คอมมูนิตี้เล็ก ๆ ด้านหน้า The Yard Hostel เป็นพื้นที่รวมร้านรวงมากมาย ตั้งแต่คาเฟ่เพื่อสุขภาพ เบอร์เกอร์แสนอร่อย อาหารญี่ปุ่นสุดอบอุ่น จนถึงร้านตัดสูทเพื่อคุณ เปรียบเสมือนพื้นที่พบปะสังสรรค์ที่มีลูกค้าหนาตาอยู่เป็นประจำ เราเดินสำรวจชั้นสองบนอาคารเก่า มีร้านแผ่นเสียงขนาดกะทัดรัดซ่อนตัวอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมมุมระเบียง
‘Dust On Wax BKK’ คือร้านขายแผ่นเสียงเคียงคู่สโลว์บาร์ขนาดจิ๋ว เจ้าของร้านอย่าง มิกซ์-ธำรงค์วิทย์ ศรปาลีนันท์ และ ออฟ-สหพล พันธุ์ภักดี ตั้งใจเปิดร้านนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับสร้างมิตรภาพและบทสนทนาดี ๆ หลากเรื่องที่ไม่ใช่เพียงแค่เสียงดนตรีเท่านั้น นับรวมถึงคอกาแฟ บางทีก็ลามถึงศาสนา การเมือง และอื่น ๆ
เพลง Harlem River ของ Kevin Morby คลอเบา ๆ จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง มิกซ์เลือกแผ่นนี้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศยามเช้าและกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นฝีมือออฟ นั่นทำให้บทสนทนาของวันนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
Track 02
“ร้านนี้มันเกิดขึ้นเพราะเราเมา” – มิกซ์เปรยด้วยเสียงหัวเราะ
“เราเมากับออฟอยู่ที่ร้านเบอร์เกอร์ด้านล่าง เขาบอกว่าข้างบนมีพื้นที่ว่าง เราก็ชวนออฟขึ้นไปดู พอดูเสร็จ กลับบ้าน ตื่นขึ้นมาก็ยังนึกถึงพื้นที่ตรงนั้นอยู่ ก็เลยโทรหาออฟ บอกว่า ‘กูจะทำร้าน’ ออฟบอกว่า ‘ถ้าพี่ทำ ผมก็ทำ’”
เรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าเราและผู้อ่านจะตามทัน, แต่เดี๋ยวก่อน เราขอย้อนความหลังให้ฟัง
Track 01
มิกซ์เป็นดีไซเนอร์ ออฟเป็นครีเอทีฟ ทั้งคู่รู้จักกันเพราะทำงานบริษัทเดียวกัน มิกซ์เป็นนักสะสมแผ่นเสียง ออฟเป็นนักสะสมรสชาติกาแฟ หลังกระดกเครื่องดื่มมีดีกรีทำให้มิตรภาพของเขาแน่นแฟ้น และการเกิดขึ้นของ Dust on Wax BKK ไม่ใช่การตัดสินใจที่ขาดสติจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทว่าเป็นความตั้งใจที่แฝงในสัญชาตญาณดิบของเขาทั้งคู่
แต่ความบังเอิญมันอยู่ตรงชื่อร้าน คำว่า Dust on Wax ถูกปัดฝุ่นใหม่โดยชายผู้ลิขิตมันขึ้นมาเอง
“ตอนอายุ 24 เราอยากทำร้านแผ่นเสียงชื่อ Dust on Wax เลยเขียนชื่อนี้ลงในสมุดบันทึก” มิกซ์ยังจำได้ดี
“มันกลายเป็นจริงตอนเรา 42” – จังหวะ เวลา และโอกาส ใช้เวลาเดินทาง 18 ปี กว่าฝันจะกลายเป็นจริง
