The Cloud เคยสัมภาษณ์ หมอเอิ้น-พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ มาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน เธอคือจิตแพทย์หน้าหวานที่มีประสบการณ์และทักษะการดูแลจิตใจผู้คนหลากหลาย ตั้งแต่คนในคุก จนถึงคนที่ทำงานในรัฐสภา เป็นเจ้าของกิจการที่เข้าใจหัวอกของผู้นำที่มีความกดดันรอบทิศ และเป็นที่ปรึกษาที่เคยช่วยให้ผู้นำหลายคนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจากการฝึกฝน Soft Skills

นอกจาก Good Mind Podcast ที่หมอเอิ้นและ The Cloud ทำร่วมกันแล้ว เธอยังรับบทบาทวิทยากรเรื่องความสุขตามเวทีและรายการต่าง ๆ รวมทั้งได้ยินว่าเธอรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้บริหารมากขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในนั้นคือการเปิดหลักสูตร ‘มาหาสารความสุข’ ที่ถึงวันนี้ก็มีเหล่าคนทำงานในระดับผู้บริหารเข้าเรียนมาแล้ว 9 รุ่น

มาหาสารความสุข คลาสที่ชวนผู้บริหารมารู้จักความสุขด้วยการผ่าตัดหัวใจโดยหมอเอิ้น พิยะดา

มาหาสารความสุข เป็นคลาสเรียนเล็ก ๆ ที่พากันไปถึงจังหวัดเลย จังหวัดบ้านเกิดของหมอเอิ้นที่มีเครื่องบินขึ้นลงวันละ 2 เที่ยว ร้านค้าปิดตั้งแต่ 2 ทุ่ม เต็มไปด้วยที่เที่ยวแบบธรรมชาติและอาหารอร่อย 

ในเว็บไซต์อธิบายหลักสูตรนี้เอาไว้ว่า ‘เป็นหลักสูตรที่จะสอนการจัดการกับความเครียด และการดูแลสมองและจิตใจให้กลับมา Productive ด้วยกระบวนการจิตวิทยาความสุขและวิทยาศาสตร์ของสมอง เพื่อการเข้าถึงศักยภาพของการเป็นผู้นำในตัวเอง ที่ปรับใช้ได้ทั้งในชีวิตและงาน’

เราก็ไปเป็นลูกศิษย์หมอเอิ้นมาด้วยเหมือนกัน ยอมรับว่าเป็นหลักสูตรที่สอนเรื่องความสุขได้ถึงราก และอยากแนะนำคลาสนี้ว่า เป็นคลาสสุดท้ายที่ทำให้คุณเข้าใจเรื่องความสุข แบบไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนอีกแล้ว

พอได้นั่งลงคุยกัน จึงได้รู้ว่าทุกประสบการณ์ของหมอมัดรวมมาเป็นคลาสนี้ หมอเอิ้นเริ่มเล่าว่า “เราเป็นจิตแพทย์ที่มีทั้งความรู้และเครื่องมือที่ฝึกให้ใช้มาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง (Transform) จากคนที่รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า ให้กลับมารู้สึกว่าชีวิตเป็นความปกติ หรือทำให้คนที่ไม่ได้รู้สึกผิดปกติได้รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขและมีอะไรน่าค้นหา แล้วก็มีอีกหมวกเป็นผู้บริหารและเจ้าของกิจการ ที่เคยต้องมานั่งเครียดว่าเดือนนี้จะมีเงินเดือนพอจ่ายลูกน้องไหม มันเป็นประสบการณ์ที่ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองก็ไม่เข้าใจหรอก ใครไม่อยู่ในโมเมนต์นั้น อย่าบอกว่าเข้าใจ” หมอกล่าวแล้วหัวเราะทั้งน้ำตา

เธอจึงตั้งใจออกแบบหลักสูตรนี้สำหรับผู้นำองค์กร ผู้บริหาร หรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลและพัฒนาบุคลากร เพราะเธอรู้ว่าผู้นำต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และมีเครื่องมืออะไรบ้างที่จะพาผู้นำทั้งหลายออกจากความเครียดเหล่านั้น

