5 พฤศจิกายน 2021
2 K

“Beautiful things don’t ask for attention.” 

เป็นคำพูดที่ Sean O’ Connor (Sean Penn) พูดกับ Walter Mitty (Ben Stiller) ในฉากที่เขาละสายตาจากกล้องซูมระยะไกลที่ตั้งค้างไว้ แล้วเงยหน้าชื่นชมเสือภูเขาหิมะ (Snow Leopard) ด้วยดวงตาของเขาเอง 

ภาพหลายภาพที่เราเคยเห็น บางทีเราก็เลือกที่จะยืนจ้องมัน หายใจไปพร้อมกับมัน ฟังเสียงบรรเลงในห้วงทำนองของมัน เราจะยืนนิ่งเป็นส่วนหนึ่งของโมเมนต์นั้นจนห้วงภวังค์ของภาพนั้นลับตาเราไป หรือเราเลือกที่จะเดินจากมันมาเงียบๆ เราเลือกที่จะเก็บมันไว้ในความทรงจำ หรือเราเลือกที่จะพยายามถ่ายภาพมันเก็บไว้ 

จำได้ว่าตอนที่เดินป่ากับไต่เขาที่ป่าสงวนฮาร์แดงเงอร์วิดดา ใจกลางประเทศนอร์เวย์ (Hardangervidda National Park) ถือเป็นป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ และเป็นป่าสงวนลักษณะแบบที่ราบสูงภูเขา (Mountain Plateau) ที่กว้างใหญ่ที่สุดของยุโรปตอนเหนือ ระยะเวลาที่พวกเราวางแผนการเดินเท้าทั้งหมดกินเวลา 5 วัน รวมระยะทางเกือบ 80 กิโลเมตร 

พวกเราเริ่มเดินจากเมืองคินซาร์วิค (Kinsarvik) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของป่าสงวน เพื่อไปให้ถึงสตาวาลี (Stavali) ซึ่งเป็นจุดที่พักจุดแรก วันแรกฝนตกปรอยๆ ทางเดินชันสลับที่ราบ อากาศหนาวชื้น มีน้ำตกใหญ่ๆ 4 จุดหลัก ในหนังสือบอกว่าใช้เวลาเดินประมาณ 6 – 7 ชั่วโมงก็จะถึงที่พัก ไฉนเลยคงเป็นระยะเวลาที่กำหนดสำหรับคนร่างกำยำสูงใหญ่ชนชาติสายเลือดไวกิ้ง เพราะคนเอเชียขาสั้นๆ ตันๆ อย่างฉันใช้เวลาเดินเกือบ 13 ชั่วโมง! 

เดินถึงจุดที่พักตอนเกือบตี 1 โชคดีว่านอร์เวย์ในฤดูร้อนฟ้ายังสว่างถึงแม้จะเป็นยามวิกาล เวลาเที่ยงคืนก็ยังมีแสงรำไร เลยไม่รู้สึกว่าน่ากลัวมากนัก บ้านพักแต่ละหลังที่ป่าสงวนของนอร์เวย์เป็นระบบช่วยเหลือตัวเอง (Self-service) และระบบซื่อสัตย์หรือเกียรติศักดิ์ (Honor System) เพราะของทุกอย่างในที่พักต้องใช้ร่วมกัน ทุกคนต้องดูแลที่พักเสมือนบ้านตัวเอง 

ในห้องตู้เก็บอาหาร หากจะกินอะไร ใช้อะไร ต้องจดลงในแผ่นที่เขาเตรียมไว้ให้ แล้วทำเครื่องหมายเช็คหน้าลิสต์รายการของที่เราหยิบมาใช้ จากนั้นคำนวณตามราคาที่เขาตั้งไว้ เขียนเช็ค แล้วทิ้งลงกล่องเก็บเงินที่เขาตั้งไว้ ไม่มีใครมาคอยดูเรา เราต้องซื่อสัตย์ต่อระบบ 