มิกซ์เฉลยให้เราฟังว่า Wax เป็นแสลงสำหรับเรียกแผ่นเสียง ส่วน Dust มาจากฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผ่นเสียง เมื่อไหร่ที่ฝุ่นเกาะบนแผ่นกลม ๆ เสียงที่ได้จะมีนอยซ์ติดออกมาด้วย ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเสียงในแบบที่เจ้าของร้านชอบ
Track 02
เจ้าของร้านทั้งสองคนอยากเห็นร้านเล็ก ๆ ของพวกเขาเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องเพลงหรือดนตรีเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงบทสนทนาเกี่ยวกับเสื้อวงดนตรี กาแฟ การเมือง อาหาร และสารพัดหัวข้อที่เชื่อมมิตรภาพระหว่างเขาและผู้คนที่แวะเวียนเข้ามา อีกหนึ่งความตั้งใจของมิกซ์ คือ เขาอยากทำแผ่นเสียงให้ศิลปินไทย
“เราเห็นวงดนตรีของไทยหลาย ๆ วง น่าชวนมาทำแผ่นเสียงมากเลย อย่าง Cloud Behind, ฮาริกึ่ม ซาโบ้ย เรามีโอกาสไปดูดนตรีกับออฟ ยังคุยกันเลยว่าดนตรีบ้านเรา เด็ก ๆ ไปกันไกลมาก พัฒนากว่าประเทศชาติอีก” มิกซ์เล่าเจือเสียงหัวเราะ แต่แววตาเขากลับเปี่ยมด้วยความภูมิใจ ความภูมิใจที่มีต่อวงการเพลงและดนตรีของประเทศไทย
นักสะสมบอกว่าแผ่นเสียงมีให้เลือกจับจ่ายทั้งไทยและเทศ อย่างศิลปินไทยก็มีแนวอัลเทอร์เนทีฟ 90 เช่น โมเดิร์นด็อก, Death of A Salesman ถ้าใหม่ล่าสุดมิกซ์ยกให้ ฮาริกึ่ม ซาโบ้ย ที่แนวเพลงสะดุดหูเขาอย่างแรง และสองเพื่อนซี้ยังชวนกันเติมของเข้าร้านอยู่เป็นประจำ เขาชี้เป้าว่า Bandcamp คือคลังของดนตรีและซูเปอร์มาเก็ตแผ่นเสียง
กระซิบว่าแผ่นเสียงทั้งหมดที่วางขายในร้าน เป็นของสะสมตั้งแต่มิกซ์อายุ 24!
Track 03
ร้านแผ่นเสียงที่นี่พิเศษตรงที่มีสโลว์บาร์ขนาดจิ๋วของเพื่อนซี้ตั้งอยู่เคียงข้าง (ในพื้นที่จำกัด) เหมือนสมัยเก่าก่อนที่นักฟังเพลงอย่างมิกซ์เดินเข้าร้านขายแผ่นซีดี แล้วเจอบรรยากาศเดียวกันกับวันนี้ วันที่ Dust on Wax เกิดขึ้น
“สมัยเราเด็ก ๆ แถวสยามมีร้านขายซีดีชื่อ ควาร์ก เรคคอร์ด เราเดินเข้าไปบนร้าน เชี่ย… ได้กลิ่นกาแฟในร้านซีดี มันล้ำมากเลย” มิกซ์เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “วันที่คุยกับออฟเรื่องร้าน เราก็นึกถึงร้านควาร์กเลย หลังจากร้านนั้นเราก็ยังไม่เจอร้านแบบนี้ที่ไหน เคยเจออีกที่อยู่ออสเตรเลีย เป็นร้านแผ่นเสียงที่มีกาแฟขายด้วย” เขาเฉลยความลงตัว
การพบเจอกันระหว่างมิกซ์กับออฟ ก็ทำให้การดื่มกาแฟและฟังเพลงของทั้งคู่มีรสชาติและสนุกกว่าที่เคย
“เราเข้าใจมาตลอดว่ากาแฟขม คือ ดี พอเปรี้ยวก็ไปว่าเขา” นักสะสมแผ่นเสียงหัวเราะให้กับความหลัง “เราไม่เคยรู้ว่ากาแฟมันมี Flavor จนมาเจอออฟ เฮ้ย! กาแฟเปรี้ยวที่ดีมันก็มี งั้นผมขายแผ่นเสียง พี่ขายกาแฟนะ”
ชายหนุ่มรุ่นพี่ร่างสัญญาขึ้นในอากาศ ทันทีที่รุ่นน้องตอบรับ Dust on Wax ก็มีกาแฟให้จิบทั้งร้อนและเย็น