“ถ้าผู้นำมีความสุข คนอื่นก็จะมีความสุขไปด้วย” หมอเอิ้นเน้นย้ำ

มาหาสารความสุข คลาสที่ชวนผู้บริหารมารู้จักความสุขด้วยการผ่าตัดหัวใจโดยหมอเอิ้น พิยะดา

มาหาสารความสุข เป็นหลักสูตรที่จะทำให้ผู้บริหารได้รู้จักตัวเองเหมือนการรู้จักต้นทุนอื่น ๆ ทางด้านธุรกิจ รวมถึงรู้จักวิธีบริหารใจและรับมือกับความรุนแรงเบื้องต้น เพราะไม่มีใครช่วยใครได้ดีและเร็วเท่าเราช่วยตัวเอง

“คิวหมอดูยังนัดไม่ง่ายเลยนะเดี๋ยวนี้” หมอเอิ้นเตือน

ฉะนั้น เราเลยชวนหมอเอิ้นให้มาเล่าเรื่องที่เธอได้รู้เกี่ยวกับความสุขของผู้บริหาร เพื่อเป็นของเรียกน้ำย่อยสำหรับใครก็ตามที่เริ่มสนใจอยากตามหมอเอิ้นไปหา ‘สารความสุข’ แบบลงลึกต่อไป

คนไม่น่าสงสาร

ในชีวิตการทำงาน การเป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเป้าหมายที่ใคร ๆ ก็อยากไปถึง เพราะตำแหน่งเหล่านั้นมักมาพร้อมกับค่าตอบแทน อำนาจ และการยอมรับ ซึ่งก็น่าจะทำให้มีความสุขไม่น้อย 

แต่จริง ๆ แล้วการเป็นผู้บริหารไม่ใช่อาชีพที่มีความสุขขนาดนั้น 

ภายใต้อำนาจมักมาพร้อมความรับผิดชอบ ความกดดัน และความเครียด ที่บางทีผู้นำเองรู้ตัว แต่บางทีก็ไม่รู้ตัว แล้วก็แสดงออกผ่านกลไกการป้องกันตัวแบบต่าง ๆ ซึ่งหลายครั้งยิ่งกลายเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างผู้บริหารกับเพื่อนร่วมงาน และทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

มาหาสารความสุข คลาสที่ชวนผู้บริหารมารู้จักความสุขด้วยการผ่าตัดหัวใจโดยหมอเอิ้น พิยะดา

หมออธิบายว่า “มีข้อมูลว่าคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า ความคิดจะช้าลง 20% ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมจะลดลง 35% ความวิตกกังวลส่งผลให้มีการสื่อสารเชิงลบ การทำงานแบบจู้จี้จุกจิก และความโกรธหรือผิดหวังก็สร้างความรุนแรงทางพฤติกรรมและวาจาได้ด้วย”

มากไปกว่านั้น การมีอำนาจทำให้คนไม่กล้าขัด ไม่กล้าเตือน เลยไม่เคยได้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ส่งผลกับคนอื่นอย่างไร และการเป็นคนที่ทุกคนเห็นว่ามีความสามารถ รับมือได้กับทุกสิ่ง จึงไม่ค่อยมีใครคิดเห็นใจว่าบางทีมันก็มากเกินจะรับไหว

หมอเอิ้นเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การอยู่ในโลกเสมือน’

มาหาสารความสุข คลาสที่ชวนผู้บริหารมารู้จักความสุขด้วยการผ่าตัดหัวใจโดยหมอเอิ้น พิยะดา

“ในการเป็นผู้นำ ไม่มีใครกล้าสะท้อนเราจริง ๆ หรอก อย่างเก่งก็ 30 – 40% เพราะทุกคนเกรง ไม่เกรงกลัวก็เกรงใจ” หมอบอกด้วยน้ำเสียงตบบ่า