นอกจากนี้ยังไม่มีที่อาบน้ำ ต้องออกไปตักน้ำเย็นเจี๊ยบจากลำธารมาใช้ล้างหน้าแปรงฟัน ต้มน้ำทำกาแฟ ถ้าให้ดีก็ควรตักเผื่อเพื่อนร่วมที่พักซึ่งเป็นคนแปลกหน้า บ้านทั้งหลังไม่มีไฟฟ้า ต้องจุดเทียนไข ไม่มีเครื่องทำความร้อน ต้องก่อฟืนเอง ไอความร้อนจากเตาเผาถ่านถึงค่อยลอยไปตามท่อ เพื่อสร้างความอุ่นให้กับบ้านที่พักทั้งหลัง แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่อากาศบนที่ราบสูงภูเขาที่นอร์เวย์นั้นอากาศตกลงไปถึงที่ระดับ -3 ถึง 2 องศาเซลเซียสโดยไม่เกรงใจในบางคืน 

วันถัดมาฝนตกหนัก พวกเราตัดสินใจพักการเดินหนึ่งวันหลังจากการเดินหนักๆ วันแรก พอวันที่ 3 แม้จะเป็นวันที่หมอกลงค่อนข้างจัด แต่เราก็ต้องออกเดินทาง ตั้งแต่ช่วงวันที่ 3 เริ่มจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ความเงียบงันอย่างจริงจัง มองรอบตัวอย่างสุดสายตาก็เห็นว่ามีแค่พวกเรา 2 คน เดินกันมาจนถึงช่วงที่ต้องเดินขึ้นเขาชัน พยายามไม่มองลงข้างล่างเพราะรู้ว่าเป็นเหวลึก บวกกับหมอกที่ลงจัดทำให้มองเห็นแค่ระยะรัศมี 1 – 2 เมตรรอบตัว ทั้งหุบเขาเงียบกริบ กระทั่งเสียงลมพัดยังไม่มีให้ได้ยิน สักพักได้ยินเสียงกระดิ่งผูกคอวัวดังสะท้อนก้องหุบเขาอยู่ไกลๆ 

พอเดินขึ้นถึงที่หมายบนยอดเขา พื้นทางเดินเริ่มกลายสภาพเป็นที่ราบกว้าง หมอกที่หนาจัดเมื่อตอนขาขึ้นภูเขาค่อยๆ บางตัวลง ทะเลสาบผืนเล็กๆ เริ่มปรากฏให้เห็นต่อหน้าพวกเรา ช่างเป็นผืนน้ำที่นิ่งสงบ พื้นผิวน้ำนิ่งไม่มีริ้ว มีหมอกจางๆ ลอยเบาๆ เหนือน้ำ เป็นภาพที่สะกดให้พวกเราต้องหยุดจ้องมองมัน ต้องยืนนิ่งเป็นส่วนหนึ่งกับมัน ต้องสยบให้กับความเงียบงันของมัน ถ้าต้องจินตนาการว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไร คาดว่าน่าจะเป็นดั่งภาพที่เห็นนี้ เหมือนว่าเราต้องยืนรอให้ Ferryman (คนพายเรือตามเทพนิยายกรีก) พายเรือมารับเพื่อพาเราข้ามแม่น้ำอาเครอน (Acheron) ถ้าจินตนาการต่อ การพายเรือก็น่าจะเป็นการพายเรืออย่างช้าๆ ไม้พายที่แหวกลงน้ำช่างนิ่งและนิ่มนวลจนไม่มีแม้แต่ริ้วคลื่นให้เห็น เรือจะพาเราไปยังอีกฟากหนึ่งของภพแห่งความตาย ไปสู่ภพของเทพเจ้าเฮดีส (Hades) 

