The Cloud X สารคดีสัญชาติไทย
เรากำลังลอยตัวอยู่กลางทะเล น้ำเย็น 24 องศา แต่เราไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นนั้นสักเท่าไหร่ สมาธิจดจ้องและเพ่งสายตาไปยังเงาเลือนๆ 2 ก้อนที่ใต้น้ำเบื้องล่าง กว่าจะรู้ตัวเราก็เห็นวาฬหลังค่อมขนาดใหญ่ 2 ตัวว่ายตรงมาทางเราแล้ว ทันใดนั้น เวลาในสมองของเราก็เดินช้าลง เสี้ยววินาทีนี้ยาวนานเหมือนหลายนาที วาฬทั้งคู่หันหัวเบนเข็มออกทางขวาเพื่อให้เห็นเราได้ชัดขึ้น ใช่! เราไม่ได้คิดไปเอง วาฬตัวหน้าซึ่งอยู่ใกล้เรามากกว่าขยับลูกตาเหลือบขึ้นมามองเราในจังหวะที่กำลังว่ายผ่านเราไป
หัวใจเต้นแรง ปากขยับยิ้ม น้ำตาคลอเบ้า
ทันใดนั้นเราก็นึกขึ้นมาได้ถึงกล้องที่อยู่ในมือ นี่น่าจะเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตของการเป็นช่างภาพที่ลืมเรื่องการถ่ายภาพไปเกือบสนิท เรากดชัตเตอร์ไป 2 – 3 ภาพ ก่อนที่วาฬทั้งคู่จะลับสายตาไป
การสบตากับวาฬตัวแรกในชีวิตเป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืม เข้าใจแล้วว่าวาฬไม่ใช่ปลา และทุกครั้งที่ย้อนกลับไปนึกถึง หัวใจก็ยังเต้นแรง และน้ำตาก็มาจ่อคลออยู่ทุกครั้งไป
วาฬหลังค่อมจะย้ายจากพื้นที่แถบขั้วโลกมาสู่เขตอบอุ่นทุกๆ ปีเพื่อจับคู่ เลี้ยงลูก และสังสรรค์ในหมู่วาฬ ประเทศตองกาเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่วาฬเหล่านี้หลบมาพักร้อน ชื่อประเทศฟังดูคล้ายจะอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่มันเป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เลยออสเตรเลียออกไปทางขวามืออีก อยู่ใกล้ๆ กับฟิจิและซามัว
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่เราออกทะเลไปตามหาวาฬเกือบทุกวัน บางวันเราไม่เจอวาฬเลยสักตัว บางวันเราได้แต่มองพวกมันจากพื้นที่แห้งบนเรือ ถ้าหากพวกมันไม่พร้อมให้เราหย่อนตัวลงสู่โลกของมัน เราก็ต้องเคารพในกติกานั้น
ถ้าหากมีการประกวดนางงามจักรวาฬ วาฬหลังค่อมน่าจะได้รับรางวัลขวัญใจช่างภาพไปได้อย่างง่ายๆ ครีบอกของวาฬสายพันธุ์นี้โบกสะบัดพลิ้วไหวได้ดั่งแขนของนักบัลเลต์ ท่ากระโดดและทิ้งตัวลงน้ำของพวกมันพลิ้วไหวดูราวกับกำลังเต้นระบำ แถมพวกมันยังสามารถร้องเพลงได้
ท่าโดดที่พลิ้วไหวของวาฬหลังค่อม ดูราวกับนักเต้นกวาดแขนอย่างอ่อนช้อย
วาฬคู่แรกในชีวิตที่ได้สบตากัน
เรือที่เรานั่งมากำลังเร่งความเร็วไปสู่พื้นที่อ่าวเล็กๆ ที่นั่นมีวาฬที่กำลังร้องเพลงอยู่ เสียงเพลงของวาฬไม่ใช่เพลงแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่มันมีโครงสร้างคล้ายเพลงของคนเราที่มีท่อนต้น ท่อนฮุก และท่อนจบ
เรือจอดลอยลำรออยู่นิ่งๆ ทุกคนบนเรือหยุดพูดคุยกัน เสียงลมและคลื่นทะเลเบาๆ โอบคลุมบรรยากาศ แทรกอยู่ท่ามกลางนั้นคือเสียงจางๆ ของเพลงวาฬลอยมา
