ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ในขณะที่ใครหลายคนหนีอากาศร้อนมากของช่วงนี้ไปพึ่งที่เย็น (กว่า) ประเทศญี่ปุ่นอาจเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่หลายคนมั่นหมายไปพักผ่อน บางคนอาจคิดว่าการแวะเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลายามท่องเที่ยวในต่างแดน แต่เมื่อลองเปลี่ยนนิยามเป็นการเดินทาง การทัศนศึกษา และตามล่าตราปั๊ม (แสตมป์) ของแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ดูบ้าง บางทีการเดินทางในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวอาจเปิดเผยมุมเล็กๆ ที่ทั้งน่าสนใจและดีต่อใจไม่มากก็น้อย
นี่คือตราปั๊มจากแหล่งเรียนรู้ 77 แห่ง จากทั้งหมด 80 แห่ง ที่เราแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนด้วย Grutto Pass 2017
เดือนเมษายนของทุกปี จะเป็นการเริ่มต้นของ Museum pass ในกรุงโตเกียว ที่มีชื่อเป็นทางการว่า Tokyo Museum Grutto Pass (東京ミュージアムぐるっとパス) แต่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า Grutto Pass คำว่าぐるっと (ออกเสียงคล้าย กุ-รุด-โต๊ะ) แปลง่ายๆ คือการเดินทางเป็นวงกลม และที่ต้องออกเสียงสามพยางค์ก็เพื่อช่วยในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่คนญี่ปุ่น!
Grutto Pass รวมทั้งบัตรผ่านและบัตรส่วนลดในการเข้าชมแหล่งเรียนรู้ เหตุที่ต้องใช้คำว่า ‘แหล่งเรียนรู้’ เพราะรวมพิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถาน หอศิลป์ ห้องแสดงงานศิลปะ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ตลอดจนอาคารอนุรักษ์อีกหลายแห่งไว้ในเล่มเดียวกัน
ในปีนี้ Grutto Pass 2018 รวมสถานที่ไว้มากถึง 92 แห่งทั่วมหานครโตเกียว ที่มาเป็นเล่มขนาดย่อมๆ เท่าฝ่ามือ สนนราคาที่ 2,200 เยน สามารถใช้ได้เป็นระยะเวลาสองเดือนนับจากวันที่ใช้งานวันแรก (นั่นคือสามารถซื้อเก็บไว้ก่อน แล้วใช้ทีหลังได้)
อ้างอิงจาก Grutto Pass 2018 มีระยะเวลาใช้งานหนึ่งปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 (แต่จะไม่มีขายหลังวันที่ 31 มกราคม 2562) สิ่งที่ดีงามสำหรับชาวต่างประเทศอย่างเราๆ คือ ภายในตัวเล่มเป็นสองภาษา (ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ) ซึ่งมีคำโปรยแนะนำสถานที่อย่างคร่าวๆ พร้อมด้วยรายละเอียดการเดินทางไปยังสถานที่นั้น ทั้งวัน-เวลาที่เปิดทำการและวันหยุด การเดินทางโดยอาศัยรถไฟหรือรถบัสและสถานีปลายทาง รวมถึงแผนที่ฉบับย่อของบริเวณใกล้เคียง ที่ช่วยทำให้การเดินทางแบบ offline ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด แม้ไม่มี WiFi และไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยก็ตาม
เนื่องจากแต่ละสถานที่ (โดยเฉพาะหอศิลป์) มักมีทั้งนิทรรศการที่จัดแสดงงานถาวรและงานจรที่ผลัดเปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงเวลา จึงทำให้แผ่นพับขนาด A4 ของ Grutto Pass ที่มักจัดวางให้เห็นและหยิบได้ฟรีภายในสถานีรถไฟใต้ดินจะเปลี่ยนทุก 6 เดือน เพื่ออัพเดตนิทรรศการที่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง
นี่คืิอแผ่นพับ Grutto Pass ตั้งแต่ปี 2014 – 2017 (ในปี 2016 จะเห็นทั้งแผ่นต้นปีและปลายปี) ด้านหน้าเล่ม เจ้าหน้าที่จะประทับวันที่เริ่มใช้งานและวันสุดท้ายที่ใช้ได้ (ในรูปคือ เริ่มใช้วันที่ 8 กรกฎาคม และสิ้นสุดในวันที่ 7 กันยายน) ภายในเล่มยังมี Stamp Rally Card เมื่อสะสมครบ 7 โซนที่กำหนด ก็ส่งไปชิงรางวัลได้อีกด้วย
Grutto Pass 2017 และ Stamp Rally Card
อ้างอิงจาก https://www.rekibun.or.jp/pdf/grutto/map_2018_01.pdf
ภายในเล่มมีการจัดเรียงแหล่งเรียนรู้ตามการจัดแบ่งพื้นที่เป็น 7 โซนหลัก ได้แก่ โซน 1 – 6 ในเขตกรุงโตเกียว และโซน 7 ในสามเมืองใกล้เคียง
- Ueno (โซนสีเหลือง)