สักพักเสียงกระดิ่งผูกคอวัวที่ตอนแรกได้ยินว่าดังก้องอยู่ไกลๆ เริ่มดังขึ้นข้างๆ ตัว ปลุกพวกเราตื่นจากภวังค์ เสียงเข้ามาใกล้ตัวพวกเรามากขึ้นๆ จนเริ่มเห็นหน้าค่าตาเจ้าของเสียงกระดิ่ง ตัวที่เป็นแม่เดินฝ่าม่านหมอกออกมาดูหน้าผู้มาเยือน มันยืนจ้องพวกเรานิ่งๆ สีหน้าเฉยชา ไม่อินังขังขอบต่อความเป็นไปของโลกภายนอก แต่แววตาฉายความฉงนเต็มที่ เห็นมีอยู่ส่วนเดียวที่ขยับคือปาก เหมือนเคี้ยวเอื้องค้างอยู่ แถมมีตัวน้อยๆ 2 ตัวเดินตามติดมาใกล้ๆ 

มันยืนทิ้งระยะ พวกเรามองมัน มันก็มองเรา มองกันไปมองกันมาจนมันคงเบื่อ เลยหันตัวเดินหนีไปอีกทิศ เสียงกระดิ่งที่คอสั่นดังกร๊องๆ จนเสียงค่อยๆ ลับหายไป พวกเรารีบเดินจากมา วันแรกที่เดินกันแบบสบายๆ เป็นบทเรียนอย่างดีว่า 6 ชั่วโมงของคนนอร์วีเจี้ยนนั้นอาจเป็น 10 ชั่วโมงของคนไทยขาสั้นอย่างฉัน ส่วนคู่ชีวิตที่เดินทางมาด้วยกัน ถึงขาจะยาวแต่ก็ต้องรอเราอยู่ดี วันนี้คู่ชีวิตที่เดินมาด้วยกันเร่งคนขาสั้นอย่างฉันตลอดการเดิน เพราะเข็ดกับการถึงที่พักกันยามดึก

สิ่งที่คาดหวังในระหว่างที่เราเดินเท้าใน Hardangervidda จากจุดพักหนึ่งไปสู่จุดพักหนึ่งนั้น พวกเราคาดหวังกันว่าจะได้เจอกวางเรนเดียร์ป่า ถือว่าเป็นสัตว์หายากในบริเวณนั้น พวกเราจินตนาการกันต่างๆ นานาเวลาเจอรอยเท้าที่มีลักษณะเป็นกีบปรากฏเป็นรอยบนหิมะ ซึ่งพอดูๆ ก็คาดว่าจะเป็นรอยกีบเท้าแกะมากกว่า เพราะรอยเท้าเดินกันสะเปะสะปะ เราเดินกันแบบเร่งเท้า แต่ก็ถึงที่พักจุดที่ 3 ช้าอย่างเคย จุดพักที่ทอรีฮิทตา (Torehytta) เล็กกว่าจุดที่ 2 ทั้งหลังคืนนั้นมีแค่พวกเรา 2 คน ไม่ได้อาบน้ำกันมา 3 วัน จึงจำใจต้องเดินกันไปที่ทะเลสาบผืนเล็กๆ หน้าบ้านที่พัก 

ถ้าไม่อาบอีกวันนี่แกะคงจามใส่แน่นอน เพราะนึกว่าแหนมเน่าเคลื่อนที่ เดินไปหยุดยืนริมน้ำ เห็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ลอยอยู่ไม่ไกล ใจเริ่มประหวั่น น้ำใสๆ ที่เห็นหน้าเรานี่มันน้ำจากน้ำแข็งที่เริ่มจะละลาย พวกเรามองหน้ากัน คู่ชีวิตเป็นฝ่ายใจกล้า พี่แกแก้ผ้าก่อนตัดใจกระโดดตูมลงไป เสียงที่ตามมาคือเสียงร้องจ๊ากๆ เหมือนคนโดนน้ำร้อนลวก กระโดดลงปุ๊บ แกรีบกระโดดกลับขึ้นฝั่ง ฉันเห็นก็ชักเริ่มใจเสีย ค่อยๆ แหย่เท้าลง จิ้มลงไปนิดเดียวเผลอร้องลั่น มันหนาวจนเจ็บปวด ถ้านึกไม่ออกว่าหนาวขนาดไหน ให้นึกภาพว่าแช่มือลงในถังน้ำแข็งค้างไว้สัก 10 นาที แช่จนมือชา จนไม่มีความรู้สึก แต่ฉันก็ไม่อยากเดินตัวเหม็นแบบนี้ไปอีกตลอดการเดินทาง เลยหลับตากระโดดลงไปแค่ครึ่งตัว 