Track 04
“พูดไปเหมือนเว่อร์นะ แต่ตอนเด็ก ๆ เราไม่มีเพื่อนเลย อยู่แต่ในบ้าน ทีนี้มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเขามาจีบพี่สาวเรา โดยการเข้าทางเรา แล้วเขาเอาเทปคาสเซ็ตมาให้เราฟัง วงนั้นคือ Guns N’ Roses อัลบั้ม Appetite for Destruction
“หลังจากเทปม้วนนั้นเราก็ Discover เพลงสากลมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน” มิกซ์ย้อนถึงวันที่เข้าวงการดนตรี
ในขณะที่เด็กคนอื่นมักเดินเข้าร้านเกม โต๊ะสนุ๊ก แต่มิกซ์มีเพื่อนเป็นเสียงเพลง ช่วงวัยรุ่นเขาสารภาพว่าฟังเพลงสากลเพื่อความเท่ แต่เมื่อโตขึ้นกลับกลายเป็นความชอบ จากยุคเทปคาสเซ็ตเปลี่ยนผ่านมาจนถึงแผ่นเสียง
“แผ่นเสียงเขาเชื่อกันว่าเป็นฟอร์แมตเสียงที่ดีที่สุด เราก็อยากรู้ แล้วแผ่นเสียงก็มีมาตั้งนานแล้ว มันไม่เคยถูกใครลืม ไม่ว่าจะยุคซีดี MP 3 แผ่นเสียงก็ยังอยู่ มันพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเป็นฟอร์แมตที่ดีที่สุด เราเลยมุ่งมาทางนี้”
เมื่อมิกซ์โตขึ้น เขาไม่ได้ฟังเพื่อความเท่และไม่ได้สะสมทุกแผ่นเสียงที่อยากได้ แต่เป็นการฟังด้วยความเข้าใจ
“พอถึงวันหนึ่ง วันที่เราแก่” เขาหัวเราะ “เขาเรียกว่าอะไรนะ การเข้าใจโลกหรอ ซึ่งมันทำให้การฟังเพลงของเราไม่ได้เพราะขึ้นนะ แต่ละเอียดมากขึ้น เมื่อเทียบกับวันแรกที่ฟัง มันไม่ใช่ความรู้สึกนี้ ตอนนี้มันลึกมากกว่านั้น” มิกซ์เล่า
ส่วนออฟเริ่มเข้าวงการแผ่นเสียงมาได้ไม่นานผ่านการแนะนำของมิกซ์ ออฟเป็นคนชอบฟังเพลงเป็นทุนเดิมและมีหลายวงที่ชื่นชอบ บวกกับความหลงใหลอยู่ไม่น้อย เพราะเริ่มค้นหาแนวเพลงที่ชอบและเริ่มสะสมแผ่นเสียงเองบ้าง
“เราชอบแผ่นเสียงเพราะพี่มิกซ์พาเข้าสู่วงการ” ออฟเกริ่น “โดนป้ายยา พี่ออฟเขาฟังลึกแล้ว” มิกซ์เสริมทันทีด้วยความกันเอง – “พอมีแผ่นก็ต้องโดนเครื่องเล่น พี่มิกซ์เขาฟังเพลงลึกมาก จนทำให้เราเจอแนวเพลงที่เราชอบ”
แผ่นเสียงทั้งหมดในร้านคือของสะสมของมิกซ์ตั้งแต่อายุ 24 ปี เมื่อเราโยนคำถามไปว่า
เคยเสียดายบางไหมที่ต้องนำมาขาย มิกซ์ตอบอย่างไม่เลใจว่า “ไม่เคยเสียดาย”
ที่ ‘ไม่เคยเสียดาย’ เพราะเขามีความมุ่งมั่นว่าไม่คิดจะสะสมอะไรอีกแล้ว เป็นเพราะมิกซ์ได้เจอกับคำสอนเชิงธรรมมะจากการนั่งสมาธิที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทำให้เขาปลดปล่อยความทุกข์และคลายความกังวลเรื่องของสะสม
“ความทุกข์มันเกิดตอนที่เราไปที่อื่นแล้วกังวลกับแผ่นเสียง เราหวง มันจะเที่ยวไม่เป็นสุข คล้ายกับเลี้ยงหมา จะไปไหนทีก็คิดว่า มันจะกินข้าวยังวะ เราก็เลยคุยกับออฟ เขาบอกว่า เราต้องทำตัวเองให้มีพันธะน้อยที่สุด” มิกซ์เล่า