เราเอาหูแนบตัวเรือเพื่อให้ได้ยินชัดขึ้น เสียงต่ำคล้ายกบร้องในโพรงไม้ สลับกับเสียงสูงที่คล้ายคนผิวปาก ปนอยู่กับเสียงคลื่นซัดกราบเรือ ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าเรากำลังฟังอะไรอยู่ แต่ก็พอจะจับจังหวะของท่วงทำนองได้
เราไถลตัวลงไปในน้ำด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง ท่วงทำนองที่เพิ่งได้ยินบนเรือตอนนี้ดังชัดเจนแล้ว ไม่มีเสียงคลื่นหรือเสียงลมเข้ามาแทรก เสียงเพลงของวาฬโอบล้อมตัวเราอยู่ถึงแม้เราจะยังมองไม่เห็นตัวเจ้าของเสียง ห่างออกไปไม่ไกลที่ความลึกประมาณ 10 เมตร วาฬหนุ่มนักร้องลอยตัวทิ่มหน้าลงพื้นนิ่ง เมื่อเราว่ายไปถึงและลอยตัวอยู่เหนือหนุ่มนักร้อง เสียงเพลงกระจายกังวาน ช่วงจังหวะเสียงเบสต่ำส่งความสั่นสะเทือนมาถึงตัวเรา แรงสั่นกระเพื่อมส่งไปสู่แก้วหู และหัวใจ
ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่เราสัมผัสได้ถึงเพลงวาฬ
วาฬนักร้องเสียงทองในจังหวะที่กำลังพักขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำ
กองหน้าของขบวนวาฬ 1 สาวและ 4 หนุ่มผู้ท้าชิงใจเธอ
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทะเลกำลังมีคลื่นโยน แรงกระเทือนจากคลื่นและเม็ดฝนที่สาดซัดรอบเรือปนเปกันไปหมด เสียงวิทยุสื่อสารจากเรือดูวาฬอีกลำแทรกเสียงฝนที่กำลังตกหนักมาในภาษาที่เราไม่เข้าใจ ในพื้นที่เกาะกลางทะเลเช่นนี้สภาพอากาศเป็นเรื่องที่เราคาดเดาไม่ได้ ฟ้าใสอาจกลายเป็นพายุได้ในเวลาไม่นาน เรือของเราวิ่งด้วยความเร็วไปสู่ฝูงวาฬที่เห็นอยู่ไม่ไกล ครีบหลังผลัดกันโผล่พ้นผิวน้ำ ครีบอกฟาดน้ำแตกกระจาย ทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวาย โทนี่ วู หัวหน้ากลุ่มของพวกเราตะโกนสู้เสียงลมฝนบอกให้เราเตรียมตัว เรากำลังจะได้เห็นงานเลือกคู่ของวาฬ
จุดศูนย์กลางของการเลือกคู่นี้คือวาฬตัวเมียตัวใหญ่ ตามมาด้วยวาฬตัวผู้อีก 5 ตัวขนาดต่างกัน ซึ่งแย่งกันเป็นตัวที่ถูกเลือก
เรือเร่งเครื่องไปดักทิศทางที่ฝูงวาฬกำลังมุ่งหน้าไป แล้วก็ปลดเกียร์ว่างปล่อยพวกเราโดดลงน้ำ ฝูงวาฬขนาดใหญ่กว่ารถบัส 6 ตัวว่ายผ่านเราไปหมดด้วยเวลาไม่กี่วินาที แล้วทุกคนก็ต้องปีนกลับขึ้นเรือให้เร็วที่สุดเพื่อที่จับขบวนวาฬให้ทันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการโดดน้ำผ่านไป 3 – 4 รอบ กลุ่มผู้นำที่คุมเกมเลือกคู่ตอนนี้เหลือเพียงตัวผู้ 2 ตัวที่ยังไม่ยอมแพ้กัน ด้านหลังไกลๆ ตามมาด้วยวาฬหนุ่มขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด พวกมันถูกทิ้งให้ว่ายตามอย่างผู้แพ้ที่ไร้จุดหมาย อีกหลายปีกว่าวัยรุ่นเหล่านี้จะขึ้นมาเป็นผู้นำด้านหน้าได้
ทุกอย่างไม่มีทางลัด ประสบการณ์มากับกาลเวลา
ผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ดูเหมือนจะได้ผู้ชนะที่ชัดเจน วาฬวัยรุ่นด้านหลังตีจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงคู่รักที่สงบลง เหมือนกับกำลังทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ชะลอความเร็วลง แต่บ่ายหน้าออกสู่ทะเลลึกทิ้งพวกเราไว้ด้านหลัง
ความชุลมุนก่อนการลงน้ำเพื่อเกาะขบวนวาฬเลือกคู่
ลูกวาฬว่ายกลับไปคลอเคลียแม่วาฬอยู่เสมอ เป็นสายใยที่ทำให้เราคิดถึงแม่ของเราเช่นกัน
4 ชั่วโมงแล้วที่เราจ้องมองออกไปที่ทะเลกว้างเพื่อมองหาวาฬ ทะเลที่เหมือนจะเต็มไปด้วยวาฬเมื่อวาน วันนี้กลับเงียบสนิท
ธรรมชาติช่างเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ก่อนหมดเวลาของวัน ไอน้ำสีเทา 2 กลุ่มก็โผล่ให้เห็นที่ระยะไกล ครีบหลัง 2 อันผลุบขึ้นตามมาไม่นาน อันหนึ่งเล็ก อันหนึ่งใหญ่กว่า
แม่ลูก!
แม่วาฬที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลนอนหลับนิ่งอยู่ที่ความลึกเบื้องล่าง ปล่อยลูกวาฬที่ยังมีพลังเหลือเฟือตามแบบฉบับของเด็กๆ ออกมาวิ่งเล่น ลูกวาฬว่ายวนมองดูพวกเราทีละคน แต่ยังคงรักษาระยะห่างจากพวกเรา การว่ายพุ่งเข้าหาเพียงเพราะความต้องการภาพถ่ายอาจจะทำลายขั้นตอนการสร้างความไว้ใจของวาฬกับเรา ความไม่เร่งร้อนของพวกเราเริ่มได้ผล ลูกวาฬลดระยะห่างลง เมื่อเราหยุดนิ่งลูกวาฬกลับเป็นฝ่ายเข้าหาแทน บางครั้งเข้าใกล้จนน่าตกใจ บางจังหวะเราต้องหันหลังว่ายหนี วาฬเด็กยังต้องฝึกฝนการว่ายน้ำ มันยังควบคุมทิศทางได้ไม่ดีเท่าวาฬที่โตแล้ว หากโดนชนเพียงเบาๆ มนุษย์อย่างเราอาจจะเจ็บหนัก
การว่ายดูคนสลับกับการว่ายอ้อนแม่วนไปอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเราสังเกตเห็นแม่วาฬขยับตัวช้า ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมาอย่างนิ่มนวล เหมือนเป็นเรือดำน้ำที่มีระบบขับเคลื่อนอย่างดี ถึงเวลาที่คุณแม่ต้องหายใจ
เราลดกล้องในมือลง พยายามสบตากับแม่วาฬตัวใหญ่ พร้อมกับสงบสติผ่อนคลายร่างกายให้มากที่สุด เมื่อตาประสานกันในใจเราพูดออกไปว่า “สวัสดีแม่วาฬ ขอว่ายไปด้วยสักพักนะ”
จังหวะสบตากับลูกวาฬ วาฬเด็กๆ ก็เหมือนลูกคน พลังงานในการเล่นซนมีอยู่อย่างมหาศาล
เราไม่รู้หรอกว่าแม่วาฬจะเข้าใจเราหรือเปล่า แต่สัตว์ใหญ่อย่างวาฬน่าจะรับรู้พลังบวกจากการคิดดีได้ แม่วาฬดูจะไม่มีปัญหากับการที่มนุษย์ตัวดำๆ ลอยตัวเป็นแมลงหวี่อยู่รอบๆ มันไม่ได้หอบลูกว่ายหนีเราไป พวกมันแบ่งผืนน้ำให้เราได้ใช้ร่วมกับพวกมัน
เวลาของเราหมดแล้ว โทนี่ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนว่ายกลับเรือ เมื่อปีนขึ้นเรือเป็นครั้งสุดท้ายของทริป สิ่งที่คิดอย่างแรกคือ เราจะต้องกลับมาที่นี่อีก!