โอย… หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น เนื้อตัวชา ชาขึ้นสมอง รู้สึกเลยว่าสมองหยุดทำงาน ฉันวักน้ำเร็วๆ ให้โดนตัวช่วงบนแล้วรีบสะบัดตัวขึ้นมาจากน้ำเย็นนรกผืนนั้น แต่ความรู้สึกหลังจากจุ่มตัวลงน้ำเย็นเฉียบขนาดนั้น เลือดที่แข็งตัวเมื่อครู่เริ่มไหลปรู๊ดแผ่ความอุ่นปราดทั่วร่าง เหมือนว่าเมื่อครู่ร่างกายตายไป 10 วินาที มันเริ่มฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ ดีกว่าเก่า สดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าให้ทำอีกก็ไม่เอา จากนั้นพวกเราพากันเดินกลับเข้าบ้านที่พัก จุดฟืน ผิงไฟ นอนสลบกันปางตายอีกหนึ่งคืน 

วันที่ 4 ต้องเดินทางไปให้ถึงบ้านพักลิตโลส (Litlos) ฟ้าเปิด อากาศแจ่มใส แดดส่องสว่างจ้า เดินจากที่พักได้สักพักหนึ่งก็เริ่มโหดขึ้น เพราะที่พักเมื่อคืนที่ทอรีฮิทตาอยู่ในหุบเขา ฉะนั้น ถ้าจะเดินทางกันต่อ ต้องเดินขึ้นเขาเพื่อออกจากหุบเขา ถือว่าหฤโหดในระดับหนึ่ง เพราะทางเดินเป็นน้ำแข็งเสียเป็นหลัก จุดที่พวกเราเดินเท้าผ่านกันมาเมื่อวันก่อน มีจุดที่เป็นผืนหิมะแผ่กว้างที่ยังไม่ละลายอีกเป็นหย่อมๆ แต่ละหย่อมกินอาณาบริเวณความยาวประมาณ 100 – 200 เมตร ยาวสุดก็ประมาณเกือบ 400 เมตร 

การเดินย่ำในหิมะโดยรองเท้าเดินป่าแบบธรรมดาถือว่าค่อนข้างยากลำบาก เพราะต้องเกร็งแล้วค่อยๆ ย่ำลงไป โดยเฉพาะจุดที่เป็นทางชัน ถ้าเป็นหิมะที่เริ่มคลายตัวจากการเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ต้องเดินแบบเฉาะเท้าเข้าหิมะเพื่อไม่ให้ลื่นล้ม วิธีการคือเตะจิกปลายเท้าส่วนหน้าเข้าแผ่นหิมะและกดตัวลงเจาะเข้าไปให้ลึก ลึกจนพอจะมั่นใจว่ารับน้ำหนักตัวเราได้ ส่วนทางเดินที่ต้องเดินขึ้นเขาเพื่อออกจากบ้านพักทอรีฮิทตา น้ำแข็งกลับแข็งตัว ยังไม่ละลาย ดังนั้นการเดินเฉาะแบบเอาหน้าเท้าเฉาะเข้าหิมะจึงทำไม่ได้ แถมลักษณะเป็นแนวทางลาดประมาณ 60 องศา ถ้าพลาดนิดเดียว มีสิทธิ์ไหลลื่นตกลงเหวด้านข้างได้ในพริบตาเดียว