- Tokyo station & Imperial Palace Area (โซนสีฟ้า)
- Minato-Shibuya-Meguro-Setagaya Area (โซนสีเขียว)
- Shinjuku-Nerima-Ikebukuro-Oji Area (โซนสีชมพู)
- Sumida-Fukagawa-Bayside Area (โซนสีส้ม ด้านขวา)
- Tama Area (โซนสีน้ำตาล ด้านซ้าย)
- Beyond Tokyo: Kanagawa, Chiba, Saitama
จากประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ใช้ Grutto Pass 2014 ออกสำรวจครบทั้ง 78 สถานที่ และซื้อหา Grutto Pass 2015 และ 2016 ไว้ในครอบครอง เพื่อใช้แวะไปสถานที่บางแห่งที่ชอบใจและแหล่งเรียนรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติม ก่อนจะพยายามสะสมตราปั๊มอีกครั้งใน Grutto Pass 2017 ที่สุดท้ายเก็บได้ 77 จากทั้งหมด 80 แห่ง
แต่ถ้าต้องเลือกเพียง 3 สถานที่เพื่อให้คุ้มค่าตั๋วหนึ่งเล่ม ขอแนะนำแหล่งเรียนรู้ 3 แห่งนี้เลย
Chihiro Art Museum Tokyo
(ค่าเข้าชมปกติ 800 เยน)
ภาพวาดสีน้ำของคุณ Chihiro Iwasaki ช่างละมุนและแสนอบอุ่น ภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเด็กและดอกไม้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจดจำงานของเธอได้จากภาพประกอบในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง ‘โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง’ นอกเหนือจากนิทรรศการงานศิลปะแล้ว ตัวอาคารยังออกแบบโดย Naito Architect & Associates ถ้าใครชื่นชอบผลงานการออกแบบสถาปัตยกรรมสวยๆ ของ Hiroshi Naito ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน
Matsuoka Museum of Art
(ค่าเข้าชมปกติ 800 เยน)
ที่นี่ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Seijiro Matsuoka ผู้ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้คนต่างหลงลืมคนตาย ไม่ว่าผู้นั้นจะเคยยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ศิลปะต่างหากที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดังนั้นเขาจึงฝันที่จะแบ่งปันศิลปวัตถุที่เขาสะสมให้คนทั่วไปได้ชื่นชม
ภายในอาคารสองชั้นมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ (มัมมี่และเครื่องปั้นดินเผา) งานประติมากรรมนูนต่ำ (ภาพสลัก หน้าบัน ทับหลัง) งานประติมากรรมลอยตัว (โดยเฉพาะงานของ Henry Moore และ Émile Antoine Bordelles รวมถึงพระพุทธรูปและเทวรูปจากเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์) ที่เป็นนิทรรศการถาวร ส่วนภาพวาดแบบญี่ปุ่น (Nihonga) และงานเซรามิกจากยุคต่างๆ จะเป็นนิทรรศการชั่วคราวที่จะสลับสับเปลี่ยนมาให้รื่นรมย์ นอกจากนี้ยังมีสวนร่มรื่นให้ชื่นชมอีกด้วย
Sato Sakura Museum Tokyo
(ค่าเข้าชมปกติ 500 เยน)
แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เป็นจุดชมดอกซากุระที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว แต่ดอกซากุระที่แสนบอบบางจะเบ่งบานเพียงเวลาสั้นๆ แล้วก็ร่วงโรยไป ดังนั้นหากใครพลาด สถานที่แห่งนี้อาจช่วยทุเลาอาการขาดสีชมพูและความหวานได้บ้าง เพราะอาคารทั้งสามชั้นคัดสรรเฉพาะภาพวาดเพื่อให้เชยชมดอกซากุระบานได้ทั้งปี เดินทางสะดวกเพียง 5 นาทีจากสถานี Naka-Meguro จะเจอตึกที่มี façade สวยเด่น ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ (วาด) แต่ก็แอบถ่ายแสงและเงามา…น่าจะไม่เป็นไร ;D
*รายละเอียดของ Grutto Pass 2018 และแหล่งเรียนรู้ทั้ง 92 แห่ง สามารถอ่านได้ที่นี่
*นอกจากจะซื้อ Grutto Pass ได้จากทุกแหล่งเรียนรู้ที่เข้าร่วมโครงการแล้ว ยังสามารถซื้อแบบ combo set (Grutto Pass + Tokyo Metro 24-hour ticket อีกสองใบ) ในราคา 2,870 เยน ได้ที่ Tokyo Metro Pass Offices ในบางสถานีรถไฟใต้ดิน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่
ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