Screenwriter :โนฮีคยอง เจ้าของผลงาน Our Blues (2022), Live (2018), The Most Beautiful Goodbye (2017), It’s Okay, That’s Love (2014), That Winter, The Wind Blows (2013)
Director :ฮงจงชาน เจ้าของผลงาน Juvenile Justice (2022), Her Private Life (2019), Life (2018), The Most Beautiful Goodbye (2017), Live Up to Your Name (2017), My Secret Hotel (2014), Doctor Stranger (2014)
James Cameron เผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายไซไฟทุกเล่มที่เคยอ่านมาตั้งแต่ยังเด็ก เช่น John Carter รวมไปถึงหนังหลายเรื่อง หนังที่เป็นแรงบันดาลใจหลัก ๆ คือ Dance with Wolves ที่ Kevin Coster แสดงนำ ในเรื่องของชายผู้ต้องต่อสู้กับฝั่งที่ตัวเองร่วมต่อสู้ด้วยมาตลอด รวมถึงอนิเมะ Princess Mononoke ของ Studio Ghibli ในเรื่องการสร้างระบบนิเวศดาว Pandora ส่วนแหล่งธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตหายากในโลกของเรา ก็ถูกใช้เป็นต้นแบบของหลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรื่องนี้เช่นกันครับ
ในส่วนของคำศัพท์ ชื่อเรื่อง และไอเดียการย้ายจิตสิงร่าง เขาพบมาจากนิยาย Neuromancer แนวไซเบอร์พังก์ของ William Gibson และยังรับแรงบันดาลใจนี้มาจากมังงะไซเบอร์พังก์อีกเรื่องอย่าง Ghost in the Shell ว่าด้วยเรื่องของจิตและกาย กับตำนานที่เทพฮินดูลงมาสถิตอยู่ในร่างมนุษย์ตัวเป็น ๆ ส่วนแนวคิด ‘World Mind’ หรือการเชื่อมโยงจิตเข้ากับธรรมชาติ เขาได้รับมาจาก Solaris ของ Stanislaw Lem
James จึงอยากให้มองว่านี่ไม่ใช่หนังแอนิเมชัน แต่เป็นคนแสดงที่ใช้การเมคอัพแบบดิจิทัลมากกว่า ซึ่งระหว่างการถ่ายทำแกก็ได้เรียกผู้กำกับชื่อดังอย่าง Peter Jackson, Steven Spielberg และ George Lucas มาดูการทำงานถึงกองถ่ายเลยครับ และทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้ยืนดูและลองใช้ (โอเค เราเรียกว่า James Cameron เป็นผู้กำกับชั้นครูก็คงไม่เกินไปแล้ว)
ผู้บริหาร 20th Century Fox สารภาพกับ James Cameron ตรง ๆ ว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองบ้าที่อนุญาตให้ James ทำ หรือ James เชื่อว่าจะทำมันได้จริง ๆ เริ่มแรกค่าย Fox ให้ทุนไป 10 ล้าน เพื่อให้ทดลองถ่ายหนังคอนเซ็ปต์ให้บอร์ดผู้บริหารดู ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นหนังทุนสร้างหลักหลายร้อยล้านดอลลาร์ฯ ได้ เพราะขนาดก่อนฉาย นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญในการประเมินรายได้ยังลงความเห็นล่วงหน้าว่าเจ๊งแน่นอน บ้างก็ล้อว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์แมวสีฟ้าตัวสูง ใครจะไปดูวะ ไปจนถึงล้อว่าเดี๋ยวก็ตามรอยซีจีของ Star Wars ไตรภาค Prequel เพราะจะทำได้แค่ไหนกันเชียว แต่ผลกลับกลายเป็นว่า แม้ภาคแรกจะสร้างขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว แต่ซีจีนั้นก็ยังน่าทึ่งในปี 2022
แต่ความ James Cameron ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาได้สั่งสร้างเทคโลยีใหม่เพื่อถ่ายทำโมชั่นแคปเจอร์ใต้น้ำโดยเฉพาะ ร่วมกับบริษัท Weta Digital ของ Peter Jackson เพราะการถ่ายทำภาคต่อต้องถ่ายใต้สระในสตูดิโอที่มีน้ำ 900,000 แกลลอนแทบทั้งเรื่อง (นักแสดงก็ต้องฝึก Freediving หรือการดำน้ำโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจเพื่อถ่ายทำในสระด้วยเช่นกัน)