โลกเสมือนที่ผู้บริหารบางคนต้องอยู่นี้คือแหล่งสะสมปัญหาขนาดใหญ่ และหัวหน้าที่มีไม่กี่คนบนยอดพีระมิด ก็เป็นคนสำคัญสำหรับคนที่อยู่ข้างล่างมาก ๆ 

“ทุกการตัดสินใจของผู้นำคือผลกระทบ การที่ผู้นำจะตัดสินใจได้ดีและถูกต้อง นอกจากความรู้และประสบการณ์แล้ว การมีสภาวะจิตใจที่เป็นปกติสำคัญมาก” หมอเอิ้นย้ำ

ข่าวดีคือผู้บริหารส่วนใหญ่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังรู้สึกเครียดและกดดัน หลายคนมีวิธีรับมือที่ใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนพาเขามาถึงจุดนี้ได้ แต่ข่าวร้าย คือวิธีการรับมือเหล่านั้นบางครั้งเป็นการสร้างความสุขแบบ ‘จุดพลุ’ คือง่าย เร็ว แรง แต่ไม่ยั่งยืน เช่น การสังสรรค์ การทุ่มเทมากขึ้นไปอีก หรือการระบายอารมณ์ด้วยวิธีต่าง ๆ

จะว่าไป ความสำเร็จก็คือรูปแบบหนึ่งของความสุข แม้ได้มาไม่ง่ายนัก แต่มีรสชาติที่หวานหอมจนอาจเสพติดได้ 

“ความสำเร็จเป็นแรงขับที่มีพลังมาก แต่ในระหว่างทางเดินไปสู่ความสำเร็จ เราต้องไม่ลืมมิติของ ‘ความสัมพันธ์’ ด้วย การที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสุขพื้นฐานที่ให้ความสงบ และความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์กับตัวเอง” หมอเอิ้นบอก 

เป็นคนธรรมดาที่พิเศษ

“ต้องเป็นคนธรรมดาได้ ถึงจะได้เป็นคนพิเศษ” หมอเอิ้นยิงคำคมแล้วอธิบายต่อว่า “หมายถึงการมี Self Awareness และยอมรับที่จะเรียนรู้ความเป็นจริงแบบตรงไปตรงมา จนทำให้ใช้ความสามารถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้พลังงานไปกับความขัดแย้งในตัวเอง”

ถ้าสังเกตให้ดี สิ่งที่อยากทำและสิ่งที่ต้องทำ มักเป็นศึกสงครามที่ยืดเยื้อในสมองเราเสมอ เช่น อยากไปออกกำลังกายเหมือนกันนะ แต่การได้นอนต่ออีก 1 ชั่วโมงก็น่าจะดีมากเลย หรือรู้สึกเหนื่อยมาก อยากลาพักร้อนสักหน่อย แต่ก็ไม่อยากทิ้งทีมงานที่กำลังทำงานหนักไป

มาหาสารความสุข คลาสที่ชวนผู้บริหารมารู้จักความสุขด้วยการผ่าตัดหัวใจโดยหมอเอิ้น พิยะดา

ความขัดแย้งในตัวเองเหล่านี้จะทำให้เกิดอารมณ์และพลังงานที่ไปสร้างความขัดแย้ง บางทีก็กับตัวเอง บางทีก็กับผู้อื่น เช่น นี่ถ้ากรุงเทพฯ รถไม่ติด ก็คงได้ทั้งนอนต่อและไปออกกำลังกายแล้ว (หงุดหงิดผู้ว่าฯ แต่จริง ๆ คือเมื่อคืนนอนดึกจนตื่นไม่ไหว) หรือนี่ถ้าลูกค้าไม่เร่งงาน ก็คงไม่ต้องเหนื่อยกันขนาดนี้ (โทษลูกค้า แต่จริง ๆ คือเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อน) ซึ่งถ้าเรามองเห็นและยอมรับความคิดเหล่านี้ สงครามก็จะสงบ และตัดสินความขัดแย้งได้อย่างตรงไปตรงมา

