เสียงไดฟ์คอมพิวเตอร์ร้องดัง บอกเตือนความลึกเกิน 30 เมตร เราเหลือบตามองไปที่ข้อมืออึดใจหนึ่ง แล้วดำลงไปต่อ กระเบนลายหินอ่อนตัวใหญ่อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว
กล้องพร้อมในมือ ตามองผ่านกล้อง เห็นเพียงแค่กระเบนอยู่ในจอภาพ เสียงเตือนจางหายไป เสียงฟองอากาศก็จางหายไป ทุกอย่างเงียบสงัดเหลือแค่เรากับภาพในจอ
อีกนิดหนึ่ง… อีกนิดหนึ่ง… อีกนิดหนึ่ง… ทุกอย่างในจอภาพสวยอย่างที่อยากได้ นิ้วมือกดชัตเตอร์ลงเบา ๆ
พอกดชัตเตอร์ ทุกอย่างกระจ่างขึ้นทันที เสียงเตือนของไดฟ์คอมพิวเตอร์ยังร้องดังไม่หยุด มองไปรอบ ๆ ตัวไม่เห็นเพื่อนนักดำน้ำที่ลงมาด้วยกัน พอแหงนหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นว่าทุกคนลอยอยู่สูงจากเราไปไกล เหลือบไปดูไดฟ์คอมฯ เห็นตัวเลข 37 เมตร พร้อมกับเวลาที่เหลือแค่เพียง 3 นาที ก่อนจะเข้าสู่โหมด Decompression ซึ่งนั่นหมายถึงความอันตรายและเวลาที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อจะขึ้นจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
เรารีบเตะขาลอยกลับขึ้นมาสมทบกับกลุ่มได้ทันเวลา
เพื่อนคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า กล้องเป็นอุปกรณ์ที่ชั่วร้าย เวลาที่เราถือกล้อง ความอยากได้ภาพจะขยายตัวครอบคลุมเราไว้โดยบดบังสิ่งอื่นรอบข้างไปหมดสิ้น และบางเวลามันก็กระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
กองหินริเชลิวตั้งอยู่ทางฝั่งอันดามันซึ่งจะดำน้ำได้แค่ประมาณ 7 เดือนต่อปี แต่ละปีช่วงต้นซีซันคือช่วงที่ทุกคนจะลุ้นและตามหาว่าสัตว์ต่าง ๆ อยู่ตรงไหนของกอง เหมือนเป็นขุมทรัพย์ซึ่งจะกลายเป็นแผนที่สมบัติให้นักดำน้ำทุกคนออกตามหา
ตำแหน่งอ้างอิงของกองจุดหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก กำแพงที่ปกคลุมด้วยกัลปังหาสีเหลืองล้วน กำแพงนี้เป็นเอกลักษณ์ที่อยู่คู่กองหินริเชลิวมาโดยตลอด ปีนี้มีม้าน้ำสีเหลืองมาแอบอยู่ที่ตรงนี้ ม้าน้ำเป็นสัตว์ที่อาศัยการพรางตัวเพื่ออยู่รอด พวกมันจึงไม่ทำตัวโดดเด่น การจะค้นหาหรือถ่ายภาพบางทีต้องหาช่องว่างระหว่างกิ่งกัลปังหาที่ขึ้นซ้อนกันเข้าไป
หลังจากม้าน้ำปรากฏตัวบนแผนที่สมบัติได้ประมาณ 2 เดือน ที่พื้นกำแพงเหลืองมีเศษซากกัลปังหาหักตกอยู่มากมาย เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่าเป็นความโชคร้ายที่ม้าน้ำมาอยู่ตรงจุดนี้ กิ่งหักส่วนหนึ่งเกิดจากความพยายามแหวกเปิดทางเพื่อถ่ายภาพม้าน้ำ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากปลายฟินของนักดำน้ำเตะหักตอนพยายามหาช่องเพื่อดูม้าน้ำ