เขายอมแม้กระทั่งทิ้ง ‘Avatar: The High Ground’ บทดราฟต์แรกที่เขียนจบแล้ว 130 หน้า แม้จะรักมันมากก็ตาม เพราะยังไม่ดีพอ (แต่ก็ไม่ได้สูญเปล่าซะทีเดียวครับ เพราะพล็อตเก่าจะกลายเป็นคอมมิกของค่าย Dark Horse และวางภายในช่วงสิ้นปีนี้แทน)
วิธีการเขียนบทของภาคต่อ Avatar ค่อนข้างน่าสนใจเลยครับ James Cameron วางให้แต่ละภาคเป็นเรื่องราวที่แยกหรือไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีจุดเชื่อมโยงคือสิ่งต่าง ๆ กับสตอรี่อาร์ตที่ปูไว้ในภาคแรก โดยแทนที่จะจบแบบค้างคา แต่ละภาคจะต้องจบเคลียร์และจบในตัว ซึ่ง James ไม่บอกว่าแต่ละคนได้เขียนบทภาคไหน เพื่อให้ทุกคนมีอิสระในการคิด เมื่อเขียนเสร็จจึงค่อยมาดูภาพรวมอีกทีว่าจะทำยังไงให้สอดคล้องและไปด้วยกันได้
James Cameron ตั้งโจทย์ของภาคต่อ Avatar โดยเริ่มต้นที่ The Way of Water เอาไว้ว่า เป็นการต่อยอดให้เห็นธรรมชาติของดวงจันทร์ Pandora (เรียกง่าย ๆ ว่าต้องเป็นหนังสำรวจ & พาทัวร์นั่นเอง) ส่วนตัวละครกับด้านจิตวิญญาณใต้กระแสคลื่นทะเล ซึ่งเขามั่นอกมั่นใจมากว่า หากคนดูดูภาคแรกแล้วชอบ ก็จะชอบภาคนี้เช่นกัน และยังเปรียบเทียบหนังภาคต่อกับไตรภาค The Godfather ว่า หนังจะยังคงเล่าเกี่ยวกับตัวละครเก่า ตัวละครเหล่านั้นมีลูก และลูก ๆ ของตัวละครท่ี่เรารู้จักจะเป็นคนรุ่นต่อไปที่มาเปลี่ยนเกม (เหมือนที่รุ่นลูกหลานจะรับช่วงต่อธรรมชาติ และเป็นผู้กำหนดชะตากรรมโลกต่อไป อันนี้เสริมเองนะครับ)
“เด็กทุกคนคือนักประวัติศาสตร์ธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และพวกเขาทิ้งชีวิตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง พวกเราผ่านมันไปและกำลังอาศัยอยู่ในสภาวะขาดแคลนธรรมชาติ” James Cameron กล่าวกับทาง Cnet ถึงเป้าหมายในการสร้าง Avatar, Avatar: The Way of Water รวมไปถึงภาคต่อที่กำลังจะตามมา
เขาจึงเขียนเนื้อเรื่องให้เกิดขึ้นในอีก 100 กว่าปี ซึ่งเป็นอนาคตที่ James คาดว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่บนโลกไม่ได้แล้ว จะแก้ก็สายเกิน สิ่งเดียวที่มองเห็นคือการหาดาวดวงใหม่ เริ่มต้นใหม่ และมีแนวโน้มว่าจะทำสิ่งซ้ำเดิมอีกรอบอย่างที่เราเห็นกันในหนัง ที่บริษัทโค่นเผา Hometree หรือต้นไม้ยักษ์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนาวีเพื่อแร่ธาตุและทรัพยากร เรียกได้ว่าวันหนึ่งกระบวนการเดิมและนิสัยเดิม ๆ ของมนุษย์ จะนำชะตากรรมเดียวกันของดาวโลกมาสู่ดาวแพนดอร่า จากไอเดียช่วงชิงจึงนำมาสู่พล็อตยึดครองและความต้องการลงหลักปักฐานในภาค The Way of Water
และ The Way of Water ยังเป็นหนังที่นำคำพูดที่ว่า ‘ครอบครัวคือบ้าน; มาแสดงให้เห็นเป็นภาพได้ชัดเจน พร้อมกับนำเสนอแง่มุมใหม่ที่เรายังไม่เคยเห็นบนดาว Pandora ซึ่งทำให้อึ้งทึ่งได้แทบตลอดเวลา เราได้เห็นว่าตัวละครไม่ต้องการจากบ้าน แต่จำใจต้องจาก และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้พบคำตอบว่า อะไรกันแน่คือความหมายของนามสกุล Sully
