8 กุมภาพันธ์ 2023
3 K

ครอบครัวธุรกิจส่วนใหญ่มักคาดหวังว่า ลูกหลานจะรัก สามัคคี และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไป 

แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ลูกหลานแต่ละคนมีความชอบ ความถนัด และความต้องการที่ต่างกันไป ยิ่งครอบครัวขนาดใหญ่ขึ้น ความแตกต่างก็ยิ่งมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การแยกทางกันของทั้งครอบครัวและธุรกิจในที่สุด

ตัวอย่างหนึ่งคือตระกูล Pritzker เจ้าของโรงแรมในเครือ Hyatt ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยติด 10 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกาทุกปี นับตั้งแต่นิตยสาร Forbes เริ่มจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลก แต่สุดท้ายทั้งครอบครัวและธุรกิจที่ส่งต่อกันมากว่า 100 ปีกลับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

ความล่มสลายในครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยาของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt

อาณาจักรธุรกิจหมื่นล้าน

ธุรกิจครอบครัวของตระกูล Pritzker เริ่มขึ้นในปี 1902 เมื่อ Nicholas Pritzker ชาวยิวอพยพจากยูเครนได้ตั้งบริษัทกฎหมายขึ้นที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา Nicholas มีลูกชาย 3 คน คือ Harry, Abram Nicholas และ Jack ซึ่งทั้งหมดเรียนจบด้านกฎหมายและทำงานในธุรกิจของพ่อ

Abram Nicholas Pritzker ลูกชายคนรองเก่งในด้านการลงทุน เขาร่วมมือกับ Jack น้องชายสร้างกำไรจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจต่าง ๆ ที่ย่ำแย่และราคาถูกในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ความสำเร็จนี้ถือเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะยุคทองของธุรกิจครอบครัว Pritzker เกิดขึ้นต่อมาในยุคของลูก ๆ 3 คนของ Abram Nicholas คือ Jay, Robert และ Donald

ความล่มสลายในครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยาของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt

Jay Pritzker ขึ้นชื่อว่าเป็น Deal Maker มือฉมัง มีพรสวรรค์ในการตัดสินใจซื้อธุรกิจที่คนอื่นไม่ต้องการในราคาต่ำ ส่วน Robert Pritzker มีความสามารถในการเอาธุรกิจที่ Jay ซื้อมาปรับโครงสร้างและจัดการต่อ ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่ทำธุรกิจเข้าขากันมาก

ในปี 1953 Jay ซื้อบริษัท Colson Corp ผู้ผลิตเก้าอี้คนพิการและจักรยาน ซึ่ง Robert ได้จัดการทำให้ธุรกิจมีกำไร ต่อมาบริษัทนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Marmon Group และกลายเป็นบริษัทโฮลดิ้งของธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ตระกูล Pritzker ซื้อมาและขายไปกว่า 200 บริษัท เติบโตจนมียอดขายหลายพันล้านเหรียญฯ ต่อปีในอีก 50 ปีถัดมา

จุดพลิกผันที่สำคัญเกิดขึ้นในวันหนึ่งของปี 1957 ขณะที่ Jay ดื่มกาแฟอยู่ในร้าน Fat Eddie’s ในโรงแรม Hyatt House ใกล้ ๆ สนามบินนานาชาตินครลอสแอนเจลิส เขาสังเกตว่าโรงแรมแห่งนี้คึกคัก เต็มไปด้วยนักธุรกิจ ไม่มีห้องพักว่าง เพราะนักธุรกิจที่เดินทางไปที่ต่าง ๆ นั้นต้องการโรงแรมคุณภาพดีใกล้สนามบิน

Jay ตัดสินใจซื้อโรงแรมแห่งนี้จากเจ้าของเดิมในบ่ายวันเดียวกันนั้นเองด้วยราคา 2.2 ล้านเหรียญฯ เขาให้ Donald Pritzker น้องชายคนเล็กมาดูแลกิจการโรงแรม ซึ่งขยายสาขาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นธุรกิจเครือโรงแรม Hyatt ที่รู้จักกันทั่วโลก

พี่น้อง 3 คนนี้รักกันมาก Donald เสียชีวิตในขณะที่ดำรงตำแหน่ง President ของ Hyatt เมื่ออายุเพียง 39 ปีเท่านั้น ส่วน Jay กับ Robert มีอายุยืนยาวต่อมาจนถึงวัยชรา ทั้งคู่ไม่ชอบและหลีกเลี่ยงความโด่งดังในสังคม ไม่ชอบความหรูหรา ชอบใช้ชีวิตติดดิน เช่น ตัว Jay เองก็ยืนต่อแถวเช็กอินที่โรงแรม Hyatt ส่วน Robert ก็นั่งเครื่องบินชั้นประหยัดเวลาเดินทาง

ความล่มสลายในครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยาของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt

ทายาทรุ่นสี่

Jay มีลูก 5 คน คือ Nancy, Thomas, John, Danny และ Gigi แต่ Nancy เป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายเมื่ออายุ 24 ปี ทำให้ Jay เสียใจและรู้สึกผิด เลยยิ่งเอาใจใส่ลูกคนอื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ Thomas หรือ Tom ที่ Jay วางตัวให้เป็นทายาทรับช่วงต่อธุรกิจ

Robert มีลูก 3 คนกับภรรยาคนแรก ได้แก่ James, Linda และ Karen และมีลูกอีก 2 คนกับภรรยาคนที่ 2 ได้แก่ Matthew และ Liesel ซึ่งอายุน้อยกว่าพี่ ๆ หลายสิบปี Jay จึงถือว่าหลาน 2 คนนี้เป็นสมาชิกครอบครัวรุ่นห้าและไม่นับเป็นสมาชิกรุ่นสี่

ส่วน Donald มีลูก 3 คน คือ Penny, Anthony และ J.B. ซึ่ง Penny ถือเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเครือ Hyatt

นอกจากนี้ Jay ยังนับ Nicholas ลูกชายของ Jack และลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นสมาชิกครอบครัวรุ่นสี่เช่นกัน เนื่องจาก Nicholas อายุพอ ๆ กับสมาชิกรุ่นนี้ เขามีบทบาทสำคัญในธุรกิจด้านคาสิโนที่สร้างรายได้ให้ตระกูลมากมายอีกด้วย

สรุปว่า ในมุมมองของ Jay นั้น สมาชิกรุ่นสี่ของตระกูล Pritzker มีทั้งหมด 11 คน 

จดหมายจากพ่อ

วันหนึ่งในเดือนมิถุนายนปี 1995 Jay และ Robert เรียกสมาชิกครอบครัวรุ่นสี่ทั้ง 11 คนมาประชุมกันที่บ้านของ Tom และแจกสำเนาจดหมาย 2 หน้ากระดาษที่ทั้งคู่ลงชื่อไว้ให้สมาชิกแต่ละคน

เนื้อความในจดหมายเป็นเหมือนกับพินัยกรรมว่าด้วยการจัดการมรดกของตระกูล Pritzker โดย Jay และ Robert ตั้งให้ Tom เป็นผู้นำธุรกิจรุ่นต่อไป โดยมี Nicholas กับ Penny ช่วยเป็นมือซ้ายมือขวา

‘กลุ่มผู้นำ 3 คน’ ที่ประกอบด้วย Tom, Nicholas และ Penny ควบคุมการบริหารจัดการธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านของตระกูล Pritzker ในขณะที่ทายาทคนอื่น ๆ ไม่ได้มีบทบาทในธุรกิจครอบครัวแต่อย่างใด

จดหมายยังเน้นย้ำถึงสมบัติของตระกูลที่เป็นของทุกคน ไม่มีการแบ่งแยก สมาชิกร่วมกันสร้างความมั่งคั่งให้ตระกูลและใช้เงินจากกงสีเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น Jay และ Robert ถือว่าเงินในกงสีไม่ใช่ทรัพย์สินหรือแหล่งรายได้ของสมาชิกแต่ละคน ถึงแม้ว่า Jay จะได้กำหนดเงินรายได้ที่สมาชิกแต่ละคนจะได้รับจากกงสีในแต่ละปีไว้ก็ตาม

Jay และ Robert จบท้ายจดหมายว่า พวกเขาคาดหวังว่าธุรกิจครอบครัว Pritzker จะสืบทอดต่อไปอย่างราบรื่นและยาวนาน

หลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้ให้ทายาทฟังจบแล้ว Jay ก็วางมือจากธุรกิจอย่างเป็นทางการ เขาเสียชีวิตหลังจากนั้น 4 ปี

ความล่มสลายในครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยาของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt

พี่น้องฟ้องร้อง

ถึงแม้ว่า Tom จะเป็นผู้นำธุรกิจต่อจาก Jay ได้ แต่เขาไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำครอบครัวที่รวมสมาชิกเข้าไว้ด้วยกันเหมือนกับ Jay

ความขัดแย้งระหว่างทายาทรุ่นสี่จึงปะทุออกมาเพียงปีเดียวหลังจาก Jay เสียชีวิต เมื่อ Danny กับ John น้องชายของ Tom ร่วมมือกับ Anthony และ J.B. น้องชายของ Penny เขียนจดหมายถึงกลุ่มทายาทผู้นำ 3 คนที่บริหารธุรกิจว่า พวกเขาต้องการการแบ่งสมบัติและแยกตัวออกไปจากธุรกิจครอบครัว

ซึ่งสาเหตุของข้อเรียกร้องที่ขัดกับเจตนารมณ์ของ Jay และ Robert อย่างสิ้นเชิงนี้ไม่ได้มาจากความต้องการเงินเท่านั้น แต่ยังมาจากการที่ทายาทคนอื่นรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมและการขาดความโปร่งใสในการทำงานของกลุ่มผู้นำ 3 คน

เช่น ในการซื้อธุรกิจ Grand Victoria Casino นั้น Tom, Nicholas และ Penny ได้หุ้นรวมกันกว่า 65% ของหุ้นตระกูล Pritzker ทั้งหมด ส่วนสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ได้แค่ 1.5 – 3% เท่านั้น

นอกจากนี้ ในปี 2001 ผู้ตรวจบัญชียังพบว่าครอบครัว Pritzker ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ 2 แห่งอีกต่อไป เพราะทรัพย์สินได้ถูกโอนไปให้กองทุนของ Abigail Marshall ซึ่งเป็นแม่ยายของ Tom โดยคนที่จะรับประโยชน์จากกองทุนนี้ก็คือตัว Tom เอง Margot ภรรยาของเขา และลูก ๆ ของทั้งคู่

กลุ่มทายาท 4 คนชักจูงทายาทคนอื่น ๆ ให้มาเข้าพวกได้ ยกเว้น Gigi และจ้างทนายฟ้องพี่น้อง ‘กลุ่มผู้นำ 3 คน’ ที่เป็นผู้บริหาร

ความล่มสลายในครอบครัวที่ความรักมิอาจเยียวยาของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt

แผนลับที่ไม่ลับ

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเจรจาต่อรองได้ไม่นาน ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงว่าจะแบ่งสมบัติกันในกลุ่มทายาทรุ่นสี่ 11 คนเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและเพื่อไม่ให้ข่าวความแตกแยกในครอบครัวรั่วไหลออกสู่สาธารณชน

แต่การแบ่งเงินระหว่างทายาททำได้ยาก เนื่องจากทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัวเป็นหุ้นในกิจการต่าง ๆ หากเร่งขายสินทรัพย์ก็อาจได้ราคาไม่ดี ทายาททั้ง 11 คนจึงตกลงให้ Tom, Nicholas และ Penny บริหารธุรกิจต่อไปอีก 10 ปี จนถึงปี 2011 โดยระหว่างนี้ให้ทยอยขายสินทรัพย์และธุรกิจต่าง ๆ เมื่อราคาดีและไม่มีภาระภาษีเพิ่ม

ทายาททั้ง 11 คนลงชื่อในเอกสารว่าจะเก็บแผนการนี้เป็นความลับ ไม่แพร่งพรายออกไป

แต่ความลับก็ลับอยู่ได้ไม่นาน เพราะมีพี่น้อง Pritzker อีก 2 คนที่ไม่ได้ส่วนแบ่งอภิมหาสมบัตินี้ คือ Matthew และ Liesel ซึ่งเป็นลูกของ Robert กับภรรยาคนที่ 2 ที่แยกทางกันไปแล้ว

พี่น้องคู่นี้ไม่ลงรอยกับพ่อมาโดยตลอด เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันและพวกเขาผูกพันกับแม่มากกว่า แถมยังไม่ถูกนับว่าเป็นทายาทรุ่นสี่ของตระกูล Pritzker อีกด้วย ทั้ง 2 คนจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งสมบัติกองมหาศาลของตระกูลตามแผนลับ

Liesel ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปี กับพี่ชาย Mathew อายุ 20 จึงฟ้องพ่อของตัวเองในวัย 76 ปีและคนอื่น ๆ ในตระกูลว่ายักยอกเงินจากกองทุนของสองพี่น้อง

โดยปกติแล้วในสายตาคนนอกตระกูล Pritzker ถือเป็นต้นแบบของครอบครัวที่กลมเกลียวกัน และตระกูลนี้ยังให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมาก เรื่องภายในตระกูลไม่เคยเล็ดรอดออกสู่สาธารณชน ประเด็นความขัดแย้งขนาดลูกฟ้องพ่อและพี่น้องทะเลาะกันจนต้องขายสมบัตินี้ จึงแรงจนเป็น Talk of the Town เลยทีเดียว

แยกทางกันเดิน

ความขัดแย้งในครอบครัวจบลงในปี 2005 เมื่อสองพี่น้อง Liesel กับ Matthew ยอมความโดยได้เงินไปคนละ 450 ล้านเหรียญฯ แลกกับการสละสิทธิ์ในทรัพย์สินของตระกูลที่เหลือทั้งหมด

ส่วนทายาทรุ่นสี่ 11 คนก็แบ่งสมบัติที่เหลือกันต่อ โดย Tom ตกลงแบ่งทรัพย์สินตระกูล รวมถึงบริษัท 2 แห่งที่อยู่ใต้กองทุนของแม่ยายให้ทายาทรุ่นสี่คนอื่น และตกลงที่จะรายงานสถานะทางการเงินของธุรกิจครอบครัวให้โปร่งใส

และเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แจกจ่ายเงินให้ทายาทได้นั้น ครอบครัวได้ขายหุ้นบางส่วนของ Hyatt ให้ Goldman Sachs ในปี 2007 และขายหุ้น 60% ของ Marmon Group ให้ Berkshire Hathaway ในปี 2007 ส่วนอีก 40% ที่เหลือจะขายในปี 2013

นอกจากนี้ยังโอนเงิน 50% ของ Pritzker Foundation ที่มีอยู่ 600 ล้านเหรียญฯ ไปให้มูลนิธิที่พี่น้องแต่ละคนก่อตั้งขึ้นเอง

รวมแล้วทายาทรุ่นสี่ 11 คนได้รับส่วนแบ่งไปคนละ 1,400 ล้านเหรียญฯ

ทำให้สมาชิกตระกูล Pritzker มีรายชื่อมหาเศรษฐีพันล้านในการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes มากกว่าตระกูลอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด

ปัจจุบัน Tom ดำรงตำแหน่ง Executive Chairman ของบริษัท Hyatt Hotel Corporation ธุรกิจที่เคยเป็นเรือธงของครอบครัว ส่วนทายาทคนอื่นก็ตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนของตนเอง แยกย้ายไปใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการ เช่น Gigi ไปทำธุรกิจสร้างภาพยนตร์ Danny ไปทำธุรกิจดนตรี James กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกที่แปลงเพศ เขาเปลี่ยนชื่อเป็น Jennifer ส่วน Liesel เป็นนักแสดง

สมาชิกครอบครัวบางคนยังเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เช่น J.B. ลงสมัครและได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์คนปัจจุบัน ในขณะที่ Penny เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามา

ส่วน Robert เสียชีวิตในปี 2011 หลังจากป่วยด้วยโรคพาร์กินสันยาวนานหลายปี

ฝันสลายของตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt ที่ไม่เข้าใจความต้องการของทายาท นำไปสู่ความแตกแยกที่มิอาจหวนคืน

ความคาดหวังที่พังทลาย

สุดท้าย สิ่งที่ Jay และ Robert วาดฝันไว้ให้อาณาจักรธุรกิจที่ตนสร้างมาตลอดชีวิตตกทอดต่อไปเป็นสมบัติร่วมกันของสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็พังทลายลง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูล Pritzker สะท้อนว่า รุ่นพ่ออาจคาดหวังมากเกินไปว่าธุรกิจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันให้ลูกหลานอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป โดยไม่นึกถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน

เป้าหมายของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืนจึงอาจไม่ใช่การบังคับให้ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันแบบฝืนความต้องการ แต่ต้องทำให้สมาชิกแต่ละคนได้รับความเป็นธรรม ไม่โดนเอารัดเอาเปรียบ และมีความสุขจากการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ข้อมูลอ้างอิง
  • www.washingtonpost.com
  • www.ft.com
  • www.chicago.suntimes.com
  • www.vanityfair.com
  • www.wsj.com
  • www.wbez.org
  • www.about.hyatt.com
  • www.atlanta.curbed.com
  • www.washingtonpost.com
  • www.findagrave.com
  • www.photoarchive.lib.uchicago.edu
  • www.chicagobusiness.com
  • www.worth.com
  • www.artmuseum.princeton.edu

Writer

Avatar

ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์

ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ University of California, San Diego นักวิชาการผู้หลงใหลเรื่องราวจากโลกอดีต รักการเดินทางสำรวจโลกปัจจุบัน และสนใจวิถีชีวิตของผู้คนในโลกอนาคต