“เราทำอะไรได้บ้างเพื่อให้พนักงานที่ทำงานกับเรามานานมีชีวิตที่ดีหลังเกษียณ”
เป็นคำถามที่ แบม-วัชรพงษ์ เหล่าประภัสสร ผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของ บริษัท แกรนด์ นิตแวร์ แมนูแฟคเจอร์ริ่ง จำกัด ถามกับตัวเอง จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลใส่ใจการเงินของพนักงาน
ผูกพันมานาน อยากให้เขาเกษียณสบาย ยิ้มได้ และมีความสุข นี่คือคำตอบของแบม
สำหรับแบม การเงินอยู่ในชีวิตของทุกคนแต่เรากลับมองข้ามไป สำหรับคนรากหญ้าแทบไม่มีใครสอนวิธีใช้เงิน ทายาทบริษัทสิ่งทอสนใจเรื่องการเงินและการออมอยู่แล้ว จึงอยากให้พนักงานทุกคนของ Grand Knitwear ได้เรียนรู้เรื่องนี้

แบมเริ่มทำงานที่โรงงานประมาณ พ.ศ. 2552 มีพนักงานอยู่ 400 กว่าคน “ผมสอนพนักงานทั้งโรงงานเรื่องการบริหารเงิน สอนทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย สมัยนั้นยังไม่มี YouTube ยังไม่มี Money Coach หรือกูรูทางการเงิน ความรู้ที่สอนหาจากเอกสาร สื่อการสอน คู่มือต่าง ๆ จากทางเว็บไซต์ขององค์กรรัฐ สอนแล้วมีการบ้านให้ลงบัญชีรายจ่ายแยกตามหมวดหมู่ ให้ส่งการบ้าน ตรวจการบ้านให้ด้วย เพื่อที่ผมจะได้ให้คำแนะนำได้
“ทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่แล้วเลิกไป เพราะตรวจการบ้านไม่ทัน พอตรวจไม่ทันพนักงานก็เลิกส่งการบ้าน และพนักงานส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจ จึงกลายเป็นว่าเหนื่อยมากกับความพยายามให้ความรู้ให้พนักงานจำนวนมาก และไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ สอนแบบนี้อยู่หลายรอบ ทำ ๆ หยุด ๆ สักพักก็เลิกไป” แบมเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการดูแลการเงินของพนักงาน

แม้จะหยุดสอน แต่ความตั้งใจเดิมยังอยู่ ทุกปีเมื่อมีพนักงานเกษียณ เขาจะเรียกพนักงานที่เกษียณทุกคนมาคุยถึงแผนการใช้ชีวิตหลังจากนี้ พบว่ามีพนักงานอยู่ 2 กลุ่มที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
กลุ่มแรกยังมีภาระหนี้สินที่ยังใช้ไม่หมด เงินก้อนหลักแสนที่บริษัทมอบให้ใช้หลังเกษียณบางคนยังไม่พอใช้หนี้ ชีวิตหลังจากนั้นก็ไม่มีรายได้ ถึงแม้บริษัทจะมีนโยบายให้ต่อสัญญาจ้างแบบปีต่อปีสำหรับพนักงานที่ยังทำงานต่อได้ แต่ภาระเรื่องเงินที่พนักงานกลุ่มนี้แบกรับไว้ก็ยังดูสาหัส
หลาย ๆ กรณี ภาระเหล่านี้เกิดจากความจำเป็น เช่น มีลูกช้า เป็นสมาชิกคนเดียวที่หาเลี้ยงครอบครัว บางกรณีเป็นหนี้สินที่เกิดจากของครอบครัว ญาติพี่น้องต่างจังหวัด ทุกปีพนักงานกลุ่มนี้มีสัดส่วนที่มากพอสมควร
อัตราส่วนของพนักงานที่เกษียณแล้วยิ้มได้ มีแผนชีวิตที่ดีมีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ วางแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณร่วมกับครอบครัว เช่น กลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด บางคนมีบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง มีเงินทุนเปิดร้านขายของ ลงจักรเย็บผ้าเองที่บ้านได้เพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ กลุ่มนี้จะมาขอบคุณบริษัทที่ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
แบมคุ้นเคยกับพี่ ๆ พนักงานที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ Grand Knitwear เป็นโรงงานรับจ้างผลิตเสื้อผ้าย่านบางขุนเทียนเมื่อ 40 กว่าปีก่อน อายุของโรงงานที่อยู่ในวัยที่ไล่เลี่ยกับแบมที่เกิดก่อนโรงงานเพียง 3 ปี พนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาในวัยเด็กที่เคยเข้ามาที่โรงงานก็เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่

