบนี้ทำให้พลาดอย่างอื่นไปไหม เช่น เอาเวลาไปรับงานอื่นอีกได้

พลาดน่ะพลาดครับ หมายถึงเสียดายโอกาส เพราะเรารับงานทีละโปรเจกต์ แต่เราพร้อมจะแลก เพราะเราอยากทำงานที่รับมาให้ดีที่สุด ถ้ารับหลายงาน มันทำให้เราไม่สามารถทุ่มเวลาให้งานใดงานหนึ่งอย่างเต็มที่

ระหว่างบทที่ดีกับบทที่ดัง ไอซ์เลือกแบบไหน

บทที่ดีครับ อันนี้คือไม่ต้องคิดเลย งานเราออกมาน้อยมาก ทำงานมาห้าหกปี มีแค่ห้าหกงาน เราเลือกเล่นแต่บทที่อยากเล่นจริงๆ ซึ่งถ้างานไหนเป็นบทที่ดีและดังก็ยิ่งดีเลยครับ

นอกจากบทแล้ว รับงานด้วยเหตุผลอื่นอีกไหม

ทีมงานที่เก่งครับ พอมาอยู่ในวงการนี้ เราจะรู้ว่าผู้กำกับคนไหนเก่งบ้าง ตากล้องคนไหนเทพ บางเรื่องอยากเล่นเพราะตากล้องเลยก็มีนะ แบบคนนี้ถ่ายเรื่องนั้นโคตรเท่เลย ถ้าเราอยู่ในกล้องที่เขาถ่าย เราจะเท่ อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ)

สุดท้ายเราจะได้ประสบการณ์ในการร่วมงาน เราจะเก่งขึ้นก็ต่อเมื่อได้เจอคนเก่งๆ ให้โจทย์ที่ยากกับเรา ล่าสุดเจอพี่บาส ณัฐวุฒิ ผู้กำกับในเรื่อง One For The Road โห คนนี้โคตรเก่ง เป็นคนที่ละเอียดมาก รู้เลยว่าทำไมเขาทำหนังแล้วประสบความสำเร็จ พอเราได้ทำงานกับคนเก่ง ทักษะเราจะพัฒนาขึ้นอัตโนมัติด้วยความรวดเร็ว

เราอยากเก่ง อยากพัฒนาฝีมือ ก็เลยอยากร่วมงานกับคนเก่งๆ

อะไรคือสิ่งที่ได้จากการร่วมงานกับผู้กำกับระดับโลกและโปรดิวเซอร์ระดับโลกอีกบ้าง

ความภูมิใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสนี้ เจ๋งว่ะ แต่ที่ได้มากๆ คือทักษะ อย่างในเรื่องมีการด้นสดเยอะมาก บางทีพอถึงหน้าเซ็ตเขาบอกทิ้งบทไปเลย ไม่ต้องสนใจ เล่นใหม่แบบที่คุณอยากเล่นเลย บางทีก็มีซีนเสริมเข้ามา อย่างตอนพักกองแล้วเขาเห็นว่าพระอาทิตย์แสงสวยดี มาถ่ายซีนนี้กัน จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ไม่รู้แหละ ลองเล่นดู ซึ่งมันสนุกมาก เหมือนกับเราเป็นตัวละครอยู่แล้วอิมโพรไวซ์ได้ นักแสดงคนอื่นก็พร้อมอยู่กับเราในโมเมนต์นั้นจริงๆ

แล้วในอนาคตอยากเป็นนักแสดงที่ไปไกลกว่านี้ไหม

จริงๆ ตอนนี้ก็พอมีเอเจนซี่ทางฝั่งอเมริกาและเกาหลี ติดต่อมาบ้าง เลยอยู่ในช่วงการตัดสินใจว่าอยากจะไปหรือไม่ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นใหม่และเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ มันต้องไม่ตัดสินใจด้วยเหตุผลที่อยากจะพิสูจน์ให้ใครเห็น เพราะเราเคยผ่านจุดพวกนั้นมาแล้ว

จุดไหน

ช่วงดาวน์ ไม่มีคนยอมรับ ตอนออกจาก GDH มาเป็นฟรีแลนซ์ เคยเอาพอร์ตตัวเองไปขายค่ายหนังต่างๆ ในเมืองไทยว่าเราอยากร่วมงานด้วย

แล้วได้ไหม

ไม่ได้ เขาเลือกคนที่มีชื่อเสียงกว่าเรา เลยทำให้กลับมาคิดว่าเราไม่ดีเหรอ ตอนนั้นเป็นช่วงหลังเล่นเรื่อง The Collector คนน่าจะเห็นแล้วว่าเราทำได้

