“ออฟฟิศผมเปิดแอร์ 10 วันต่อปี”
แก้ว-คำรน สุทธิ เล่าถึงโฮมออฟฟิศสาขาภูเก็ตของเขาที่ทั้งโปร่งสบายและทำด้วยวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้าง กลายเป็นอาคารอันแสนร่มรื่น แถมยังช่วยประหยัดพลังงานไปหลายเท่า
แก้วคือผู้ก่อตั้งบริษัท Eco Architect ที่ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบอาคารบ้านเรือน ด้วยแนวคิด ‘หายใจร่วมกับธรรมชาติ’ คือการออกแบบให้สอดคล้องกับพื้นที่และสภาพอากาศ ปรับเปลี่ยนสิ่งเดิมให้น้อย แต่ใช้สอยประโยชน์จากสิ่งที่มีให้มาก
เขาเริ่มธุรกิจนี้เมื่อ 20 ปีก่อน ในยุคที่บ้านเรายังไม่คุ้นหูคำว่ารักษ์โลก ไม่ค่อยอินกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากนัก ช่วงปีแรกจึงแทบไม่มีคนรู้จัก แต่ตอนนี้ Eco Architect มีงานล้นมือจนต้องขยายสาขามายังกรุงเทพมหานคร และที่สำคัญคือบริษัทแห่งนี้เติบโตไปพร้อมกับธรรมชาติและชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย


แรงผลักดันจากบทเรียนราคาแพง
แก้วเป็นคนบุรีรัมย์ เรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ขอนแก่น แล้วเริ่มงานแรกที่จังหวัดภูเก็ตในฐานะพนักงานประจำของบริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่ง
หากย้อนไปในยุคสมัยนั้น เรามักจะเห็นภาพบ้านทรงกล่องสุดเท่ในนิตยสาร ยิ่งมีกระจกรอบด้านเผยให้เห็นวิวธรรมชาติด้านนอก ยิ่งชวนให้อยากมีบ้านแบบนี้สักหลัง เช่นเดียวกับแก้วที่หยิบเอาภาพดังกล่าวมาเป็นแนวคิดการออกแบบบ้านให้ลูกค้า
ทว่าสภาพอากาศที่ภูเก็ตกับภาพในนิตยสารเล่มนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บ้านที่ออกมาจึงปิดม่านทึบ ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสได้เปิดโล่งรับลมและแสงแดด
เหตุการณ์นี้สร้างความรู้สึกผิดฝังลึกอยู่ในใจของแก้ว และกลายเป็นแรงผลักสำคัญให้เขาลาออกจากงานไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน Ecological Architecture ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นเรื่องการออกแบบอย่างเข้าใจธรรมชาติโดยเฉพาะ


“ผมคิดว่าผมเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น แล้วหยิบจับมาใช้ประโยชน์ เช่น ดินที่มีอุณหภูมิ 23 – 24 องศาเซลเซียสเสมอ เราจะใช้ความเย็นจากดินได้ยังไง เราเข้าใจเรื่องการถ่ายเทความร้อน (Heat Transfer) มากขึ้น เช่น ยืนกางร่มใต้ต้นไม้เย็นกว่ากลางแดด เพราะต้นไม้ดูดซับรังสีจากแดดไปปรุงอาหาร 70% มาถึงตัวเราแค่ 30% แต่อยู่กลางแดด ร่มกันแค่แสง ไม่ได้กันรังสี เพราะมันบางมาก และยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกมากมาย”
หลังเรียนจบ แก้วเดินทางกลับภูเก็ตเพื่อนำความรู้กลับมาปรับปรุงบ้านหลังนั้น และก่อตั้งบริษัท Eco Architect ขึ้นมา
“มันเป็นเหมือนตราบาปในใจเราตลอด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงไม่ทำแบบนี้ เราจึงกลับไปหาข้อมูล ฝึกฝน แล้วกลับมาแก้ไข อาจจะแก้ไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อยเวลานั่งในบ้านหลังนั้นแล้วมีกระแสลมให้หายใจอย่างเต็มปอดมากขึ้น ซึ่งเราพยายามบอกตัวเองว่า ต่อไปเวลาออกแบบจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้”