ฉันเฉาะเท้ายังไงก็ไม่เข้า เพราะผืนหิมะหนาวจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง ยืนปักไม้เดินป่าก็น่าจะต้านแรงน้ำหนักฉันไม่พอ ผลคือฉันยืนร้องไห้ เพราะทั้งเดินต่อก็เดินต่อไม่ได้ ทั้งกลัวก็กลัว คู่เดินทางเลยต้องหาทางอ้อมหลังก้อนน้ำแข็ง แล้วให้ใช้วิธีเดินไต่ก้อนน้ำแข็งไปพร้อมกับอิงตัวกับผนังก้อนหิน ต้องค่อยๆ ไถไป ถ้าตกลงไปในร่องน้ำแข็ง ก็ตกไปที่พื้นน้ำแข็งข้างล่าง ความสูงน่าจะประมาณระดับเมตรครึ่งจากพื้นน้ำแข็งที่เห็น ถึงจะน่ากลัวน้อยกว่าการตกเหว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพื้นน้ำแข็งที่เห็นนั้นจะแข็งพอที่จะรองรับน้ำหนักเราได้ ฉันเดินเบียดตัวเองไปกับผนังก้อนหินกับน้ำแข็งข้างขวา ยันตัวเองไปเรื่อยๆ เดินไปร้องไห้ไป เพราะกลัวสุดใจ จนรู้สึกตัวอีกทีก็เดินผ่านพ้นหน้าผาน้ำแข็งผืนนั้น จากที่ร้องไห้ก็เริ่มหัวเราะ ดูเหมือนบ้า แต่จริงๆ แล้วดีใจ เป็นความภูมิใจเล็กๆ 

วันนี้ถือว่าเป็นการเดินทางที่ต้องคอยลุ้นตลอดเวลา พอพ้นจากก้อนน้ำแข็งที่เอนดิ่งลงเหวน้ำตกถึงค่อยหายใจคล่องปอดขึ้น แต่ระยะทางการเดินวันนี้ยังอีกยาวไกล เดินผ่านพื้นที่ที่เป็นหนองน้ำ (Marsh) ผืนกว้าง เดินย่ำลงตรงไหนๆ ก็เหยียบจนจมน้ำ น้ำเข้ารองเท้า เดินกันแบบเท้าแฉะตลอดวัน ต้องฝ่าฝูงแมลงหวี่น้ำที่บินปกคลุมทั่วบริเวณ แถมเดินสลับกับแผ่นหิมะที่ยังไม่ละลายเป็นผืนกว้าง ต้องเดินแบบเฉาะเท้ากันไปแบบเปียกๆ บางจุดนี่ก็ลุ้น เพราะรู้ว่าบนผืนน้ำแข็ง ผืนหิมะที่เดินข้ามกันอยู่มันคาบผ่านน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ข้างล่าง ได้ยินเสียงน้ำไหลแบบก้องกังวาน กลัวก็กลัวแต่ก็ต้องเดินข้ามกันไปแบบระวัง บางจุดจะเห็นหิมะเป็นรูๆ ตลอดทาง ชะโงกดูรู ถึงเห็นว่าเป็นอึก้อนเล็ก ๆ สีกับทรงดูคล้ายไข่มุกที่คนบ้านเรานิยมใส่ในชานม พวกเราถกกันว่าน่าจะเป็นเพราะว่าอึแกะมันอุ่น เวลาตกลงบนก้อนหิมะเลยทำให้เป็นรู เพราะหิมะละลายรับความอุ่นของไออึ 

เดินจนมาถึงลำธารกว้าง น้ำไหลแบบไม่เชี่ยวนัก ที่ตื่นตาคือน้ำที่เห็นนี่ใสจนเห็นพื้นหินใต้ลำธาร พวกเราหันหาทิศของทางเดินที่จะต้องเดินกันต่อ ปรากฏว่าไม่เจอ น่าจะเป็นเพราะว่าน้ำแข็งเริ่มละลายทำให้กลายเป็นทางเดินของลำธารทางน้ำแทน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ทางน้ำที่เห็นมันไม่ได้ตื้นเขินเหมือนลำธารเล็กๆ ที่พวกเราเดินเหยียบข้ามกันมาได้แบบสบายๆ ระดับน้ำที่อยู่ตรงหน้าน่าจะประมาณหน้าต้นขาฉัน ฉันจุ่มมือลงน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิความกล้า แทบเป็นลม น้ำช่างเย็นเจี๊ยบ ความหนาวเย็นมันฉีดปรู๊ดถึงปลายประสาทรูหู ใจถึงกับสั่น สองคนมองหน้ากันว่าเอาไงดี ถ้าข้ามก็ต้องข้ามแบบถอดกางเกง เพราะไม่อย่างนั้นจะหนาวสั่นตลอดการเดินทางของวัน 