สุดท้ายพอทำให้รู้สึกว่าเราไม่มีชื่อเสียงพอเขาเลยไม่สนใจ เลยท้อ จะเลิกเป็นนักแสดงแล้ว พี่บาสก็ติดต่อมา มันทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจในการทำงานแสดงต่อไป เพราะมีคนเห็นค่าของสิ่งที่เราทำ

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเข้าใจธรรมชาติของวงการที่มีขึ้น มีลง

ใช่ครับ เมื่อก่อนจะมองในแง่ลบว่าชอบคนดังนี่หว่า แต่ตอนนี้พอโตขึ้น เราเริ่มรู้แล้วขาดอะไร ขาดชื่อเสียง แล้วจะอุดเรื่องชื่อเสียงนี้อย่างไร ต้องไปเล่นโปรเจกต์ที่มีชื่อเสียงมากขึ้นหรือว่าแมสมากขึ้น แต่ถ้าไม่เล่น อย่าหวังเลยว่าเขาจะมองเราในฐานะนักแสดงที่ดัง เลยมองว่าถ้าเรายังไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้น ก็ต้องรับกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ตรงนี้ได้

เป้าหมายตอนนี้ คือไม่อยากมีชื่อเสียงแล้ว

ถ้าตัวเราเองที่ไม่ใช่ไอซ์ซึที่เป็นนักแสดง เราไม่ได้อยากมีชื่อเสียง คือปกติเราอยู่แต่บ้านทุกวัน แทบไม่ได้ออกไปไหน ชื่อเสียงมันก็ไม่ได้ใช้นะ เลยว่าคิดว่าไม่ต้องการชื่อเสียง แต่ต้องการการทำงานที่เรารัก ซึ่งต้องอาศัยชื่อเสียง ถ้ามีชื่อเสียงก็มีโปรเจกต์ดีๆ เข้ามาให้เลือกเยอะขึ้น

การที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ส่งอิทธิผลถึงชีวิตไหม

ถ้าในแง่ของชื่อเสียงไม่มีนะครับ หมายถึงว่าเราเป็นคน Introvert มากเลยครับ อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ไปสังสรรค์ ไม่ได้มีแก๊งเพื่อน ไม่ได้ใช้ชื่อเสียงตัวเองให้เป็นประโยชน์ครับ (หัวเราะ) ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ใช้เลย ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน กลับบ้านเสร็จพอไปห้างใกล้ๆ ก็แต่งตัวเหมือนอยู่บ้าน เขาก็จำเราไม่ได้ แต่พอมีคนรู้จักทำให้เราไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่ เหมือนมีคนจับตามองตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราต้องแลกมาจากการเป็นนักแสดง คนอื่นเขาไปอาจเจอคนเยอะ ก็จะได้รับผลกระทบเยอะ แต่เราแทบไม่ได้เจอคนเลย อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน เอฟเฟกต์มันน้อยมาก

แต่ก่อนคืออยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากสำเร็จ พอย้อนกลับมาถามตัวเองจริง ๆ ว่าต้องการสิ่งนั้นมากน้อยขนาดไหน ความสำเร็จในอาชีพนักแสดงของเราคืออะไรกันแน่ เมื่อก่อนเราแข่งขันเยอะ แล้วทางที่แข่งมันเป็นเส้นทางเดียว คือเข้าวงการมาปุ๊บ ถ่ายละครจบเรื่องนี้ เล่นต่อ เล่นต่อ แสดง ๆ ไปก่อนให้อยู่ในกระแส จะได้เอาไปขายอีเวนต์ ขายพรีเซนเตอร์ มันทำให้ตัวเราเองมองว่าเป้าหมายในวงการในอาชีพนักแสดงของเรา คือแสดงไปเผื่อหวังงานอื่น ๆ โอกาสอื่น ๆ ซึ่งมันทำให้การเลือกรับงานแสดงของเรา มันเฝ้าจะมองหาแต่งานที่จะทำให้เราดัง เพื่อจะได้ไปขายงานหรือเปิดโอกาสอื่น ๆ ต่อ

พอโตขึ้น เริ่มทำงานมาสักระยะหนึ่งก็เริ่มคิด เห้ย หยุดก่อนนะ ไม่มีความสุขเลย เราเลยมาหาคำตอบใหม่ว่าความสำเร็จในอาชีพนักแสดงของเราคืออะไร

ก็เลยเจอคำตอบว่ามันคือการถ่ายทอดตัวละครให้ดีที่สุด

การมีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องที่เราอยากเล่าแล้วเราทำหน้าที่ของเราได้เต็มที่ นั่นคือเราประสบความสำเร็จในการทำงานอาชีพนี้แล้ว

สิ่งอื่น ๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นมันเป็นเพียงโอกาสหรือผลพลอยได้เท่านั้นเอง