บ้านที่หายใจร่วมกับธรรมชาติ
แนวคิดหลักของ Eco Architect คือการออกแบบ ‘บ้านที่หายใจร่วมกับธรรมชาติ’ หมายถึงการออกแบบโดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อม แต่พึ่งพาประโยชน์จากดิน น้ำ ลม ไฟ ให้มากที่สุด เพื่อให้บ้าน คน และธรรมชาติ เติบโตไปด้วยกัน
แม้จะเป็นแนวคิดที่ดีและแตกต่าง แต่ช่วงแรกบริษัทของเขาแทบไม่มีลูกค้า เหมือนสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมยุคนั้นที่ขายได้แบบเฉพาะกลุ่มมากกว่าแทรกซึมในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป ลูกค้ากลุ่มแรก ๆ จึงเป็นชาวต่างชาติที่อยากทำบ้านพักอาศัยในวัยเกษียณ และลูกค้าคนไทยที่อินเรื่องสิ่งแวดล้อม

“บางคนพอเข้าไปอยู่แล้วหลงรักในความสบาย ความน่าอยู่ การประหยัดพลังงาน และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เขาเลยบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ เพื่อนส่งต่อเพื่อน พ่อส่งต่อลูก เป็นเครือข่ายที่ผสม ๆ กัน”
หลังจากนั้น ลูกค้าของ Eco Architect จึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากการบอกต่อและการสื่อสารตัวตนที่ชัดเจนบนโลกออนไลน์
วันเวลาผ่านไป งานจึงเริ่มล้นมือจนเขาต้องขยายอีกสาขามายังกรุงเทพมหานคร แถมยังมีแผนจะขยายต่อไปในภูมิภาคอื่น ๆ อีกในอนาคต
“ไม่ใช่ว่าเราต้องรวย เลยต้องมีหลายสาขา แต่เราอยากทำบางอย่างเพื่อส่งสัญญาณให้คนได้ตระหนักและรักสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ด้วยกำลัง เราคงไม่เดินแบบก้าวกระโดด ค่อย ๆ โตไปดีกว่า”


เติบโตไปพร้อมกับธรรมชาติและชุมชน
นอกจากตัวตนที่ชัดเจนแล้ว วิธีการทำงานของเขายังละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
“ผมมีแบบสอบถามให้กรอกก่อน แล้วคุยกันสักพัก” แก้วเล่าถึงกระบวนการแรกที่ต้องพูดคุยถึงความต้องการของลูกค้าให้ชัดเจนก่อนว่าตรงกับสิ่งที่ Eco Architect ทำมากน้อยแค่ไหน ก่อนจะตัดสินใจรับงาน เพราะบ้านที่เขาออกแบบไม่ได้เน้นรูปทรงหวือหวา แต่เน้นความเรียบง่ายและตอบโจทย์สภาพอากาศของพื้นที่นั้นมากกว่า โดยยึดแก่นหลักการทำงานทั้ง 4 ข้อ
หนึ่ง Eco Proficiency คือการออกแบบบ้านทุกหลังให้อยู่สบายด้วยวิถีธรรมชาติ
สอง Human Centric คือการออกแบบให้ตอบรับวิถีชีวิตและความต้องการของผู้อยู่อาศัย
สาม Vernacular Architecture คือการออกแบบให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น
สี่ Harmony คือคน บ้าน ธรรมชาติ อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและกลมกลืนกัน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่วิธีการออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงการเก็บข้อมูลหลังอยู่อาศัยจริง