จำต้องถอดกางเกง ถอดรองเท้า ก่อนค่อยๆ หย่อนเท้าก้าวลงน้ำจนระดับน้ำตีขึ้นมาถึงหน้าขา ไม่เคยเลยที่ครั้งไหนจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของขาเท่าครั้งนี้ มันชาจนความรู้สึกที่ว่าชาก็ไม่น่าจะอธิบายได้อย่างเพียงพอ พวกเราก้าวเร็วมากก็ไม่ได้ เพราะพื้นหินที่ลำธารทั้งแหลมทั้งคม พอจะตัวกระตุกจี้ให้เรารู้สึกถึงการมีอยู่ของขาตันๆ ของฉันได้บ้าง น้ำลำธารที่ไหลก็ไม่ได้ว่าจะไหลแบบเอื่อยๆ ค่อนข้างจะเชี่ยวด้วยซ้ำ พวกเราก้าวข้ามกันอย่างทุลักทุเล พอถึงอีกฟากของลำธารนี่ถึงกับหัวเราะกันงอหาย หัวเราะกับประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอะเคยเจอ โชคดีว่าเป็นวันที่มีแดด พวกเรานั่งตากแดดจนเนื้อตัวกับขาแห้งและอุ่นจนได้ระดับถึงค่อยใส่กางเกง ใส่รองเท้าแล้วเดินทางกันต่อ 

เดินกันจนถึงที่พักที่ลิธโลสแล้วค่อยใจชื้น เนื่องจากเป็นที่พักหลักใจกลางแยกใหญ่ เลยเป็นวันที่มีนักเดินทางมาพักกันที่นี่อย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย มากันจากหลากทิศของเทรลการเดิน เป็นจุดที่ฉันรู้สึกว่าสวยสงบ พวกเราอยู่ในหุบเขา (ตามเคย) ล้อมรอบด้วยภูเขารอบทิศ หลังเก็บข้าวเก็บของก็ออกมานั่งมองวิวยามเย็น ลมพัดเอื่อยๆ แต่ยังคงความหนาวเย็นให้ต้องใส่เสื้อหนาว ส่วนห้องที่พวกเรานอนพักวันนี้มีนักเดินทางคนอื่นมานอนพักด้วย แอบหงุดหงิดนิดหนึ่ง เพราะหนุ่มที่นอนเตียงบังเกอร์อีก 2 รายต่างพากันพร้อมใจถอดถุงเท้าอันแสนจะเหม็นเน่าพาดริมหน้าต่าง ลมที่พัดโชยเข้ามาเลยพาลพัดกลิ่นถุงเท้าเน่าของพวกเขามาแตะจมูกพวกเราเป็นครั้งคราไป ฉันถอดถุงเท้าวางใต้เตียง เหม็นก็คงเหม็น แต่คิดว่าอย่างน้อยมันน่าจะซ่อนกลิ่นจากคนอื่นได้บ้าง หนุ่มพวกนั้นป่านนี้ก็คงไปนั่งเขียนบ่นว่า ถุงเท้าซิ้มคนที่นอนอีกบังเกอร์หนึ่งนี่เหม็นน่าดู 

เคบินลิธโลส กับพระจันทร์ที่ขึ้นมาแล้ว แต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดี

วันสุดท้ายของการเดินเท้า ร่วม 20 กิโล เป็นระยะขาลงเขา จุดหมายที่พวกเราต้องเดินไปให้ถึงคือเคบินมิดเดิลส์บู (Middalsbu) เหมือนเวลาวิ่งเข้าเส้นชัย ระยะที่กิโลเมตรสุดท้ายมักเป็นความทรมานที่เราต้องกัดฟันวิ่งให้ถึง การเดินไปให้ถึงบ้านพักมิดเดิลส์บูก็เช่นกัน แม้จะเป็นระยะที่เริ่มลดระดับลงจากเขา การเดินค่อนข้างง่ายกว่าหลายวันที่ผ่านมา แต่กลับเป็นวันที่ทรมานที่สุดและยาวนานที่สุด บางจุดที่ยังมีหิมะปกคลุมเป็นทางลง ฉันใช้วิธีนั่งกับพื้นหิมะแล้วไถตัวลง พรืดเดียวถึงพื้น ต้องคอยใช้ไม้ค้ำเดินป่าช่วยยันเป็นพักๆ ไม่ให้น้ำหนักตัวเองไหลลงทางลาดเร็วเกินไป ถ้ากลิ้งคะมำจะพาลกลายร่างเป็น Snowball เอาง่ายๆ 

เดินมาพักหนึ่ง ฉันสังเกตเห็นกลุ่มก้อนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว พยายามเพ่งด้วยตาเปล่าก็เห็นแค่เป็นจุดดำๆ ตอนแรกพวกเรานึกว่าเป็นฝูงแกะ แต่แกะไม่วิ่งกันเป็นกลุ่มก้อนแบบที่พวกเราเห็น เลยใช้กล้องที่มี ส่องแบบระยะไกลสุด ถึงได้เห็น…

ภาพที่เห็นคือฝูงกวางเรนเดียร์ที่คนกล่าวถึงกันนักกันหนาว่ายากจะเห็นในอุทยานแห่งชาติที่นี่ พวกเราไม่แน่ใจว่าระยะจากที่เราเห็นมันไกลขนาดไหน แต่น่าจะอยู่ที่ระยะอย่างต่ำกว่า 3-4 กิโลเมตร ที่แปลกคือพวกเราแทบจะไม่ได้ยินเสียงการวิ่งของพวกมัน ปกติฝูงกวางใหญ่ขนาดนั้น วิ่งกรูด้วยกันแบบนั้น น่าจะมีเสียงดังสนั่นหุบเขา แต่ที่ได้ยินคือเสียงแว่วของลม นับเป็นบุญตาของพวกเราที่ได้เห็นภาพมหัศจรรย์นี้ เป็นการตบท้ายทริปการเดินทางวันสุดท้ายของพวกเราได้อย่างมีค่า งดงามต่อความทรงจำที่สุด 

ระยะทางทั้งหมดที่พวกเราเดินกันมา 5 วัน (พัก 1 วัน) ประมาณ 90 กิโลเมตร ถ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งทนทาน น่าจะใช้เวลาเดินได้ 3 – 4 วันก็จบ เทรลการเดินป่าที่ Hardangervidda National Park มีอีกไม่รู้กี่ร้อยสาย พวกเราหมายมั่นว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก เป็นประสบการณ์การเดินที่แม้จะเหนื่อยเข็ดเขี้ยว แต่ก็สวยงามไม่มีวันลืม 

นักเลงดักขอค่าผ่านทาง
พอบอกว่าไม่มีให้ นักเลงเลยเดินเรียงหน้าประชิดมากขึ้น ข่มขู่กันแบบยิ้มแย้ม

Write on The Cloud

Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

Avatar

ดวงยิหวา อุตรสินธุ์

เป็นลูกครึ่งล้านนากับมลายูที่พูดคำเมืองเพี้ยนและพูดมลายูไม่เป็น เป็นนักเดินทางเพราะคนรักชอบเดิน เป็นคนที่กลัวความสูงแต่รักการปีนป่ายหินและภูเขา และ เป็นคนที่แพ้ขนแมวแต่รักแมวสุดจิตสุดใจ