ใครจะคิดว่าจากห้องเรียนเล็ก ๆ ที่ใช้โต๊ะปิงปองเป็นโต๊ะเรียน มีเพื่อน ๆ น้อง ๆ ไม่กี่คนมาติวหนังสือ จะขยายกลายเป็นโรงเรียนชื่อดังที่ใคร ๆ ก็รู้จัก และมีส่วนสำคัญที่ส่งเด็กไทยไม่น้อยให้ได้เข้าเรียนในคณะที่ตนเองใฝ่ฝัน

สำหรับหลายคนแล้ว วิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาเป็นเสมือนยาขมที่ไม่อยากเรียน ส่งผลให้ทำคะแนนไม่ดี และเป็นตัวฉุดรั้งเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ความคิดเหล่านี้กลับจางหายไป เมื่อได้รู้จักกับ อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ คุณครูผู้ใจดีแห่ง DA’VANCE

เพราะตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีบนเส้นทางของการเป็นครู อาจารย์ปิงใช้เทคนิคการสอนที่เน้นความเข้าใจ เปลี่ยนความน่าเบื่อ ชวนนอน ให้กลายเป็นความสนุกสนาน จนบางคนเปรียบเทียบการสอนของที่นี่ว่าไม่ต่างจากการชมทอล์กโชว์ดี ๆ เลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ DA’VANCE จะยืนหนึ่งในฐานะโรงเรียนกวดวิชาภาษาไทย-สังคมศึกษายอดฮิตมาอย่างยาวนาน

แต่ที่มากกว่านั้นคือสายสัมพันธ์ที่ไร้กาลเวลาของครูกับลูกศิษย์ สัมผัสได้ตั้งแต่ทางเดินขึ้นบันไดไปสู่ห้องเรียน ซึ่งเต็มไปด้วยรูปของอาจารย์ปิงกับนักเรียนเต็มผนัง ทั้งการ์ดอวยพรวันเกิดหรือจดหมายแสดงความขอบคุณ บางคนแม้เรียนจบไปแล้วหลายปีก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน พูดคุย ปรึกษาปัญหาชีวิตกับอาจารย์ สะท้อนถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เพื่อค้นหาถึงเหตุผลที่ทำให้ DA’VANCE ยังคงอยู่ในใจของลูกศิษย์นับแสนชีวิตไม่เสื่อมคลาย ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงนัดหมายกับอาจารย์ปิง เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิต ความฝัน ความทุ่มเท และความรักในการสอนที่ผลักดันให้สถาบันแห่งนี้ยังคงยืนหยัดถ่ายทอดความรู้ ตั้งแต่นักเรียน Gen X มาจนถึงเด็ก Gen Alpha

01
เกิดมาเพื่อสอน 

“ตั้งแต่จำความได้ก็อยากเป็นครู”

ปกติเด็กทั่วไปอาจจะเล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก เล่นซ่อนหา หรือเล่นเกมกด แต่อาจารย์ปิงกลับเลือกแจกขนมให้เด็กแถวบ้าน เพื่อให้มาเรียนหนังสือกับตัวเอง

แม้มีเสียงต่อต้านจากผู้เป็นแม่ว่าไม่อยากให้เป็นครู ด้วยเกรงว่าลูกคนโตจะลำบาก แต่อาจารย์ปิงไม่เคยเปลี่ยนใจ เพราะเชื่อมั่นว่านี่คือแนวทางที่ตัวเองได้เลือกแล้ว

สมัยวัยเยาว์ อาจารย์ปิงเป็นเด็กที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ไม่ได้เก่งที่สุดก็ตาม ส่วนหนึ่งมาจากการปลูกฝังพื้นฐานตอนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนกุหลาบวิทยา เนื่องจากอาจารย์หลายคนโดดเด่นเรื่องการอธิบาย ส่งผลให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ได้ไม่ยาก

กระทั่งขึ้นชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย การเรียนก็ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อหาวิชาต่าง ๆ เริ่มซับซ้อน บางครั้งไม่เข้าใจ เริ่มไม่สนุกกับการเรียนเท่าที่ควร แน่นอน แม้สุดท้ายเกรดเฉลี่ยจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ทั้งหมดนี้มาเห็นผลเมื่อขึ้นชั้น ม.4 โดยอาจารย์ปิงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ตามค่านิยมของสังคมในยุคนั้นที่อยากให้ลูกหลานเป็นแพทย์หรือวิศวกร

แต่อาจารย์ปิงฝืนเรียนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องขออนุญาตแม่เปลี่ยนไปเรียนสายศิลป์แทน และช่วงนั้นเองที่กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญของชีวิต

เดิมทีการเรียนของอาจารย์ปิงจะอยู่ในโรงเรียนเป็นหลัก เรียนพิเศษก็จะเป็นคลาสเสริมที่โรงเรียนจัดให้ ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปหาความรู้เพิ่มเติมจากอาจารย์ข้างนอก มีแค่ช่วง ม.3 ซึ่งได้ออกไปเรียนภาษาอังกฤษแถวยานนาวา แต่ก็ยังไม่รู้สึกตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองเท่าใดนัก เพราะไม่เห็นความแตกต่างกับสิ่งที่เคยเรียนมา ยิ่งเรียนก็ยิ่งน่าเบื่อ อยากให้เวลาผ่านพ้นไปไว ๆ

แต่เมื่อเข้าสู่ระดับ ม.ปลาย อาจารย์ปิงได้รับคำแนะนำให้ทดลองไปเรียนที่สถาบันกวดวิชา SAC แถวถนนจักรพรรดิพงษ์ ทำให้ได้รู้จักกับ อาจารย์เตือนใจ เฉลิมกิจ หนึ่งในปรมาจารย์วิชาภาษาอังกฤษ

วิธีสอนของอาจารย์เตือนใจไม่ซับซ้อน เน้นการอธิบายตามหลักพื้นฐาน ชี้ให้เห็นโครงสร้างของภาษาอังกฤษตามหลักไวยากรณ์ เช่นหลัง Preposition หรือคำบุพบท ต้องเป็น Noun หรือคำนามเสมอ ซึ่งน่าแปลกตรงที่ไม่เคยมีครูคนใดสรุปให้เห็นภาพชัดเจนอย่างนี้มาก่อน

“อาจารย์เตือนใจเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อน แล้วก็รักนักเรียนมาก สอนหนังสือด้วยความทุ่มเทจริง ๆ ก่อนหน้านี้ ภาษาอังกฤษเราได้แต่จำกฎ แต่ไม่รู้ถึงพื้นฐานที่ถูกต้องว่ามันเป็นมายังไง แต่เมื่อได้เรียนกับอาจารย์และนำมาทบทวน เราก็จำได้แบบอัตโนมัติเลย ที่สำคัญคือเป็นพื้นฐานที่เราจะไปต่อกับบทยาก ๆ ได้ อาจารย์ทำให้เรื่องยาก ๆ เหล่านั้นกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ไม่มีอะไรเลย”

ยิ่งกว่านั้นก็คือการวางตัวของอาจารย์เตือนใจที่ไม่เคยโอ้อวด เป็นครูธรรมดาที่พูดเพราะ ให้เกียรตินักเรียน รับผิดชอบสูง ไม่มีคำว่าธุรกิจในหัวเลย อย่างเช่นนักเรียนในโรงเรียนที่อาจารย์สอน หากอยากมากวดวิชาที่ SAC อาจารย์จะไม่ยอมให้มาสมัคร แต่จะสอนให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทุก ๆ เช้าก่อนเข้าเรียนวันละ 20 – 30 นาที นับเป็นจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง และกลายเป็นแบบอย่างของครูในฝัน ที่อาจารย์ปิงยึดถือเรื่อยมา

อาจารย์อีกท่านที่มีอิทธิพลต่อการเรียนของอาจารย์ปิงคือ รศ.สมัย เหล่าวานิชย์ ซึ่งสอนคณิตศาสตร์ เพราะอาจารย์หลายคนมักสอนแต่สูตรลัด บางคนก็สอนข้ามไปข้ามมาทำให้ไม่เห็นภาพรวม พื้นฐานความรู้จึงไม่แน่นเท่าที่ควร แต่อาจารย์สมัยกลับเน้นสอนทุกอย่างตามขั้นตอน ทำให้นักเรียนเข้าใจและเห็นเหตุและผลว่าเพราะอะไรคำตอบถึงเป็นเช่นนี้

“อาจารย์สมัยทำให้รู้สึกว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีทางลัดหรอก มันเดินตามวิถีของมัน จาก 1 ไป 2 ไป 3 ไป 4 แต่บางคนเขาจะอธิบายจาก 1 ไป 6 ไป 10 พอเราไม่เห็น 2 – 3 – 4 – 5 ก็จะรู้สึกมันมาได้ยังไง แต่ถ้าทุกอย่างถูกเล่าตามไทม์ไลน์ อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล กลไกสมองก็จะทำงาน แล้วเราจะจำได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมถึงเรียนบางวิชาไม่เข้าหัว เพราะที่ผ่านมาเราเจอครูที่สอนกระโดดข้ามไปมาตลอด แต่เมื่อมาเรียนกับอาจารย์สมัย ก็รู้เลยว่านี่แหละคืออาจารย์ที่รอคอยมานาน คนที่พูดอะไรแล้วสั้น ตรงประเด็น ไม่ต้องพิสดาร และทำให้ชีวิตของเราโดดขึ้นมาตั้งแต่วันนั้น”

การพบเทคนิควิธีเรียนที่ถูกต้องและเหมาะสมก็ไม่ต่างจากการเจอจิ๊กซอว์ที่หายไป เพราะจากที่เคยเรียนดีแบบทั่วไปก็กลายเป็นนักเรียนแถวหน้าที่ทำคะแนนท็อปได้ถึง 4 วิชา คือภาษาไทย คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ พร้อมกับได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปตอบปัญหาชิงถ้วยรางวัล

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือการได้รับมอบหมายจากครูให้ช่วยติวหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษเรื่อง The Murder of Roger Ackroyd ของ Agatha Christie แก่เพื่อนสายศิลป์ชั้น ม.5 ทั้งโรงเรียน อาจารย์ปิงจึงต้องอ่านแล้วย่อยสรุปให้เพื่อน ๆ ฟัง ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างตั้งใจฟังอย่างเหลือเชื่อ แทบไม่มีเสียงคุยแทรกเลย สร้างความประหลาดใจให้คุณครูว่า ลูกศิษย์คนนี้สะกดทุกคนได้อย่างไร

มากกว่านั้น ภายหลังเพื่อนในห้องยังมาขอร้องให้อาจารย์ปิงช่วยติววิชาคณิตศาสตร์อีกด้วย และนั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นครูสอนพิเศษอย่างจริงจัง

“มันตกกันเกือบยกห้อง พอตัดเกรดมีเราได้ 4 อยู่คนเดียว ส่วนเกรด 3 ไม่มีเลย เกรด 1 – 2 มีนิดหน่อย ที่เหลือตก เพื่อนเลยบอกว่าช่วยติวให้หน่อย เราก็สอนเทคนิคว่าต้องทำอย่างไร คือวิชาเลขก็เหมือนการเล่นเกม ถ้าเล่นเป็น เราก็อยากกดทุกวัน แต่ถ้าเล่นไม่เป็นก็เซ็งหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้สอนเท่านั้น มีคุย มีเฮฮา ดีดกีตาร์ แซวคน บางทีมันก็บ่นให้เราฟังว่า ไปจีบหญิงแล้วเป็นยังไง เป็นการเรียนที่กลมกล่อม เพราะชีวิตของเด็กสายศิลป์ไม่ได้เรียนอย่างเดียวอยู่แล้ว”

นับแต่นั้น ทุก ๆ เย็นชีวิตนักเรียนของอาจารย์ปิงก็แทบไม่เคยว่าง เพราะนอกจากต้องสอนเพื่อนแล้ว บางครั้งยังต้องสอนรุ่นพี่ที่กำลังเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย โดยวิชาที่สอนประกอบด้วย 4 วิชาที่ได้ท็อปนั่นเอง ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาด เพราะพี่ ๆ ต่างพาเหรดกันสอบติดคณะที่ตัวเองตั้งใจไว้

หากแต่เมื่อถึงคราวของตัวเอง อาจารย์ปิงกลับไม่ได้เลือกสอบเข้าคณะครุศาสตร์ แต่หันไปเลือกเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“ทุกคนร้อยละร้อยไม่มีใครเห็นด้วยเลยที่เราจะเป็นครู อย่างแม่ไม่มีวันยอมเลย แม่บอกว่ากว่าจะได้เงินก็ลำบาก วันหนึ่งต้องตะเบ็งเสียงเท่าไร แล้ววันหลังแม่จะกล้าใช้เงินเหรอ แม้แต่ครูของเรายังบอกว่า เธอคิดดีแล้วเหรอที่จะมาเป็นครู ฉันเป็นครูยังไม่เห็นว่าจะดีตรงไหนเลย แต่นั่นเป็นมุมของเขา ไม่ใช่มุมของเรา ก็เหมือนผู้หญิงคนนี้ทุกคนมองว่าไม่สวย แต่เรามองสวย มันก็มุมของเราหรือเปล่า 

“แต่ที่เลือกบัญชี เพราะตอนนั้น ถ้าเรียนศิลป์-คำนวณ อันดับ 1 ต้องเป็นบัญชีเท่านั้น แล้วป้าก็จบธรรมศาสตร์ เหมือนกลาย ๆ ว่าเราต้องเรียนแบบเดียวกับเขา อีกอย่างคือเรารู้สึกว่าความเป็นครูมันอยู่ในตัวอยู่แล้ว เหมือนเราจะเป็นแม่คน ไม่ต้องไปเรียนวิชาแม่ มันอยู่กับตัวไง ซึ่งพอป้าบอกให้เรียนก็เรียน”

หากแต่ชีวิตนักศึกษาธรรมศาสตร์นั้น อาจารย์ปิงแทบไม่เคยเข้าห้องเรียนเลย เพราะถ้าไม่ไปนั่งพูดคุยกับเพื่อน เวลาส่วนใหญ่นั้นหมดไปกับการสอนหนังสือ ควบคู่กับการตั้งต้นโรงเรียนของตัวเอง

02
อิฐแห่งความก้าวหน้า

คงไม่ผิดหากจะบอกว่า DA’VANCE เกิดจากโต๊ะปิงปองเพียงตัวเดียว

หลังจากติวหนังสือให้เพื่อน ๆ จนประสบความสำเร็จ อาจารย์ปิงก็ไม่เคยหยุดสอน เพราะปีถัดมาเพื่อนหลายคนก็ฝากน้องมาเรียนด้วย นี่ยังไม่รวมถึงเพื่อนของน้องเพื่อน และเพื่อนที่เอนทรานซ์ไม่ติด รวมแล้ว 10 กว่าคน อาจารย์ปิงจึงเปิดห้องเล็ก ๆ ในบ้านแถวเยาวราชเป็นห้องเรียน โดยใช้โต๊ะปิงปองครึ่งตัวเป็นที่สอนหนังสือ พอเรียนเสร็จก็เล่นปิงปองกันต่อ โดยไม่เคยคิดเลยว่าห้องเรียนนี้จะขยายใหญ่ คิดเพียงแต่ว่าสุขใจที่ได้สอน ได้แบ่งปันความรู้ให้น้อง ๆ

“ตอนแรกไม่เก็บตังค์ด้วยซ้ำ เพราะไม่กล้าเก็บเพื่อน น้องเพื่อนเราก็ไม่เก็บ จนแม่บอกว่า วันหลังไปอยู่วัดเลยนะ เราก็เลยเก็บนิดหน่อย ไม่ได้เก็บแพง คือไม่เคยคิดในเชิงธุรกิจหรือโตแบบกอบโกย ตอนหลังพอคนเยอะขึ้น โต๊ะปิงปองก็เริ่มไม่พอ จึงเปลี่ยนมาสอนห้องใหญ่ ซึ่งห้องเรียนแรกในชีวิตอาจารย์ปิง อย่างโต๊ะ เก้าอี้ กระดาน ก็ไม่ได้ลงทุนเอง ลูกศิษย์รวมตัวกันซื้อให้ ซึ่งเราภูมิใจมาก คือบางคนเขาภูมิใจกับเงินที่ตัวเองหาได้ แต่เรากลับภูมิใจในสิ่งที่คนอื่นให้ เพราะถ้าเราหาเองมันคือสามารถ แต่คนอื่นให้ เพราะเขารักเรา”

ในช่วงนั้นเองที่คำว่า DA’VANCE ถือกำเนิดขึ้นมา..

DA’VANCE เป็นคำภาษาฝรั่งเศส ออกเสียงว่า ดาว้องก์ แปลว่า ก้าวหน้า เป็นคำเดียวกับ ADVANCE ในภาษาอังกฤษ เพียงแค่สลับตัว A กับ D และใส่เครื่องหมาย’

เบื้องหลังของคำนี้มาจากน้องสาวของอาจารย์ถูกครูที่โรงเรียนลงโทษให้คัดเพราะเขียนผิด พออาจารย์ปิงถามถึงเสียงอ่านและความหมายก็รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงนำคำนี้มาเป็นชื่อโรงเรียน เพราะดูไม่เป็นวิชาการเหมือนกับที่อื่นซึ่งมักใช้คำว่า Academy โดยอาจารย์ปิงอยากให้ชื่อโรงเรียนมีความคล้ายคลึงกับชื่อพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งนานวันยิ่งมีค่า และเวลาออกเสียงแล้วรู้สึกว่าเพราะดี

หากแต่จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของอาจารย์ปิงเกิดขึ้นในช่วงขึ้นปี 2 เนื่องจากสถาบัน SAC ที่เคยเรียนพิเศษ มีอัตราครูสอนสังคมศึกษาว่างอยู่ อาจารย์เตือนใจจึงทาบทามลูกศิษย์คนนี้มาก่อน ซึ่งวิธีบริหารของสถาบันแห่งนี้จะให้อาจารย์แต่ละคนรับผิดชอบคอร์สของตัวเอง อาจารย์ปิงก็ใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการนำกระดาษ A4 ปึกหนึ่งมาเขียนรายละเอียดว่าสอนอะไรบ้าง วันไหน ค่าเรียนเท่าไหร่ จากนั้นก็วางทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์ เพราะต้องการรับเฉพาะคนที่สนใจเรียนจริง ๆ เท่านั้น

“ไม่รู้ว่าจะมีเด็กมาเรียนหรือเปล่า เพราะเราไม่ใช่แนวแจกหน้าโรงเรียน เนื่องจากบางคนก็ไม่สนใจ ขยำทิ้งก็มี แต่กลายเป็นว่าวันแรกที่สอน อาคารมี 3 ชั้น เราสอนชั้นบนสุด จำได้ว่าไม่มีที่ยืนเลย เด็กนั่งกันเต็มไปหมด ยาวไปจนถึงบันไดชั้น 2 แม้แต่ตัวเองยังต้องยืนพิงกระดาน เพราะคนหน้าสุดอยู่ตรงพุงเลย เราก็สงสัยว่าเด็กมาจากไหนเยอะแยะ น่าจะบอกต่อกันมา”

มากกว่านั้น อาจารย์ปิงยังได้รับโอกาสให้ไปสอนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งเพิ่งเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ไม่นาน โดยภารกิจหลักคือสอนวิชาสังคมศึกษา ซึ่งเพียงครั้งเดียวก็ได้ใจนักเรียนที่นั่น กระทั่ง มาสเตอร์ทวี ปัญญา อาจารย์หัวหน้าระดับชั้น ต้องให้คนโทรศัพท์ถึงสถาบัน SAC เพื่อถามอาจารย์ปิงว่าสนใจอยากมาเป็นครูพิเศษที่โรงเรียนหรือไม่ โดยให้เลือกระหว่างเป็นอาจารย์ที่ได้ค่าชั่วโมงเยอะ แต่ว่ามาติวนักเรียนเฉพาะช่วงเวลาพิเศษหรือมาสอนประจำทุกสัปดาห์ พร้อมกับทำหน้าที่ออกข้อสอบและเก็บคะแนน แต่จะได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงซึ่งน้อยกว่าแบบแรก

ด้วยความที่อยากเป็นครูมาตลอดจึงเลือกสอนแบบให้คะแนน แม้จะเหนื่อยและภารกิจจะยุ่งยากกว่าก็ตาม ซึ่งอาจารย์ปิงก็ทุ่มเทเต็มที่ สอนต่อเนื่องมาร่วม 10 ปี ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยวางรากฐานวิชาสังคมศึกษาของโรงเรียนให้แข็งแรง ผลที่ออกมาก็คือลูกศิษย์รุ่นแรกนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ถึง 70% และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่านั้น หลายคนยังสนิทสนมไปมาหาสู่ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นประสบการณ์สำคัญที่อาจารย์ปิงไม่เคยลืมเลือน

แต่ถึงกราฟชีวิตการเป็นครูจะพุ่งไม่หยุด ทว่าบทบาทการเป็นนักเรียนกลับแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะอาจารย์ปิงทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้การสอน จนไม่มีเวลาอ่านหนังสือและส่งการบ้าน บางเทอมทำเกรดเฉลี่ยได้ไม่ถึง 2 ด้วยซ้ำ จึงต้องปรับแผนชีวิตใหม่ จากเดิมที่เคยตั้งใจจะเรียนสาขาวิชาการบัญชี ก็ต้องหันมายังสาขาวิชาการบริหารบุคคลแทน พร้อมกับจัดตารางเวลาให้สมดุล คือช่วงใกล้สอบจะหยุดสอนไปเลย 2 สัปดาห์ จนสุดท้ายก็เรียนจบและคว้าปริญญาบัตรมาให้พ่อแม่ได้ตามที่หวัง

หลังจากสอนหนังสือที่สถาบัน SAC ควบคู่กับที่บ้านนานร่วมปี อาจารย์ปิงจึงตัดสินใจปิดคอร์สที่ SAC และหันมาทุ่มเทให้การสอนที่ DA’VANCE อย่างจริงจัง เพราะไม่ชอบการเดินทาง

เช่นเดียวกับวิชาที่สอนก็เริ่มทยอยปล่อยมือจากบางวิชา วิชาแรกคือภาษาอังกฤษ เพราะถึงสอบได้ท็อปทั้งระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย แต่อาจารย์ปิงก็รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนพื้นถิ่น บ่อยครั้งไม่มั่นใจว่าออกสำเนียงถูกหรือเปล่า อีกวิชาก็คือคณิตศาสตร์ซึ่งถือเป็นวิชาที่ถนัดที่สุด แต่พอดีมีเพื่อนมาช่วยสอน ดังนั้น หากต้องการให้เพื่อนต่อยอดในเส้นทางนี้ได้ ก็ต้องไม่สอนแข่ง จึงสอนแค่วิชาภาษาไทยกับสังคมศึกษาเท่านั้น

ที่ผ่านมาวิชาภาษาไทยกับสังคมศึกษามักโดนดูถูกว่าเป็นวิชาสายศิลป์ ทั้งที่มีความสำคัญ เป็นพื้นฐานที่ช่วยสร้างความเข้าใจเวลาอ่านโจทย์ในวิชาอื่น ๆ และยังเป็นความรู้ที่จะติดตัวเราไปตลอดชีวิต ดังนั้น อาจารย์ปิงจึงอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงคุณค่าของทั้ง 2 วิชานี้

หลังจากนั้นปริมาณนักเรียนที่สมัครที่เพิ่มจำนวนทวีคูณจากเดิมทีที่เรียนกันในห้องขนาดย่อมก็ต้องทุบ 2 ห้องเล็กจนกลายเป็นห้องใหญ่ ต่อมาก็ต้องขยายห้องเรียนมายังชั้นล่าง ต่อสายสัญญาณถ่ายทอดสดเพื่อให้ทุกคนได้เรียนพร้อมกัน ก่อนจะขยายมาที่ตึกฝั่งตรงข้ามเพิ่มเติม เพื่อรองรับเด็กที่มาสมัครเรียน แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี จนสุดท้ายแม่ก็เลยบอกให้เปิดสาขาเพิ่ม

“ไม่เคยคิดและไม่กล้าจะเปิดสาขาเลย เพราะเราไม่เคยวางโมเดลธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น อีกอย่างคือในมุมมองของคนอื่นที่ไม่ได้สนิทกับเรา เรากังวลว่าเขาจะมองอย่างไร กลัวจะเสียความเป็นครู แต่หม่าม้าบอกว่า ลูกต้องคิดอีกแบบ คนที่ไม่ได้เรียนเขาเสียใจ อย่างรอบสด ตอนตี 3 มารอคิวแล้ว พอถึง 7 โมงเต็มแล้ว สมัครไม่ได้ นั่งเสียใจร้องไห้อยู่ที่โรงเรียน ไปตีโพยตีพายกับพ่อแม่ว่าทำไมหนูไม่ได้เรียน ก็เลยตัดสินใจว่า ขยายแล้วกัน ทุกอย่างตามใจแม่ แม่บอกอะไรก็ทำ ยกเว้นเลิกสอน

“ตอนหลังก็เริ่มเปิดที่ต่างจังหวัด เนื่องจากมีเด็กภูเก็ตคนหนึ่งมาเรียนสดทุกเย็นวันศุกร์ พอ 3 โมงเลิกเรียนปุ๊บ เขาจะตีตั๋วนั่งเครื่องบินมากรุงเทพฯ แล้วเขาก็จะเข้าเรียนสายทุกครั้ง แต่เขาก็ยังมาเพราะอยากเรียนสด แล้วพอวันอาทิตย์เช้าก็จะกลับบ้าน เราจึงรู้สึกว่าหากเปิดสาขาให้ เขาน่าจะสะดวกมากขึ้น เชียงใหม่ก็มีแบบนี้เหมือนกัน เราเลยเปิดทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ แน่นอนบางคนอาจมองเป็นโมเดล คิดว่าเราเน้นธุรกิจ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงรีบเปิดสาขา รีบโกยไปหมดแล้ว แต่นี่เราค่อย ๆ เปิดตามความต้องการ และไม่มีการระดมทุนอะไรเลย”

จากโต๊ะปิงปองแค่ครึ่งตัว ห้องเรียนของอาจารย์ปิงจึงเติบโตขยายไปหลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีลูกศิษย์หลั่งไหลมาเรียนไม่หยุด ไม่เฉพาะเด็กสายศิลป์ แต่เด็กสายวิทย์ก็มาเรียนด้วย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้ใครต่อใครเห็นว่า สำหรับวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาที่ใครหลายคนมองข้ามว่าเป็นวิชาใกล้ตัว ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่หากมีวิธีการสอนที่ดีก็ย่อมได้รับความสนใจจากนักเรียนไม่น้อยเช่นกัน แถมยังพลิกกลับมาช่วยทำคะแนน เป็นเสมือนสปริงบอร์ดส่งให้ไปถึงคณะที่ใฝ่ฝันได้อีกด้วย

03
เติมจิ๊กซอว์การเรียน (ที่หายไป) ให้เต็ม 

เรียนกับอาจารย์ปิงก็เหมือนได้ชมทอล์กโชว์ดี ๆ คงเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริง

เพราะนอกจากสาระความรู้เต็มเปี่ยมแล้ว ยังได้ความสนุก ความบันเทิง และเสียงหัวเราะเป็นของแถม สิ่งนี้คือเสน่ห์ดึงดูดเด็ก ๆ ให้อยากมาเรียนที่ DA’VANCE

หากแต่เบื้องหลังการสอนนั้นมาจากความทุ่มเททำงานหนัก 

ในช่วงแรกอาจารย์ปิงใช้วิธีตะลุยอ่านหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการใช้ออกข้อสอบ แล้วนำมาสรุปสั้น ๆ แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับครูวัยอายุ 18 – 19 ปี บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจถึงที่มาที่ไปของคำตอบนั้น เพราะยังไม่มีความรู้เพียงพอ

ต่อมาจึงต้องสั่งสมประสบการณ์นอกตำราเพิ่มเติม ตามหาจิ๊กซอว์ที่หายไป เพื่อนำกลับมาเติมเต็มช่องว่างในบทเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา ซึ่งมีเนื้อหากว้างใหญ่ไพศาล อาจารย์ปิงจะศึกษาค้นคว้าให้มากที่สุด จากนั้นก็สกัดความรู้ว่าเนื้อหาส่วนไหนที่มี ‘น้ำหนัก’ ต้องให้ความสำคัญ เสริมด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพ พร้อมกับใส่ ‘น้ำเสียง’ ให้เรื่องราวสนุกและเพลิดเพลิน

อย่างเช่น กฎบัตรแมกนาคาร์ตา ตามแบบเรียนจะเล่าว่า ขุนนางอังกฤษบังคับให้ พระเจ้าจอห์น ลงพระนามว่าจะอยู่ภายใต้กฎหมาย หลังจากทรงขูดรีดภาษีจากราษฎร ซึ่งถ้าเล่าตามตำราเป๊ะ หลายคนก็คงรู้สึกเบื่อเพราะไม่เห็นความเชื่อมโยงกับตัวเอง อาจารย์ปิงก็จะเล่าเสริมว่าเหตุการณ์นี้ตรงกับช่วงที่โรบินฮูดบุกพระคลังไปปล้นสมบัติมาแจกจ่ายคนยากคนจน ซึ่งผลจากการลงพระปรมาภิไธยในครั้งนั้น ทำให้ราชสำนักอังกฤษไม่มีพระมหากษัตริย์ใช้พระนามว่าพระเจ้าจอห์นอีกเลย

“พวกประวัติศาสตร์ จริง ๆ เล่าได้ถึง 3 ชั่วโมงเลย แต่เราเล่าแค่ 10 นาทีให้รู้เรื่อง ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลาแค่ไหน อย่างยุคหนึ่งเราเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับผี เช่น สงครามโลก ซึ่งคนตายเยอะ หรืออย่างสงครามเวียดนาม เราก็จะเล่าว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงเข้ามา แล้วเหตุใดคนอเมริกันถึงต่อต้าน เพราะเขาเกณฑ์ทหารตอนอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นวัยเริ่มต้นชีวิต แต่กลายเป็นว่าคุณต้องจบชีวิตหรือกลับมาแล้วพิการ แบบนั้นคิดว่า คนอเมริกันจะโอเคไหมที่เห็นลูกหลานเป็นแบบนี้ ซึ่งพอเด็กได้ฟัง ก็เข้าใจเลย

“อย่างเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็เหมือนกัน เราพยายามหยิบการเป็นนักรบผู้มีสติปัญญาขึ้นมาเล่า ถ้าไปดูจะเห็นว่าพระองค์เป็นคนที่ใช้ยุทธวิธีในการรบเป็น ไม่ใช่ตะลุยอย่างเดียว ไม่รู้จักคำว่าถอย ถ้าเราไปอ่าน สามก๊ก จะเจอว่ายุทธวิธีหนึ่งก็คือการเผ่น สู้ไม่ได้อย่าไปสู้ อย่างตอนนั้นทรงไปตีเมืองคังให้กรุงหงสาวดี แล้วเมืองคังอยู่บนยอดเขาสูง ศัตรูก็เขวี้ยงก้อนหินใส่ ยิงอะไรใส่ก็กลับลงมาที่เดิมหมด คนข้างล่างไม่มีทางชนะ สมเด็จพระนเรศวรจึงสั่งให้ถอยออกมาก่อน และทรงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปไม่ได้ที่พวกนี้จะอยู่บนยอดเขาตลอด จากนั้นก็ส่งคนไปสืบข่าวว่าทางขึ้นเขาอยู่ตรงไหน กระทั่งทรงยึดเมืองได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าไม่ได้ทรงชนช้างอย่างเดียว พระสติปัญญาต้องมาแล้ว รู้เขารู้เราด้วย”

ไม่เพียงค้นคว้าอย่างละเอียด หลายครั้งถ้ามีโอกาส อาจารย์ปิงก็จะเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการสอน เช่น ไปสังเวชนียสถานเพื่อศึกษาเรื่องพระพุทธเจ้า ไปดูศิลาจารึกหลักแรก ๆ ของเมืองไทยที่ปราสาทเขาน้อย จังหวัดสระแก้ว หรือไปถึงพระราชวังแวร์ซายที่ นโปเลียน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศสเคยประทับอยู่ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เล่าเนื้อหาออกมาได้เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา เพราะเล่าออกมาจากประสบการณ์จริง แถมยังมีเกร็ดความรู้อื่น ๆ นอกเหนือจากในตำรา

หากจะว่าไปแล้ว วิธีการสอนที่เรียกว่า ‘สอนเคลียร์ไม่มีคาใจ’ ก็คือวิธีเดียวกับที่อาจารย์สมัยเคยใช้มาก่อน คืออธิบายทุกอย่างด้วยเหตุผล จาก 1 – 2 – 3 เรื่อย ๆ จนถึง 10 เพียงแต่อาจารย์ปิงนำมาขมวดให้กระชับขึ้น ทำเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย แล้วปล่อยให้ความรู้ซึมซับไปเอง โดยไม่จำเป็นต้องท่องจำอะไรมาก

“วิชาสังคมศึกษาก็เหมือนการขับเครื่องบิน ยิ่งสอนมานาน ชั่วโมงบินเรายิ่งไปไกล รู้ที่มาที่ไป รู้ว่าควรจะต้องพูดอันไหน แล้วพูดในน้ำหนักประมาณไหน พอยิ่งรู้ที่มาที่ไปมันโคตรธรรมชาติเลย เราจะรู้เลยว่าต้องพูดยังไงแล้วเหมือนกับเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง เฮ้ยวันนี้ไปเจอเรื่องนี้มา”

แต่ถึงจะมีประสบการณ์มากเพียงใด อาจารย์ปิงก็ยังต้องเตรียมการสอนใหม่ทุกครั้ง ต้องจัดสรรเวลาว่าจะพูดแต่ละเรื่องมากน้อยเพียงใด ประเด็นไหนควรพูด ประเด็นไหนข้ามไปก็ได้ ตลอดจนพยายามอัปเดตความรู้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับข้อสอบ ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนรู้สึกว่า อาจารย์ปิงเก็งข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แม่นยำ เสมือนรู้ใจว่าผู้ออกข้อสอบว่าจะมาไม้ไหน

“เรื่องนี้ก็เหมือนกับเราหยิบสินค้าได้ถูก เพราะเราขายของตรงนี้มานานก็ต้องพอรู้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเดาใจได้ตลอด เพราะคนออกข้อสอบเปลี่ยนไปตามยุค ตามวัย เราต้องไล่ตามให้ทัน ไม่อย่างนั้นเด็กจะเสียเวลามาเรียน เช่นทุกวันนี้ประวัติศาสตร์เขาก็จะเน้นไปทางศิลปะ เราก็อาจจะต้องหยิบเรื่องประวัติศาสตร์ศิลป์ อย่างพระพุทธรูป เครื่องเรือนมาพูดเยอะหน่อย แต่ยุคต่อไปก็อาจจะไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องเลิกทาส เลิกไพร่ก็ได้ มันมีช่วงเวลาของมันอยู่”

อีกอย่างคือความใส่ใจที่มีต่อผู้เรียน อาจารย์จะคอยสังเกตหน้าตาและท่าทางของเด็ก ๆ ถ้าทำหน้างง คิ้วขมวด แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ดังนั้นต้องหาวิธีอธิบายหรือขยายความให้ชัดเจนขึ้น เช่น รากศัพท์คำนี้มาจากไหน ทำไมบางคำคนชอบใช้ผิด มีวิธีอย่างไรเพื่อจะไม่ผิดอีก

“เวลาพูดอะไรก็ต้องดูด้วยว่าคนฟังสนใจหรือเปล่า ถ้าไม่สนใจเราจะพูดทำไม เหมือนตอนเรานั่งดูทีวีก็คิดว่า ถ้าเราเป็นพิธีกรอยู่ตรงนั้นจะไม่พูดแบบนี้ บางคนพูดเยอะไป คนไม่ได้อยากฟัง บางทีพูดสั้น ๆ คนเขารู้อยู่แล้ว ไปขยายจนเขาสมาธิหมด แต่บางเรื่องต้องขยาย ทำให้เขาอยากฟังเพิ่ม คือเราต้องรู้ว่าอันไหนควรขยายหรือไม่ขยาย เพราะฉะนั้น เราต้องคอยสังเกต อวัจนภาษาของเขาเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเราพูดกับผนังห้องหรือเปล่า”

การเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วม คืออีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น ในห้องเรียนสด อาจารย์ปิงจะพยายามพูดคุย ถามตอบกับนักเรียนให้มากที่สุด ถ้าใครตอบผิดก็ไม่ซ้ำเติมหรือต่อว่า เพราะยิ่งตอบผิดยิ่งดี เด็กจะได้เรียนรู้และจดจำข้อผิดพลาด จะได้ไม่ผิดซ้ำสองอีก

สมัยก่อนอาจารย์ปิงจะแจก ‘บัตรเต่าถุย’ ให้นักเรียนที่ตอบผิด โดยคำว่า ‘เต่าถุย’ มีที่มาจาก บัว 4 เหล่าของพระพุทธเจ้า ซึ่งบัวเหล่าที่ 4 นั้นอยู่ในตม หมายถึงโง่ที่สุด แต่จริง ๆ แล้วยังมีบัวอีกประเภทที่อยู่ล่างสุด คือบัวเต่าถุยที่แม้แต่เต่ากินแล้วยังถุยทิ้ง

“จริง ๆ เอาไว้แกล้งกันสนุก ๆ เป็นชมรมเต่าถุย โดยนายกสมาคมฯ คือฉันเอง เป็น Number 1 ซึ่งเด็กชอบมาก ใครได้รีบเก็บเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแจกแล้ว”

สำหรับนักเรียนบางคนที่ได้คะแนนไม่ดี ทั้งที่ตอนสอบคิดว่าตัวเองทำได้ อาจารย์ปิงก็เชื่อว่าไม่ใช่เขาไม่มีความรู้ แต่อาจเป็นเพราะอ่านคำถามไม่กระจ่าง บางครั้งก็ตีความโจทย์ผิด จินตนาการไปอีกเรื่อง ทำให้ ‘ไปโดนเขาหลอกอีกแล้ว’ ยกตัวอย่างคำถามง่าย ๆ ว่า ข้อไหนเป็นแบบแผนของครอบครัว ซึ่งหลายคนมักตอบว่า เลี้ยงลูก แต่การเลี้ยงลูกไม่ใช่แบบแผน เป็นหน้าที่ต่างหาก คำตอบที่ถูกต้องคือการแต่งงาน เพราะก่อนจะเริ่มครอบครัว ก็ต้องมีการแต่งงานก่อน เป็นต้น

“บางทีเด็กตอบผิด ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้เรื่อง แต่เหมือนเขาถามวัวแล้วเราไปตอบควาย นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเรียนภาษาไทยคู่กับสังคม เพราะรู้แต่สังคมแต่ไม่รู้ Wording ก็ตาย คือคนจับประเด็นไม่ได้ แต่ถ้าจับประเด็นได้ก็จะรู้เลย”

ในขณะที่เด็กบางคนอาจมีปัญหาที่การเรียบเรียง มาเรียนแล้วมีความรู้ แต่เรียบเรียงไม่เป็นทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ สิ่งนี้ไม่อาจตัดสินว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง เพราะบางคนอาจเรียนไม่เก่ง แต่นำไปใช้เก่งกว่า อาจารย์จึงไม่เคยดูถูกเด็กที่ได้คะแนนน้อย และพร้อมให้กำลังใจอยู่เสมอ

สุดท้ายแล้วอาจารย์ปิงเชื่อว่า ต่อให้พร่ำสอนอย่างดีแค่ไหน ไม่สำคัญเท่ากับที่ตัวนักเรียนต้องไปทบทวนทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ความรู้นั้นถึงจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และอยู่ติดตัวเขาต่อไป เหมือนกับในโลโก้ของ DA’VANCE ที่แฝงแนวคิดนี้เอาไว้ โดยมีอิฐ 8 ก้อนวางตั้งตรง แต่มีก้อนหนึ่งที่เอียงอยู่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เรียนที่ต้องคลิกอิฐก้อนสุดท้ายนั้นเอง

04
ความผูกพันที่ไร้กาลเวลา

“เราอาจจะสนิทกับเด็กทั้งหมดไม่ได้ แต่เรารักเด็กทุกคนได้”

แม้จะเป็นครูโรงเรียนกวดวิชา แต่น่าแปลกที่ลูกศิษย์หลายคนกลับผูกพันกับอาจารย์ปิง ไม่ต่างจากครูในโรงเรียนทั่วไป หลายคนเรียนจบไปนานหลายปี ทำงานทำการเป็นใหญ่เป็นโต โด่งดังมีชื่อเสียง แต่เมื่อมีโอกาสก็มักแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยียนหรือพูดคุยกันเสมอ

ความสัมพันธ์นี้เกิดจากการวางตัวที่เข้าถึงได้ง่าย พร้อมเปิดใจรับฟังเด็ก ๆ ด้วยความรัก นี่อาจเป็นสาเหตุว่า ทำไมใคร ๆ ถึงกล้าเปิดใจและระบายความรู้สึกของตัวเองกับอาจารย์ปิง

“เด็กหลายคนน่ารักมาก อย่างเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เราเคยให้เด็กมาปรึกษาเพราะทำคะแนนได้ไม่ดี พอนั่งปุ๊บน้ำตาเขาไหลเลย เขาบอกว่าหนูเสียใจ หนูตั้งใจจะทำคะแนนให้พ่อแม่แต่ทำไม่ได้ คือเขาไม่ได้ร้องให้คนอื่นดู แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่เห็น เขาเก็บทุกอย่างแล้วมาปล่อยตรงนี้หมดเลย สิ่งที่เราทำได้คือกอด แล้วก็บอกว่าเขาทำเต็มที่แล้ว เราคุมทุกอย่างในโลกไม่ได้หรอก แน่นอนวันนี้เราอาจผิดหวัง แต่ให้เวลาผ่านไป เราจะผ่านไปได้ และสักวันเราอาจจะทำได้ แต่ทำได้ด้วยรูปแบบอื่น

“บางคนก็มาปรึกษาเรื่องการเลือกคณะ เขาอยากเรียนจุฬาฯ คณะอะไรก็ได้ ซึ่งเราต้องตีโจทย์ของเด็กให้ออก เพราะปกติถ้าเป็นทั่วไปก็จะเลือกคณะที่ตัวเองชอบ ขณะที่บางคนเขายึดติดที่สถาบัน เราก็ต้องหาสิ่งที่อยู่ในใจเขาให้ได้ก่อน แต่ปัญหาคือเด็กบางคนไม่กล้าเลือก เพราะมันเกินฝัน ดูคะแนนแล้วไม่น่าจะได้ เราก็อาจแนะนำให้ไปเรียนที่อื่นก่อน แล้วค่อยมาเรียนปริญญาโท ติดคำว่าจุฬาฯ เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นจุฬาฯ ตั้งแต่ปริญญาตรีก็ได้”