“เราศึกษาลงลึกเลยว่าอะไรที่เป็นแนวคิดหลักของที่นี่ แล้วไปหาข้อมูลว่ายังมีช่างท้องถิ่นหลงเหลืออยู่ไหม เพื่อดึงภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นมาใช้ ให้ลูกหลานได้เห็นว่ามีเรื่องพวกนี้อยู่นะ เช่น จันทบุรี มีสถาปัตยกรรมขนมปังขิงที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลักษณะเด่นคือมีพวกซุ้มโค้ง ลวดลายขนมปังขิง ซึ่งบ้านสมัยนั้นอยู่ติดริมแม่น้ำ เราพยายามหาข้อมูลพวกนี้และทำให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้
“เราไม่ได้มองแค่บ้าน แต่มองว่าชาวบ้านจะมีรายได้ด้วยได้ไหม เพราะเราไม่อยากโตคนเดียว แต่อยากโตไปพร้อมกับชุมชนที่เราอยู่”
“ถ้าชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างโรงแรมหรือบ้านที่ตั้งอยู่ตรงนั้น เขาก็จะเกิดความรัก ความหวงแหน ซึ่งมันดีมากเลย แม้แต่เรื่องการบริหารจัดการ เราพยายามคุยกับเจ้าของว่าไม่ต้องทำครัวใหญ่ ๆ ดีไหม เพราะแถวนี้อาหารอร่อยมาก เป็นไปได้ไหม ถ้าเราให้ยายมา ลุงดี หรือร้านแถวนั้นช่วยส่งอาหารอร่อย ๆ มาเสิร์ฟให้ลูกค้าตอนเช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารัก เพราะเราไม่ได้โตไปคนเดียว แล้วคนก็จะเริ่มรู้จักยายมา ลุงดี ว่าเขาทอดปาท่องโก๋อร่อยนะ ช่วยให้เขามีรายได้ แถมเราไม่ต้องจ้างพ่อครัว-แม่ครัวใหม่ด้วย”


ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ข้อดีของการทำงานร่วมกับธรรมชาติและชุมชน นอกจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้ผู้พักอาศัยประหยัดตั้งแต่งบประมาณการก่อสร้างไปจนถึงค่าไฟอีกด้วย
“อย่างโรงแรม The Motifs Eco Hotel เราพยายามใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นเป็นหลัก เช่น อิฐมอญเด่นจันทร์ที่ผลิตในจันทบุรี ก็ประหยัดค่าขนส่ง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกไปด้วย
“เราพยายามใช้วัสดุท้องถิ่น ผสมกับหลักการของธรรมชาติ บางทีเป็นเรื่องการเจาะช่องให้ถูกทิศถูกทาง ซึ่งบ้านทุกหลังมีประตู มีหน้าต่างอยู่แล้ว แต่อาจจะเจาะตำแหน่งที่พอเหมาะ เพื่อให้เกิดความเร็วลมที่พอดี หรือการยื่นชายคาที่พอเหมาะ เพื่อกันแดดให้ได้ในช่วงเวลาแดดจัด”

วิธีการนี้ช่วยให้บ้านเย็นสบายโดยธรรมชาติ พึ่งพาเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลง ค่าใช้จ่ายระหว่างอยู่อาศัยจึงลดลงไปด้วย โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า แก้วเล่าว่าเขาเคยขอให้ทาง The Motifs Eco Hotel เก็บข้อมูลค่าไฟตลอด 1 ปี แล้วนำมาเทียบกับค่าไฟของโรงแรมที่มีขนาดและรูปแบบใกล้เคียงกัน พบว่าค่าไฟของโรงแรมแห่งนี้น้อยกว่าโรงแรมทั่วไปกว่าครึ่ง เพราะห้องพักไม่ร้อน อากาศถ่ายเท เครื่องปรับอากาศจึงทำงานน้อยลงไปด้วย
“แค่เราเห็นคุณภาพชีวิตลูกค้าดีขึ้น เขาได้หายใจเต็มปอดกับบ้านที่อยู่สบายและเหมาะกับเขาจริง ๆ เราก็รู้สึกภูมิใจแล้ว เรามีความสุขมากเวลาไปเยี่ยม ไปสัมภาษณ์เขา แล้วเขาบอกว่าอยู่สบายมากจนไม่อยากออกไปไหน มันเหมือนที่ชาร์จแบตจริง ๆ พอฟังแล้วเรารู้สึกมีพลังอยากจะทำต่อไป เหมือนเราช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับเมืองได้ด้วย
“เราเป็นมนุษย์ ความสุขเป็นเรื่องที่ไม่ต้องออกไปไกลตัว แค่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่กับธรรมชาติ พอเรามีความสุข มันส่งต่ออะไรดี ๆ ให้กับคนอื่นได้ สุดท้ายอาจจะกลายเป็นองค์รวม ไม่ใช่แค่สถาปัตยกรรมที่อยู่สบาย แต่กลายเป็นชุมชนที่มีความสุขได้ ผมเชื่ออย่างนั้น” แก้วกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