ประสิทธิภาพของ Self Awareness อธิบายผ่านการทำงานของสมองได้ด้วยเช่นกัน หมอเอิ้นบอกว่า “ทางศาสตร์จิตวิทยาสติบอกว่า การที่เรามีความคิดอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้สมองส่วน Executive Function ทำงานได้ดี จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น”

คุยกับ หมอเอิ้น พิยะดา เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้นำและคนทำงานระดับบริหารในคลาส ‘มาหาสารความสุข’

ในมุมของการเป็นผู้นำ การมองเห็นตัวเองอย่างตรงไปตรงมา คือ ‘การบริหารอย่างเข้าใจว่าเรามีทรัพยากรอะไรบ้าง’ เหมือนกับการประเมินกำลังคน เงิน เวลา ที่ต้องพิจารณาว่ามีอะไรมากน้อย อะไรดี อะไรไม่ดี 

“เราต้องทบทวนและมองให้เห็นทรัพยากรภายในใจ เพื่อจะได้จัดสรรได้” หมอเอิ้นแนะนำ

“แต่มันจะย้อนแย้งนิดหนึ่ง ตรงที่ผู้นำส่วนใหญ่มักเข้าใจว่ารู้ทรัพยากรในใจตัวเองดีพอแล้วจึงก้าวมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่ก็ยังจะเจอปัญหาวน ๆ แพตเทิร์นซ้ำ ๆ ซึ่งถ้าเราไม่ใส่ใจสำรวจตัวเองเพิ่มเติม ก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก มองไม่เห็นร่องของการเดินทางใหม่ได้เลย”

การผ่าตัดหัวใจ

บทเรียนแรกที่หมอเอิ้นสอนในคลาสมาหาสารความสุข มักเป็นเรื่องการชวนทุกคนมาสำรวจมิติต่าง ๆ ของตัวเอง มีทั้งมิติที่ตัวเรารับรู้ มิติที่คนอื่นมองเรา สิ่งที่เราอยากเป็น สิ่งที่เราเป็นจริง ๆ หรือสิ่งที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าเราเป็น แต่คนอื่นเขารู้ 

เป็นขั้นตอนที่จะได้เข้าใจตัวเองว่าเรามีมิติแบบไหนบ้าง และแต่ละมิติมีอิทธิพลกับเราอย่างไร เช่น เราให้ความสำคัญกับอะไร อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ หรือว่าเราให้คุณค่าอะไรกับชีวิต

“ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องทำโดยจิตแพทย์” หมอเอิ้นย้ำ “มันเป็นเรื่องของการผ่าตัดหัวใจ คือการพาตัวเองกลับไปถึงต้นกำเนิดของวิธีคิดและแพตเทิร์นชีวิต ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป ทุกคนล้วนเติบโตมาด้วยปมและบาดแผลทั้งนั้น เราไม่รู้ว่าการรับมือกับสิ่งที่เขาจำเป็นต้องยอมรับทั้งที่ยอมรับได้ยากจะทำให้เกิดผลลัพธ์ยังไง การที่มีคนคอยประคับประคอง มีสกิลล์การบำบัดและเข้าใจการทำงานของสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญ”

คุยกับ หมอเอิ้น พิยะดา เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้นำและคนทำงานระดับบริหารในคลาส ‘มาหาสารความสุข’

และการค้นพบเหล่านั้นนั่นเองจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง (Transform) จากคนที่เจอปัญหาความสัมพันธ์ซ้ำ ๆ ก็จะได้เจอสาเหตุและปมที่ต้องยอมรับ หรือจากคนที่ไม่ได้มีปัญหา ก็จะได้รู้แนวทางพัฒนาตัวเองหรือแม้แต่ได้เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น

พอผู้บริหารได้เข้าใจตัวเองในมิติต่าง ๆ แล้ว เวลาเจอปัญหา เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง สยบความขัดแย้งในหัวตัวเองได้ และมีอารมณ์ที่สงบ มั่นคงมากขึ้น