ภาพม้าน้ำในกล้องทำให้กัลปังหาสีเหลืองเลือนหายไป มันบดบังทุกอย่างรอบข้าง
ความโชคดีคือหลังจากนั้นไม่นานม้าน้ำตัวนั้นก็หายไปจากกำแพงสีเหลือง ไม่รู้ว่าย้ายหนีไปไหน ไม่มีใครพบเห็นมันอีก
เราแอบดีใจอยู่ลับ ๆ กับการหายไปนี้
ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน มีปลาสับปะรดเข้ามาอาศัยอยู่ในกองหินริเชลิว ซอกหินที่เป็นที่อยู่ของปลาสับปะรดมีปลาไหลมอเรย์ตัวใหญ่จับจองอยู่ ทุกครั้งที่แวะไปดู เราก็ลุ้นว่ามอเรย์จะกินปลาหายากตัวนี้ไปรึยัง
เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่พบเจอปลาสับปะรดในเมืองไทย เพราะโดยปกติพวกมันอาศัยในพื้นที่น้ำเย็นจัด ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ปลาสับปะรดเข้ามาอยู่ในกองหินริเชลิว แต่ไม่ใช่ปลาที่จะเจอได้บ่อย ๆ นับว่าเป็นของแปลกที่นักดำน้ำส่วนใหญ่ต้องขอแวะไปถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย
ทางเข้าไปดูปลาสับปะรดเป็นกำแพงเตี้ย ๆ 2 ด้าน แคบแบบที่เข้าไปได้ทีละคน ที่ตรงนี้มีปะการัง สาหร่ายและกัลปังหาขึ้นแซมกันตามปกติ เวลาเข้าไปก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
หลังจากผ่านมาได้ 3 เดือน พื้นทางเข้าสู่โพรงปลาสับปะรดกลายเป็นพื้นทรายราบสนิท ปะการัง สาหร่าย กัลปังหาที่มีหายไปหมด การเข้าออกของนักดำน้ำที่แวะมาทุกวันค่อย ๆ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่พื้นค่อย ๆ ตายหายไป คล้าย ๆ กับเส้นทางถนนที่โดนล้อรถบดอยู่ตลอดจนต้นหญ้าเติบโตไม่ได้
หลายครั้งที่เราลอยตัวอยู่ข้างนอกแล้วต้องคอยหยิบยกฟินของเพื่อนที่กำลังถ่ายรูปอยู่ หลบออกจากการพาดผ่านต้นกัลปังหา เพราะสมาธิของเพื่อนอยู่ที่ตา ไม่ทันได้รู้ตัวว่าปลายฟินไปพาดอยู่ที่ไหน
ครั้งหนึ่งที่เราถอยตัวออกมาจากซอก แล้วหันไปเห็นรอยปริแตกที่เกิดจากแรงกดทับบนปะการังถ้วยส้ม เราไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเราหรือนักดำน้ำคนก่อนหน้า แต่ก็ทำให้เราสลด และส่งคำขอโทษปะการังออกไปในใจ
ขอโทษด้วยที่เผลอไปทำร้ายเธอ ขอโทษด้วยที่เราไม่ทันได้เห็นเธอ ขอโทษด้วยที่ความอยากได้ภาพของเราบดบังพวกเธอ
ทากทะเลสีชมพูนอนเหยียดอยู่ในแผ่นซากปะการังถูกยื่นมาให้เราที่ใต้น้ำ มันนอนนิ่งอย่างสบาย สบายเสียจนคนหยิบยกพาไปที่ไหนก็ได้โดยที่มันไม่รู้ตัว
เราวางเตียงปะการังของทากสีชมพูบนพื้นอย่างเบามือ หมุนหามุมที่ต้องการแล้วกดถ่ายมาแค่ภาพเดียว ด้วยความรู้สึกเกรงใจที่รบกวนช่วงเวลาหลับสบายของมัน
ทากทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตที่นักถ่ายภาพมือใหม่ชอบมาก เพราะสีสันสดใส พวกมันขยับตัวช้า กล้องรุ่นธรรมดา ๆ กับไฟฉาย 1 อันก็ถ่ายภาพสวย ๆ ได้ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราบังคับพวกมันได้ไม่ยาก ทากทะเลตัวเล็กคล้ายกับมดแมลงที่เราเขี่ยต้อนให้หันหรือเดินไปได้ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นการรังแกพวกมัน เขี่ยให้มันเดินขึ้นไปบนก้อนหิน แล้วหยิบหินหมุนวนให้มันเดินไปไม่รู้จบก็ทำได้
ภาพถ่ายสวย ๆ ที่ผ่านตาบนโซเชียล สร้างแรงกระตุ้นให้เราอยากได้ภาพถ่ายแบบเดียวกัน ภาพหน้าตรงของทาก ภาพท่าโพสยกตัวชูสูง
ความอยากได้ภาพกระตุ้นให้เราจัดแต่งท่าทางและกักขังให้มันเดินวนอยู่จนกว่าจะได้ภาพตามที่ต้องการ อยากได้ภาพหน้าตรง อยากได้ภาพมุมข้าง กดชัตเตอร์แล้วยังไม่ชัดขอใหม่อีกรอบ มีเส้นบาง ๆ คั่นอยู่ระหว่างความพยายามของช่างภาพกับการรังแกสัตว์
เมื่อกลับมาดูทีหลัง ภาพได้มาจากการบีบบังคับจนเกินพอดี ส่วนใหญ่จะกลายเป็นภาพที่ถูกทิ้งไว้ในฮาร์ดดิสก์ ตอนที่ถ่ายเรามองไม่เห็นท่าทางที่ไม่ดูเป็นธรรมชาติ สภาพที่อยู่ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างถูกบดบังด้วยความอยากได้ภาพ
เราลอยตัวมองกุ้งตัวตลกที่เป็นดาราประจำกองหินริเชลิวอยู่จากระยะไกล กุ้ง 2 ตัวยืนเด่นอยู่บนหินที่เปิดโล่ง เป็นภาพแปลกตาที่ไม่ค่อยได้เห็น
ตามปกติแล้วพวกมันจะแอบอยู่ในซอกหิน พร้อมขาดาวทะเลที่เป็นอาหารของมัน ด้านนอกซอกหินรายล้อมด้วยปลากะพงและปลาเก๋า นักล่าที่พร้อมจะคาบพวกมันไปเป็นมื้ออาหารพอดีคำได้ง่าย ๆ
ซากขาดาวทะเลซึ่งเป็นอาหารโปรดยังวางคาอยู่ในซอกที่เป็นบ้านประจำ ตามปกติแล้วพวกมันจะเกาะขาดาวทะเลไว้อย่างหวงแหน อาหารยังไม่หมด เราไม่แน่ใจว่าทำไมพวกมันถึงเดินออกไปเสี่ยงตายด้านนอก
หลังจากยืนนิ่ง ๆ กันสักพัก กุ้ง 2 ตัวค่อย ๆ เดินตามกันกลับเข้าโพรงไปอย่างช้า ๆ ไต่หินไปเรื่อย ๆ ขึ้นบ้างลงบ้าง เมื่อถึงโพรงพวกมันก็ตรงกลับไปกอดขาดาวทะเลที่วางทิ้งไว้ แล้วรีบฉีกกินอาหารต่อ
ในกลุ่มนักดำน้ำที่สนิทกันเคยพูดติดตลกกันว่า ถ้าถ่ายภาพยากนัก ก็หยิบมันออกมาจากบ้านเลย เป็นคำพูดเล่นที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนบ้าทำลงไปจริง ๆ แต่วันนี้ที่ได้เห็นพวกมันออกมายืนนอกโพรง เราเริ่มไม่แน่ใจ
เพราะคนธรรมดาอาจจะกลายเป็นบ้าจากการถือกล้องถ่ายภาพก็เป็นไปได้
เพื่อนคนเดียวกันกับที่เคยเรียกกล้องว่าเป็นอุปกรณ์ชั่วร้าย ชอบถามว่า “พวกเราถ่ายรูปไปทำไมกัน” บางคนตอบว่าเพื่อบันทึกประสบการณ์ บางคนตอบว่าเพื่อบันทึกเหตุการณ์ธรรมชาติ บางคนตอบว่าเพื่อเอามาเล่าต่อให้คนอื่นได้รับรู้
ไม่ว่าจะตอบว่าอะไร เหตุผลเหล่านั้นเพียงพอให้เราโยนสามัญสำนึกของนักดำน้ำที่รักธรรมชาติทิ้งไปรึเปล่า หรือก็เป็นแค่ข้ออ้างให้ทำตามใจเพื่อให้ได้ภาพมาเท่านั้น