ในทางปฏิบัติแล้ว Avatar: The Way of Water จึงเป็นทั้งหนัง Family-drama ในสเกลใหญ่ พร้อม ๆ กับ Sub Plot ที่มีความเป็น Coming-of Age ค้นหาตัวเองไปในตัว จากการให้เวลาผืนป่าราวครึ่งเรื่อง และผืนน้ำครึ่งเรื่อง กับครอบครัวครึ่งเรื่อง ชีวิตวัยรุ่นครึ่งเรื่อง ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ทำให้เห็นชัดว่าหนังขับเน้นเรื่องความสัมพันธ์เช่นเดียวกันครับ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน ชาวเผ่า หรือสิ่งมีชีวิตกับธรรมชาติ
ความน่าสนใจนอกเหนือจากนี้ คือการที่ตัวละคร Kiri เป็นผลผลิตของ Eywa (เอวา) หรือพระมารดา ราวกับเป็นร่างอวตารเจตจำนงแห่งธรรมชาติ ผสมผสานกับ DNA ของร่างนาวี Dr. Grace อีกที การคอนเนกจากธรรมชาตินี้จะนำไปสู่อะไร และอะไรคือความต้องการของดาวดวงนี้ เมื่อมันพูดได้และเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังปกป้องชีวิตและสรรพสิ่ง เป็นเรื่องที่เราคงได้รู้คำตอบในภาคต่อไป แต่ Message เดียวที่มีในตอนนี้คือ ธรรมชาติในหนังอยู่ข้างเรา หากเราเชื่อมโยงกับมันมากพอ และโลกของเราเองก็เช่นกัน หรือกล่าวได้ว่าเป็นการนำไอเดีย World Mind (โลกมีชีวิต เชื่อมต่อจิตได้) มาทำให้เป็นรูปธรมมากขึ้นกว่าการเชื่อมต่อด้วยหางเปียเดียวหรือการสัมผัส
ความสัมพันธ์ของอีกคู่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้พัน Quaritch กับ Spider ละแต่ละตัวละครเอง ว่า Quaritch จะมีหนทางอย่างไรต่อจากนี้ ในเมื่อตัวเองเป็นความทรงจำหรือร่างโคลนที่ได้รับมาเพียงเจตจำนงของ Quaritch ที่ตายไปแล้ว แต่อันที่จริงก็ไม่ได้มีความแค้นไปกับ Jake Sully ซะทีเดียว จึงมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวละครนี้เลือกเส้นทางแตกต่างออกไปจากเดิม ส่วน Spider เองก็เป็นตัวละครที่ต้องชั่งใจเช่นกันว่าจริง ๆ แล้วเขาคือใคร แต่ที่แน่ ๆ สายสัมพันธ์นี้ชวนให้นึกถึงการที่ James Cameron นำ Arnold Schwarzenegger ที่เล่นเป็นตัวร้ายในหนังคนเหล็กภาคแรก มาจับคู่อินเนอร์พ่อ-ลูกกับตัวละคร John Conner ในภาค Judgement Day หรือภาค 2 ไม่น้อยเลยครับ
ในภาพรวมแล้วเรื่องความตระการตา ถือว่ายิ่งกว่าคำว่าสอบผ่านครับ ในเมื่อ James Cameron โปรโมตหนังตัวเองอย่างมั่นใจ ก็จะขอกล่าวถึงหนังด้วยเอเนอร์จี้ระดับเดียวกันเช่นกันว่า Avatar: The Way of Water น่าจะใกล้เคียงกับการนั่งยานอวกาศไปท่องต่างโลกที่สุด เท่าที่เราจะมีประสบการณ์ร่วมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชมในโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX 3D เลเซอร์
สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือชื่อของแต่ละภาคครับ จากที่ประกาศชื่อภาค 2-5 จะเป็นตามลำดับ คือ Avatar 2 = The Way of Water, Avatar 3 = The Seed Bearer, Avatar 4 = The Tulkun Rider และ Avatar 5 =The Quest for Eywa สิ่งที่สงสัยหลังดูภาคแรกและ The Way of Water จบ คือป่าก็แล้ว ท้องฟ้าก็แล้ว ใต้น้ำก็แล้ว ภาคถัดไปจะเล่นเรื่องอะไรอีก มีส่วนไหนวัฒนธรรมไหนที่เรายังไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็น และจะพาเราไปสำรวจจักรวาลกว้างไกลถึงไหน
และ 2 สิ่งที่พอรู้คือ James Cameron มีไอเดียว่าสักภาคในนี้จะพาไปสำรวจดวงจันทร์ดวงอื่นของดาว Polyphemus ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการที่ The Way of Water ทำให้เราตะลึงงึงงันได้ตลอดเวลาที่รับชม และตั้งมาตรฐานในการสร้างภาพยนตร์ให้สูงขึ้นไปอีก หนังภาคต่อ Avatar ที่กำลังจะมาต่อจากนี้ จะไม่มีเรื่องไหนธรรมดาเป็นแน่