เราต้องขอใส่ดอกจันตัวใหญ่ไว้ตรงนี้ว่า มาหาสารความสุขไม่ใช่คอร์สบำบัด คนที่มาอาจจะมีปัญหา มีคำถาม แต่ก็ต้องการความแข็งแรงของจิตใจเบื้องต้นเหมือนกัน การพาไปรู้จักตัวเองในมิติต่าง ๆ เพื่อจะเข้าใจตัวเองในวันนี้ต่างจากการสะกดจิตหรือ NLP ตรงที่เป็นการทำในขณะที่ผู้เรียนมีสติ เป็นการคิดทบทวนด้วยตัวเองแบบไม่มีอะไรมาชี้นำ เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ต้องลงลึกแต่ได้ผลครอบคลุมและยั่งยืน

คุยกับ หมอเอิ้น พิยะดา เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้นำและคนทำงานระดับบริหารในคลาส ‘มาหาสารความสุข’

“การได้เข้าใจเรื่องพื้นฐานที่สุดของจิตใจ ทำให้รู้ว่าเราท้อแท้ได้นะ เราเศร้าได้นะ เหนื่อยได้นะ ไม่ต้องรีบร้อนไปไหน ชีวิตต้องมีความไม่รีบร้อนไปไหนบ้าง การที่ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนมันคือการสะสมพลังงานชีวิต พอถึงเวลาที่เราต้องลุก เราลุกได้เร็ว ถึงเวลาที่ต้องวิ่ง เราวิ่งได้ แต่ถ้าเราขาเจ็บอยู่ จะไปฝืนวิ่ง ถึงเส้นชัยขาก็อาจจะเจ๊งไปแล้วก็ได้” 

Live and Learn

หมอเอิ้นตั้งใจออกแบบคลาสนี้ให้มีทั้งกิจกรรมในห้องและกิจกรรมนอกสถานที่ เพื่อจำลองชีวิตจริง ๆ นอกห้องเรียนให้ทุกคนได้ลองใช้

หัวใจสูงสุดของคลาส คือเข้าใจและมีความสุขกับการเข้าใจตัวเองและการเข้าใจชีวิต 

การได้ใช้ชีวิตแบบไม่มีหัวโขนในเมืองที่ไม่มีใครรู้จักเราบ้าง ทำให้ผู้บริหารทั้งหลายกลับมาคิดถึงตัวเองมากขึ้น 

คุยกับ หมอเอิ้น พิยะดา เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้นำและคนทำงานระดับบริหารในคลาส ‘มาหาสารความสุข’

หมอเอิ้นเชื่อว่า โมเดลในการบริหารใจคนที่ดีที่สุด คือการเข้าใจชีวิตตัวเอง นำชีวิตตัวเอง ดูแลชีวิตตัวเองให้รอดก่อน เราถึงจะไปนำคนอื่นได้แบบไม่ได้เป็นการชดเชยความบกพร่องหรือเป็นการแบก มันจะกลายเป็นความสุขจากการแบ่งปัน

ก่อนจากกัน หมอเอิ้นทิ้งท้ายไว้ว่า

“ไม่มีการลงทุนไหนคุ้มค่าเท่าการลงทุนเพื่อรู้จักตัวเอง ถ้าผู้นำลงทุนเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการเข้าใจตัวเอง ก็จะทำให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้มีความสำคัญ มีอิทธิพลในการดูแลคนอีกมากมาย แม้ว่าจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม อย่างน้อยความสุขในตัวเขามันสำคัญกับความสุขของคนรอบข้าง”

ภาพ : มาหาสารความสุข

ติดตามหลักสูตรมาหาสารความสุขรุ่นต่อไป และบทเรียนต่าง ๆ จากหมอเอิ้นได้ที่

Facebook : หมอเอิ้นพิยะดา Unlocking Happiness

Website : www.earnpiyada.com

Writer

พิชญา อุทัยเจริญพงษ์

พิชญา อุทัยเจริญพงษ์

อดีตนักโฆษณาที่เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักเล่าเรื่องบนก้อนเมฆ เป็นนักดองหนังสือ ชอบดื่มกาแฟ และตั้งใจใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่ไปกับการสร้างสังคมที่ดีขึ้น