พอเราปรับจุดโฟกัสใหม่ ทีนี้วิธีการเลือกรับงานของเราเปลี่ยนไปเลย

เราเริ่มมองหางานแสดงที่เราอยากทำจริง ๆ เรื่องที่เราอยากมีส่วนร่วมในการเล่า เริ่มมองหาคนที่เราอยากทำงานด้วยจริง ๆ

สุดท้ายเป้าหมายการมองอาชีพนี้ของแต่ละคนในวงการมีไม่เหมือนกัน และเราดีใจที่เจอทางของเรา เจอมุมมองที่เรามีต่ออาชีพนี้ของเราแล้ว

เราไม่ได้แสดงเพื่อกอบโกยรายได้ให้มากที่สุด เราอยากแสดงเพราะเราชอบมัน อยากเล่าเรื่อง คืองานแสดงมันเป็นงานที่ได้เงินก็จริง แต่เราไม่ได้มุ่งหวังจะรวยจากการแสดง พอมาตอนนี้เราเริ่มเข้าใจตัวเองแล้วว่าเราอยากทำทำไม

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

ถ้าปฏิเสธงานแล้วไม่กลัวไม่มีงานเข้ามาอีกหรอ

ไม่นะครับ เราคิดแล้วว่าเราปฏิเสธเพราะอะไร เรามีเหตุผล คือเราไม่อยากทำหลายงานแล้วงานออกมาไม่มีคุณภาพเพราะเราทำไม่ไหว 

ส่วนมากเวลามีคนติดต่อมา เราก็บอกเขาตรงๆ เขาก็เข้าใจว่าไม่ได้รับจริงๆ พอวันหนึ่งมีโปรเจกต์ที่เขาคิดว่าเราเหมาะแล้วเรายังว่างอยู่ก็ได้ทำด้วยกัน มันเป็นการปฏิเสธที่เกิดจากความเข้าใจครับ

วันนี้ถ้าชีวิตไอซ์เป็นเกม คิดว่าจะเป็นเกมอะไร

เป็นเกมปลูกผักครับ ก็ค่อยปลูกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัว สุดท้ายตอนจบก็คือมีบ้านที่สมบูรณ์ ไปขอผู้หญิงแต่งงาน อยู่บ้าน สบายใจ มีความสุข แล้วก็วนลูปไปแบบอินฟินิตี้

ไม่อยากพิชิตด่านใหม่

ปลูกผักก็มีด่านใหม่นะครับ ในเกมก็ต้องเลี้ยงต้นไม้ใหม่ แต่เป็นบรรยากาศแห่งความชิลล์ ไม่ได้ไปแข่งขันกับฟาร์มคนอื่น ปลูกในฟาร์มของเราเอง คงไม่ใช่เกมแนวต่อสู้พิชิตอะไร มันเหนื่อย เราเคยเป็นมาก่อน ถ้าเป็นตอนนี้เรารู้สึกว่าเป็นปลูกผักดีกว่า เลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่ไป ขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ

โอ้โห ต่างจากเกม DOTA ที่เราไปได้แชมป์มาเลยนะ

อันนั้นมันเป็นช่วงอายุก่อนยี่สิบห้าด้วย คนละคน เหมือน Coming of Age เลย ช่วงที่ไปเกาหลีมันมีการพิสูจน์ตัวเองเยอะ มีการแข่งขัน อยากจะสู้ให้ได้ ถ้าเป็นตอนนั้นคงเป็นเกมต่อสู้

เราไปค้นหาชื่อไอซ์ซึในกูเกิล ที่ขึ้นมามีทั้ง ไอซ์ซึ-แฟน ไอซ์ซึ-อายุ ไอซ์-ศัลยกรรม ไอซ์ซึ-หายไปไหน สมมติตอนนี้ให้เปลี่ยนคำติดการค้นหาในกูเกิลได้ อยากให้มีอะไรพ่วงหลัง

คงเป็น ‘ไอซ์ซึ นักแสดง’ คือคำว่าไอซ์ซึ เป็นชื่อในวงการ คือคนที่ทำงานเป็นนักแสดง

 แต่ถ้าเป็นไอซ์อย่างเดียว ‘ไอซ์ เลี้ยงแมว’ อะไรแบบนี้ (ยิ้ม)

การทุ่มเททุกบทบาทการแสดงของ ไอซ์ซึ จากเด็กปั๊ม ฆาตกร สู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

Writer

Avatar

ปาริฉัตร คำวาส

อดีตบรรณาธิการสื่อสังคมและบทความศิลปวัฒนธรรม ผู้เชื่อว่าบ้านคือตัวตนของคนอยู่ เชื่อว่าความเรียบง่ายคือสิ่งซับซ้อนที่สุด และสนใจงานออกแบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี (กับเธอ)

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล