สิ่งหนึ่งที่เรามักได้ยินเวลาคนพูดถึงธุรกิจครอบครัว ก็คือความอยู่รอด
ธุรกิจครอบครัวจะอยู่รอดยืนยาวได้ ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับทั้งการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
การปรับตัวเพื่ออนาคตของธุรกิจนั้นไม่ได้หมายถึงการที่ต้องละทิ้งรากเหง้าและประสบการณ์จากอดีตที่ครอบครัวสั่งสมมายาวนาน
ธุรกิจของครอบครัว Houshi, Marinelli และ Zildjian เป็นตัวอย่างของธุรกิจครอบครัว 3 ธุรกิจจาก 3 ประเทศใน 3 ทวีปที่เก่าแก่ มีอายุยืนยาวหลายร้อยปี สามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดโดยยังรักษารากเหง้าของธุรกิจจากอดีตไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังนำมาสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจในอนาคตได้อีกด้วย
เรียวกังอายุ 1,300 ปี
ธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ธุรกิจครอบครัวที่อายุยืนยาวตัวอย่างแรก คือธุรกิจโรงแรมพื้นเมืองญี่ปุ่นหรือ ‘เรียวกัง’ ที่มีชื่อว่า Houshi Ryokan ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด Ishikawa
‘Houshi Ryokan’ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 718 ซึ่งแปลว่าในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 1,300 ปีแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ถือเป็นธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แน่นอนว่าอะไรที่เก่าแก่ขนาดนี้ย่อมมีตำนานความเป็นมาไม่ธรรมดา ว่ากันว่าเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว มีนักบวชเดินทางไปถึงบริเวณแห่งหนึ่ง แล้วเกิดนิมิตว่ามีน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์อยู่ใต้ดิน ชาวบ้านจึงช่วยกันขุดพื้นดินและพบน้ำพุร้อนจริง ๆ และได้ก่อสร้างสถานที่พักค้างแรมหรือเรียวกังขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่เดินทางมาอาบน้ำร้อนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

หนึ่งในนั้นก็คือ Houshi Ryokan ที่ให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสมาชิกตระกูล Houshi ซึ่งปัจจุบันมี Houshi Zengoro ทายาทรุ่นที่ 46 เป็นผู้บริหารกิจการ
Zengoro ให้สัมภาษณ์ถึงเคล็ดลับที่ทำให้ Houshi Ryokan อยู่รอดยืนยาวมากว่า 1,300 ปีจนถึงปัจจุบันว่า คือการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การปรับเปลี่ยนนั้นต้องมีขอบเขต
ถ้าเปลี่ยนมากไปจนละทิ้งรากเหง้าพื้นเพดั้งเดิม ก็จะทำให้ธุรกิจขาดเสน่ห์มนต์ขลังที่ครอบครัวสั่งสมสืบทอดกันมายาวนาน
นอกจากนี้ ธุรกิจต้องมีความใส่ใจ ซึ่งไม่เพียงแต่ใส่ใจในการให้บริการแก่ลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใส่ใจต่อลูกจ้าง คู่ค้า ซัพพลายเออร์ และชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย เพราะธุรกิจจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อคนเหล่านี้อยู่รอดได้เช่นกัน
Zengoro เล่าว่าความท้าทายของธุรกิจครอบครัวของเขามาจากทั้งด้านธุรกิจและด้านครอบครัว แต่ทุกความท้าทายย่อมมีทางออก

ทางด้านครอบครัวนั้น ลูกชายและหลานชายของ Zengoro เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร ทำให้ตระกูลต้องปรับเปลี่ยนประเพณีการสืบทอดธุรกิจจากทายาทผู้ชายเป็นทายาทผู้หญิง โดย Houshi Hisae ลูกสาวของ Zengoro เริ่มเข้ามาเรียนรู้และรับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อของเธอแล้ว
ส่วนทางด้านธุรกิจ Houshi Ryokan กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมโรงแรม โดยเฉพาะจากโรงแรมสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ทางออกคือการปรับตัวโดยเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การจองที่พักออนไลน์
นอกจากนี้ รสนิยมของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป นิยมพักโรงแรมสมัยใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าเรียวกัง ทำให้ Houshi Ryokan ต้องปรับตัวโดยหันไปเน้นลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เพราะลูกค้าต่างประเทศยังต้องการประสบการณ์การพักโรงแรมแบบญี่ปุ่น ต้องการสัมผัสวิถีปฏิบัติและบริการแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามี แต่โรงแรมสมัยใหม่ไม่มี
Houshi Ryokan จึงเป็นตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจครอบครัวที่ไม่เพียงไม่ได้ละทิ้งรากเหง้าแล้ว ยังนำรากเหง้าที่สั่งสมมายาวนานสร้างเป็นจุดแข็งให้กับธุรกิจอีกด้วย

โรงหล่อระฆัง 700 ปี
ธุรกิจครอบครัวอายุยืนยาวตัวอย่างที่ 2 คือ ธุรกิจโรงหล่อระฆังในประเทศอิตาลี มีชื่อว่า ‘Pontificia Fonderia Marinelli’ ผู้ผลิตระฆังที่แขวนตามโบสถ์และหอคอยต่าง ๆ ในยุโรป
ธุรกิจโรงหล่อระฆังนี้เป็นธุรกิจของครอบครัว Marinelli ก่อตั้งขึ้นเมื่อราว ๆ ปี 1200 แต่ประวัติมีความคลุมเครือว่าธุรกิจอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ปี 1000 แล้ว เท่าที่มีหลักฐานแน่ ๆ คือมีชื่อ Marinelli จารึกอยู่บนระฆังใบหนึ่งที่ผลิตในปี 1339
ดังนั้น ธุรกิจนี้มีอายุอย่างน้อยร่วม 700 ปีแล้ว หรืออาจจะเก่าถึง 1,000 ปีเลยทีเดียว นับเป็นธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป

ปัจจุบัน Pontificia Fonderia Marinelli อยู่ในความดูแลของพี่น้อง Armando และ Pasquale ทายาทรุ่นที่ 26 และยังทำธุรกิจผลิตระฆังอยู่ ระฆังใบใหม่ที่หอเอนเมืองปิซ่าก็ผลิตโดยครอบครัวนี้เมื่อปี 2004 นี่เอง
สำหรับเคล็ดลับของการอยู่รอดมาอย่างยาวนานของธุรกิจครอบครัว Marinelli นั้น Armando ให้สัมภาษณ์ว่า ธุรกิจต้องมองย้อนหลังไปในอดีตและมองล่วงหน้าไปในอนาคต ต้องมองการณ์ไกลแต่ก็ต้องไม่ลืมรากเหง้าด้วย
Armando กล่าวว่า เขาต้องรักษาสิ่งที่ธุรกิจครอบครัวของเขาสั่งสมมากว่า 1,000 ปี แต่ก็ต้องมองไปในอีก 1,000 ปีข้างหน้า และเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
สำหรับความท้าทายของธุรกิจครอบครัว Marinelli นั้นมีทั้งจากด้านธุรกิจและด้านครอบครัว

ทางด้านครอบครัว ธุรกิจต้องพยายามให้สมาชิกครอบครัวอยากรับช่วงต่อ ซึ่งสำหรับตระกูล Marinelli แล้ว หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เพียงการทำธุรกิจให้ลูกค้าประทับใจเท่านั้น แต่สมาชิกครอบครัวต้องมีความสุขด้วย เพราะความสุขและความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครอบครัว เป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกครอบครัวตั้งใจทำงานที่ดีเพื่อลูกค้า
ส่วนความท้าทายด้านธุรกิจนั้น Armando บอกว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ในปัจจุบันศาสนาไม่ได้รับความนิยมเหมือนในสมัยก่อนและอาจเสื่อมสลายไปในที่สุด ซึ่งทำให้ความต้องการระฆังของ Marinelli ลดลงไปด้วย
ทางรอดของธุรกิจครอบครัว Marinelli จึงอยู่ที่การกระจายความเสี่ยง ขยายธุรกิจออกไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีอนาคต ครอบครัว Marinelli จึงเปิดพิพิธภัณฑ์ระฆังของธุรกิจครอบครัวให้คนเข้าชม ซึ่งธุรกิจใหม่นี้สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว โดยไม่ต้องเบียดบังธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลแต่อย่างใด
ธุรกิจครอบครัวของตระกูล Marinelli เป็นอีกตัวอย่างของการปรับตัวของธุรกิจครอบครัวที่เล็งเห็นคุณค่าของรากเหง้าในอดีตและนำมาใช้สร้างมูลค่าต่อไปในอนาคต

ธุรกิจเครื่องดนตรี 400 ปี
ตัวอย่างสุดท้ายของธุรกิจครอบครัวอายุยืน เป็นธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาชื่อ ‘Zildjian Cymbal’ ผู้ผลิตฉาบ (Cymbal) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ คล้ายจาน เอามาตีเพื่อให้เกิดเสียง
Zildjian Cymbal เริ่มกิจการเมื่อปี 1623 ในจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งคือดินแดนที่เป็นประเทศตุรกีในปัจจุบัน Avedis Zildjian ผู้ก่อตั้งธุรกิจนี้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชาวอาร์เมเนียน ซึ่งพยายามเปลี่ยนโลหะมูลค่าต่ำให้เป็นทองคำ

แน่นอนว่าความพยายามของเขาไม่บรรลุผลสำเร็จ แต่เขากลับโชคดีที่ได้ค้นพบสัดส่วนผสมระหว่างทองแดง ดีบุก และเงิน ที่ทำให้โลหะผสมนี้เมื่อนำไปสร้างเครื่องดนตรีแล้วให้เสียงที่ไพเราะมาก
Avedis Zildjian จึงเริ่มธุรกิจผลิตฉาบ โดยมีลูกค้าหลายหลาก ตั้งแต่สุลต่านของจักรวรรดิออตโตมัน วงดนตรีของกองทัพ จนถึงนักเต้นระบำในฮาเร็ม
เริ่มแรกนั้นธุรกิจของตระกูล Zildjian มีโรงงานผลิตอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมัน แต่ต่อมาตระกูลได้ตัดสินใจย้ายกิจการไปที่มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในปี 1927
ถ้านับตั้งแต่เริ่มกิจการในปี 1623 ปัจจุบันธุรกิจครอบครัว Zildjian มีอายุ 400 ปีพอดิบพอดี โดยมีทายาทรุ่นที่ 14 จำนวน 2 คน และรุ่นที่ 15 จำนวน 3 คน คือ Craigie, Debbie, Cady, Emily และ Samantha เป็นผู้ดำเนินกิจการ ซึ่งทายาททั้ง 5 คนนี้ล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

นอกจากส่วนผสมโลหะที่ยังคงเป็นสูตรลับของตระกูล Zildjian ไม่เปิดเผยให้คนนอกตระกูลทราบมาจนถึงปัจจุบันแล้ว เคล็ดลับที่ทำให้ Zildjian Cymbal อยู่รอดมานานหลายร้อยปี คือการรักษาคุณภาพของสินค้าให้คงมาตรฐานชั้นยอด
เช่นเดียวกับธุรกิจของครอบครัว Houshi และ Marinelli ความท้าทายที่ตระกูล Zildjian เผชิญนั้นมีทั้งด้านครอบครัวและด้านธุรกิจ
ทางด้านครอบครัว ตระกูล Zildjian มีขนาดเล็ก ทำให้มีปัญหาการสืบทอดทายาทธุรกิจ ทางออกก็คือการให้ทายาทผู้หญิงมารับช่วงกิจการต่อได้ แทนที่จะส่งต่อธุรกิจให้ทายาทผู้ชายเท่านั้น
นอกจากนี้ Zildjian Cymbal ยังจ้างผู้บริหารมืออาชีพที่มาจากนอกครอบครัวให้เข้ามาช่วยงาน และก่อตั้งสภาครอบครัว (Family Council) ทำหน้าที่ส่งเสริมให้สมาชิกครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจอีกด้วย
ทางด้านธุรกิจนั้น Zildjian Cymbal ต้องปรับตัวเข้าหาลูกค้าที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่น เมื่อ Zildjian ย้ายจากธุรกิจตุรกีไปยังสหรัฐอเมริกาก็ต้องหาลูกค้าใหม่ เพราะขายสินค้าให้ราชวงศ์ กองทัพ และนักเต้นระบำไม่ได้อีกต่อไป ทำให้ Zildjian Cymbal เริ่มผลิตฉาบให้กับวงดนตรีแจ๊ส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ธุรกิจครอบครัวนี้เข้าถึงตลาดดนตรีร่วมสมัย
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเครื่องดนตรีเป็นอุตสาหกรรมที่ถือว่าอิ่มตัวแล้ว Zildjian Cymbal ตระหนักว่าหากจะก้าวต่อไปในอนาคต ธุรกิจจะผลิตแค่สินค้าแบบเดิม ๆ ตลอดไปไม่ได้ แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่นอกกรอบ จึงได้ร่วมมือกับศิลปินต่าง ๆ พัฒนาเครื่องดนตรี ทำให้ Zildjian Cymbal มีส่วนในการกำหนดทิศทางของดนตรีในอนาคตอีกด้วย

ปรับตัวเพื่ออยู่รอด แต่ไม่ทอดทิ้งรากเหง้า
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ความสามารถในการปรับตัวถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ซึ่งการปรับตัวนั้นย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินกิจการของธุรกิจครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่จำเป็นต้องละทิ้งรากเหง้าของธุรกิจที่ครอบครัวสั่งสมมายาวนาน เพราะเรื่องราว ประสบการณ์ และชื่อเสียงจากอดีตที่ผ่านมานั้น เป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าให้แก่ธุรกิจได้
การปรับตัวของธุรกิจครอบครัวโดยผสานอดีตเข้ากับอนาคตนั้น ทายาทที่รับสืบทอดธุรกิจมาจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไม่เพียงแค่มองไปข้างหน้าเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในโลกอนาคตเท่านั้น แต่ยังต้องมองย้อนหลังเพื่อให้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าจากอดีตที่ครอบครัวสั่งสมมาอีกด้วย
ดังที่ Armando Marinelli กล่าวไว้ว่า บทบาทของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นปัจจุบัน คือการเป็นข้อต่อหนึ่งในห่วงโซ่ของธุรกิจครอบครัว ซึ่งเชื่อมรากเหง้าในอดีตเข้ากับความยั่งยืนของธุรกิจในอนาคตนั่นเอง

ข้อมูลอ้างอิง
- www.japancheapo.com/accommodation/hoshi-ryokan
- www.tharawat-magazine.com/stories
- www.estadao.com.br/pme
- blog.s-peek.com/it/posts
- www.stern.de/fotografie
- www.famigliacristiana.it/articolowww.digitalcommonwealth.org
- www.mikedolbear.com/groovers-and-shakers/avedis-zildjian-iii
- www.womenyoushouldknow.net
- www.altomolise.net/notizie