วันที่กลับมาทำงาน พนักงานหลายคนอยู่ในวัยเกษียณแล้ว การเห็นญาติผู้ใหญ่ลำบากจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้กลับมาเริ่มทำกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการเงินกับพนักงานอีกครั้ง ครั้งนี้เจาะกลุ่มพนักงานใกล้เกษียณตั้งแต่อายุ 50 ปีเป็นหลัก เริ่มเรียกพนักงานคุยทีละคน บางคนมีหนี้ เก็บเงินใช้หนี้ บางคนไม่มีหนี้ ก็เริ่มต้นเก็บออมเงิน ที่ Grand Knitwear พนักงานเกษียณตอนอายุ 55 ปีเท่ากันทุกคน มีเวลา 5 ปีก่อนเกษียณ
“เราชวนคุยด้วยตัวเลขว่าหลังเกษียณคิดว่าต้องใช้เงินวันละเท่าไหร่ คำนวณเป็นรายเดือน รายปีเป็นตัวเลขให้พนักงานเห็นชัด ๆ ว่าเงินแสนที่ได้ไปจะใช้เลี้ยงชีพอยู่ได้กี่ปี ถ้าอายุยืน เงินก้อนที่บริษัทให้แม้จะอยู่ในหลักแสนที่เหมือนดูเยอะก็อาจจะไม่พอใช้ก็ได้” เป็นการจุดประกายการออมเงินให้กลับพนักงานกลุ่มใกล้เกษียณให้หันมาเริ่มออมเงิน
นอกจากนี้ บริษัทยังสนันสนุนให้พนักงานออมเงินผ่านบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษีระยะ 2 ปี เป็นการออมเงินเท่า ๆ กันทุกเดือนตามความสมัครใจ บริษัทจะหักเงินเดือนส่งให้ธนาคารก่อนโอนเงินให้พนักงานและเก็บสมุดบัญชีเงินฝากนี้ไว้ ซึ่งมาขอดูได้ตลอดที่ฝ่าย HR วงเงินขั้นต่ำของการฝากอยู่ที่เดือนละ 500 บาท

ทุกปีพนักงานจะสมัครเข้าร่วมโครงการปีละประมาณ 40 คน แม้ว่าตอนจบโครงการจะมีเหลืออยู่ในโครงการประมาณ 30 กว่าคน คนที่ตกหล่นไประหว่างทางเป็นเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนจึงต้องยุติกลางคัน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แบมก็จะลงไปชวนคุยในทุกเคสว่าถึงสาเหตุความจำเป็น สำรวจทางเลือกอื่น ๆ ก่อนการถอนเงินฝากก่อนสิ้นสุดโครงการ
ตลอด 7 ปีที่ทำโครงการนี้ แม้พนักงานที่เข้าร่วมโครงการจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่จำนวนพนักงานที่ฝากเงินจนสิ้นสุดโครงการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คนที่ต้องหยุดออมไปในปีก่อนก็หันมาเริ่มใหม่ในปีถัดมา พนักงานบางคนที่ไม่ได้มีภาระทางการเงินมากนักก็ฝากเงินในหลักพัน บางคนฝาก 1 ใน 3 ของเงินเดือน ค่าเฉลี่ยการฝากเงินจะอยู่ที่เดือนละ 800 บาทต่อคน ตัวเลขที่ว่ามาถือว่าเป็นความสำเร็จของการปรับวินัยทางการออมเงินก่อนใช้จ่ายที่เห็นผลชัดเจน
พ.ศ.2561 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของการให้ความรู้ด้านการเงินกับพนักงานที่ทำให้พนักงานตื่นตัวมากขึ้น ช่วงนั้นธนาคารรัฐแห่งหนึ่งปล่อยกู้สินเชื่อในรูปแบบที่ให้มีผู้ค้ำประกันไขว้กัน 3 คนต่อ 1 สัญญาเงินกู้ ซึ่งเป็นเรื่องเสี่ยงหากมีเพียง 1 คนมีปัญหาเบี้ยวหนี้ พนักงานอีก 2 คนต้องแบกภาระหนี้ที่เกิดขึ้น บางคนที่ยื่นกู้ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้เงิน แต่เมื่อเพื่อนชวนก็พร้อมเป็นหนี้เพื่อให้ได้เงินมาก่อนส่วนจะใช้จ่ายอะไรค่อยว่ากันอีกที
เมื่อพนักงานติดต่อขอให้ออกหนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อยื่นขอสินเชื่อ แบมจึงใช้เป็นเงื่อนไขจัดสอนให้ความรู้การเงินเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ให้กับพนักงานเพื่อแลกกับหนังสือรับรองเงินเดือน สอนช่วงพักเที่ยงแบบสั้น ๆ วันละ 20 – 30 นาที เป็นระยะเวลา 1 เดือน ปูพื้นฐานความรู้ทางการเงินให้ก่อนไปยื่นขอกู้เงินกับธนาคาร เนื้อหาเน้นการบริหารเงินไม่ให้กระแสเงินสดติดลบ ครั้งนี้เป็นการให้ความรู้ที่ตรงกับสิ่งที่พนักงานต้องการ สอนให้รู้จักแก้ปัญหาการเงิน และเป็นการสอนจากความเข้าใจในตัวพนักงานจริง ๆ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่สอนพนักงานกลุ่มใหญ่ ซึ่งมีทั้งคนที่สนใจ ไม่สนใจ และแต่ละคนก็มีปัญหาทางการเงินที่ไม่เหมือนกัน