“ทำตัวเองให้เบาที่สุด ไม่ต้องไปมีนู่น มีนี่ ให้มันเยอะแยะ” ออฟกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มจริงใจ
Track 05
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโลกในของเสียงดนตรีไม่ได้สร้างเพียงมิตรภาพและความหลงใหล แต่เป็นการเปิดโลกและมุมมองใหม่ ๆ ให้เขาทั้งคู่ และทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า Dust On WaX BKK คือตัวตนของมิกซ์และออฟ
“เพลงพาเราไปเจอเจออาชีพ เจอวิชาเรียนที่ชอบ ปกอัลบั้มพวกนี้แหละทำให้เราสนใจงานออกแบบ เอาเข้าจริงร้านนี้มันพิสูจน์ตัวเราด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเป็นของเราแบบนี้ และร้านนี้มันคือสิ่งที่เราชอบจริง ๆ” มิกซ์ตอบ
หากเสียงเพลงนำพามิกซ์ให้ไปพบอาชีพ กาแฟก็เป็นเช่นนั้น
“กาแฟเปิดโลกเรามาก มันฮีลเราด้วยนะ ตั้งแต่การบดเมล็ด การเทน้ำ มันอยู่ที่สมาธิเราจริง ๆ มันฮีลได้ประมาณหนึ่งเลยนะ ทำให้เรานิ่งขึ้น วันไหนหงุดหงิด ดริปกาแฟจะไม่อร่อย มันก็บ่งบอกและสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง
“มันทำให้เราเข้าใจว่ากาแฟยังมี Flavor ของแต่ละแก้ว เพลงมันก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน” ออฟปิดท้าย
Special Track
เราชวนมิกซ์และออฟเลือกแผ่นเสียง 5 แผ่น ที่บอกตัวตน Dust on Wax ได้ดีที่สุด
1. Chronophage – Th’ Pig Kiss’d Album
เป็นอัลบั้มที่มีเมโลดี้ป๊อป ๆ ซาวนด์แบบ Lo-fi มีกลิ่นอายยุค 80 และมีความเป็น Psyche ให้ความรู้สึกประหลาดนิด ๆ แผ่นค่อนข้างขายยาก เปิดร้านมาหนึ่งปีมีลูกค้าเดียวเท่านั้นที่เห็นผ่านอินสตาแกรมและตามมาซื้อ
2. Slump – flashbacks from black dust country
มิกซ์ให้คำจำกัดความอัลบั้มนี้ว่า ‘When Punk Take Acid’
เป็นดนตรีพังก์ที่ค่อนข้างก้าวราว เรียกอีกอย่างคือแนวดนตรีแบบ Psychedelic Punk
3. Poison ruin THE FIRST LP
อัลบั้มนี้เพิ่งออกเมื่อปีที่ แนวเพลง Post-Punk ที่มีกลิ่นอายผสมดาร์กเวฟ Heavy Metal
4. FACS – Negative Houses
เป็นอัลบั้มที่มีแนวดนตรีแบบ Post-Punk เช่นเดียวกัน และมีความ Avant Post-Punk Abstract
5. Positive Disintegration
อัลบั้มสุดท้ายยังคงเป็นดนตรีแนว Post-Punk เช่นกัน
Dust on Wax BKK
ที่ตั้ง : The Yard Hostel, 51 ซอยพหลโยธิน 5 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร (แผนที่)
เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น. (ติดตามวัน-เวลาทำการเพื่อความชัวร์ได้ทาง Dust on Wax BKK)
หรือติดต่อนัดหมายล่วงหน้าทาง โทรศัพท์ : 08 6411 6684
Facebook : Dust on Wax BKK