ความใส่ใจพนักงานรายบุคคลเป็นเวลาหลายปีพบหลายเรื่องที่สะเทือนใจ เช่น พนักงานนำเงินก้อนหลังเกษียณไปปล่อยกู้เพราะต้องการให้เงินงอกเงย ปรากฏว่าโดนโกงสูญเงินไปทั้งหมดในพริบตา ตัวพนักงานเองไม่มีเงินสำหรับอาหารกลางวัน แต่ลูกกลับขอเงินไปซื้ออาหารให้แมว เป็นต้น
หนี้สินส่วนใหญ่ของพนักงานที่แบมพบเกิดจากสาเหตุที่ควบคุมได้ยาก เช่น มีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน เงินก้อน และไม่มีเงินเก็บ จึงต้องใช้บริการบัตรกดเงินสด เมื่อวงเงินเต็มก็หันไปใช้เงินกู้นอกระบบ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการวงจรหนี้สิน
หลังจากนั้นปัญหาเริ่มต่อเนื่องตามมาด้วยความไม่รู้เรื่องการจัดการหนี้ เช่น จ่ายหนี้บัตรเครดิตด้วยวงเงินขั้นต่ำเพราะไม่รู้ว่าจ่ายมากกว่านั้นได้ และไม่รู้ว่ายอดที่ค้างจ่ายนั้นถูกคิดดอกเบี้ย หลายคนที่เรียนพากันหายสงสัยว่าจ่ายหนี้บัตรเครดิตมาเกือบ 10 ปีแล้ว ทำไมหนี้ยังไม่หมดสักที ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือพนักงานไม่รู้ว่าเงินกู้นอกระบบที่โฆษณาดอกเบี้ยร้อยละ 20 เป็นการคิดดอกเบี้ยต่อเดือน ถ้าคิดเป็นดอกเบี้ยต่อปีจะสูงถึง 240% ต่อปี ในขณะที่เงินกู้ในระบบคิดดอกเบี้ยต่อปี เช่น ดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี
เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะตัวเลขจึงเข้าใจผิดคิดว่าเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยต่ำกว่าจึงเลือกกู้นอกระบบ เงินที่ผ่อนใช้หนี้จึงเป็นการจ่ายแค่ดอกเบี้ย พวกเขาจึงใช้หนี้ได้ไม่หมด กลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าหนี้สินเกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยซึ่งบางส่วนเกิดจากสาเหตุนี้จริง แต่จากการลงไปพูดคุยกับพนักงานด้วยตัวเอง ทำให้แบมพบว่าภาระครอบครัวเป็นสาเหตุของปัญหาหนี้สินที่ทุกคนมีคล้ายกัน


พนักงานโรงงานซึ่งเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมดมีค่าใช้จ่ายดูแลทั้งครอบครัวตัวเองและส่งเงินกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อดูแลพ่อแม่ รวมไปถึงหลาน ๆ โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ว่าตัวเองมีรายได้ หนี้สินที่ต้องแบกรับอยู่เท่าไหร่ เรื่องนี้นำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยการให้พนักงานรวบรวมตัวเลขหนี้สิน รายได้ รายจ่าย เพื่อกลับไปคุยกับครอบครัวให้รับรู้ภาระเหล่านี้ร่วมกัน ก่อนเริ่มเข้าสู่การบริหารจัดการหนี้ พนักงานที่มีหนี้เงินกู้ผ่านบัตรเครดิตหลายใบมักปิดหนี้บัตรที่มีวงเงินน้อยก่อน แต่ที่ถูกคือต้องปิดหนี้ที่คิดดอกเบี้ยสูงก่อนเพื่อไม่ให้ยอดหนี้สูงขึ้นจากดอกเบี้ยทบต้น เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหม่ที่แบมได้รู้จากพนักงาน เมื่อลงไปสอนให้ความรู้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในครั้งนี้
นอกจากสนับสนุนเรื่องการออมแล้ว บริษัทยังมีสวัสดิการเรื่องหอพักพนักงาน ช่วยให้พนักงานประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้หลายพันบาทต่อเดือน และยังมีแปลงผักสวนครัวบริเวณหน้าโรงงาน การทำปุ๋ยหมักใช้ในแปลงเกษตรเพื่อให้พนักงานเก็บผลผลิตไปใช้ทำอาหาร ซึ่งนอกจากประหยัดแล้ว ยังพบว่าพวกเขาสนิทสนมกันผ่านแปลงผักสวนครัวแลกผลผลิตกันเอง

หลายคนอาจสงสัยว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเงินพนักงานนั้นเป็นการก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวพนักงานมากเกินไปหรือเปล่า แบมเชื่อมั่นว่า
“ชีวิตพนักงานดีขึ้น มีความสุข มีความมั่นคงในชีวิต ก็หมายถึงความมั่นคงของบริษัท พนักงานที่มีความกังวลเรื่องหนี้สิน ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีทางทำงานออกมาได้ดี
“ตัวอย่างง่าย ๆ บ่ายวันหวยออกทุกเดือน บรรยากาศในการทำงานเปลี่ยน คนที่ถูกหวยกินไม่มีอารมณ์ทำงาน ทำงานผิดพลาด คนที่มีปัญหาทางการเงินหนัก ๆ ก็เหมือนกัน ไม่มีอารมณ์ทำงาน งานไม่ออก หลาย ๆ กรณีนำสู่ปัญหาการลาออกหนีหนี้ ทำให้ต้องหาคนทำงานใหม่ ต้องเรียนรู้ฝึกฝนทักษะพนักงานใหม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นต้นทุนของธุรกิจ สู้เราดูแลใส่ใจพนักงานในเรื่องเงินที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตเขาทั้งวันนี้และอนาคต เป็นการจัดการเชิงป้องกัน เขามีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
ทายาทโรงงานสิ่งทอใช้เวลา 10 ปีให้พนักงานเชื่อใจ ปัจจุบันภาพรวมพนักงานหันมาใส่ใจให้ความสำคัญเรื่องเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะใกล้เกษียณหรือไม่ มีหนี้หรือเปล่า โดยแยกความสนใจออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีหนี้และกลุ่มที่ไม่มีหนี้ ทั้ง 2 กลุ่มต้องการความรู้ด้านการเงินที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องใช้บริการบริษัทภายนอกมาช่วยให้บริการความรู้เรื่องเงิน การจัดการหนี้ พร้อมทั้งมีแหล่งเงินทุนฉุกเฉินให้พนักงานกู้ยืมได้ หากเรียนรู้และทำการบ้าน ทำภารกิจผ่านแอปพลิเคชันครบถ้วน พนักงานหลายคนให้ลูก ๆ ช่วยทำภารกิจ การบ้านซึ่งกลายเป็นข้อดีทางอ้อมให้ลูก ๆ เรียนรู้การเงินและช่วยออมเงินไปพร้อมกัน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีหลายคนที่เกษียณไปพร้อมกับเงินเก็บหลักแสนซึ่งเป็นความภูมิใจของแบมที่ทุ่มเทให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ ปรับเปลี่ยนนิสัยทางการเงิน ส่งเสริมการออม มองหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินพนักงานอย่างยั่งยืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่ออยากให้พนักงานทุกคนของ Grand Knitwear เกษียณสบายและยิ้มได้ในวัยเกษียณ