ที่สำคัญ เทคนิคการเข้าใจเด็กที่ได้ผลเสมอ คือการพูดคุย ไถ่ถาม ไม่ใช่การคาดเดาหรือตัดสินใครโดยที่ไม่มีข้อมูลหรือจินตนาการไปเอง

“ไม่เข้าใจอะไรก็ต้องถาม อย่างทุกวันนี้เด็กผู้หญิงหลายคนหน้าขาว เราก็ถามว่าหนูใช้อะไร หนูใช้คุชชันค่ะคุณแม่ แล้วทำไมถึงแต่งแบบนี้ล่ะ ก็เดี๋ยวนี้เขาไม่แต่งเกาหลีแล้ว เขาแต่งแบบจีน เราก็คุยแซวกัน หรืออย่างความรัก เด็กเดี๋ยวนี้คุยกันน้อยกว่าเดิมเยอะ เพราะเขามีพื้นที่ของตัวเอง พอเลิกกับคนเก่าปุ๊บก็ขึ้นโซเชียลเลยว่าโสด วันต่อมามีใหม่เลย และสมัยนี้เขาไม่ขอเบอร์กันแล้ว เขาขอ Instagram ไปส่องดูก่อนว่าไลฟ์สไตล์เป็นยังไง ใช่สเปกหรือเปล่า มันคนละแบบกันรุ่นเดิมที่กว่าจะขอเบอร์ก็อายไปอายมา”

เพราะฉะนั้น ต่อให้เด็กจะเปลี่ยนเจเนอเรชันจาก X เป็น Y เป็น Z หรือ Alpha อาจารย์ปิงก็ยังรับมือและอยู่ร่วมกับเด็ก ๆ ได้เหมือนเดิม

“ถึงเด็กจะอายุน้อยกว่าเรา แต่เราก็เห็นเป็นเพื่อน ไม่ได้มีช่องว่าง และไม่เคยรู้สึกว่าเด็กรุ่นไหนสอนยาก ผ่านมาทุกเจนฯ ก็โอเคหมด ยิ่งเด็กตอนนี้ยิ่งน่ารัก ขี้เกรงอกเกรงใจคนอื่น แต่แน่นอนว่าบางคนอาจไม่เข้าใจ คิดว่าเด็ก Gen Z แย่ แต่ถ้าลองคิดสักหน่อย ก่อนด่า Gen Z ก็ต้องไปด่า Gen Y ก่อน เพราะเขาเป็นพ่อแม่ เด็กไม่ได้เสกปุ๊บแล้วเขาจะเป็นอย่างนี้เลย คุณเลี้ยงเขามายังไง เขามาจากสิ่งแวดล้อมแบบไหน ดังนั้นเราควรจะเลิกโยนความผิดให้เด็ก เพราะเด็กทุกคนก็เหมือนต้นไม้ ซึ่งเกิดจากการรดน้ำ เรารดน้ำอย่างไร ต้นไม้ก็เป็นอย่างนั้น”

มากกว่าการสอนการพูดคุยในห้องเรียนแล้ว DA’VANCE ยังเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์หลายอย่าง ทั้งการชักชวนเด็ก ๆ มาร่วมทำบุญ ไปทัศนศึกษา รวมถึงการจัดหนุ่ม-สาว POP DA’VANCE ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2544 โดยอาจารย์ปิงเล่าว่าที่นี่โด่งดังเรื่องผู้ชายมาส่องผู้หญิง ผู้หญิงมาส่องผู้ชายแต่ไหนแต่ไร ก็เลยจัดประกวดขึ้นมา

เริ่มแรกผู้รับตำแหน่งจะมาจากคนที่เพื่อนร่วมรุ่นเห็นว่าน่ารัก เหมาะสม และประกวดกันหลายรอบ เช่นถ้ามีการเรียนรอบสด 3 รอบก็ประกวด 3 ครั้ง ต่อมามีการปรับเปลี่ยนกติกา เป็นปีละ 2 รอบคือรอบซัมเมอร์กับรอบปกติ ก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการออดิชันเป็นรอบ ๆ โดยการตัดสินจะวัดจากบุคลิกภาพ หน้าตา การแต่งกาย ไหวพริบ และการแสดงออก

แม้ตั้งใจจะจัดแบบสนุก ๆ ไม่ได้หวังให้โด่งดังอะไร แต่ผู้ชนะหลายคนกลับกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ทั้ง เป๊ก-เปรมณัช สุวรรณานนท์, มะเหมี่ยว 3G-อิสรีย์ นำพาเจริญ, กันต์ กันตถาวร, รถเมล์-คะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์, วิว-วรรณรท สนธิไชย, เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์, มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์, โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, ชิงชิง-คริษฐา สังสะโอภาส เป็นต้น

“หลัก ๆ ก็มีการเดินแบบ มีสัมภาษณ์น่ารัก ๆ แต่เราไม่ใช่โมเดลลิง เพราะฉะนั้น ตอนที่ ลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ ได้ตำแหน่งรอง ฉันบอกเลยว่า หน้าแกนี่ต้องได้ แต่ไอ้ลีมันเต้นไม่ได้ไง ก็เลยได้ตำแหน่งรอง แกต้องไปประกวดเวทีอื่น ต้องไปด้วยตัวเอง เวทีนี้จึงไม่ใช่การประกวดแบบเอาเป็นเอาตาย สิ่งที่เราหวังให้กลับมามากกว่าคือความเป็นเพื่อน แล้วหลายคนก็สนิทกันไปเลย เวลาไปไหนก็ไปเป็นกลุ่ม เฮฮาปาร์ตี้ พูดง่าย ๆ เหมือนสร้างคอมมูนิตี้ให้เขา แล้ววันหนึ่งเมื่อไปทำงานจริง อย่างน้อยเขาก็รู้จักกันก่อน การทำงานก็จะเร็วขึ้น ง่ายขึ้น”

นอกจากการสอนใน DA’VANCE แล้ว อาจารย์ปิงยังตระเวนเดินทางไปสอนตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งการสอนแต่ละครั้งไม่เคยได้เงินแม้แต่บาทเดียว เพราะพอสอนเสร็จก็จะมอบรายได้ให้โรงเรียนช่วยจัดสรรเป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนในโรงเรียนนั้น

อย่างเหตุการณ์หนึ่งที่จำได้ไม่ลืม คือช่วงที่ลงไปสอนที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ปกติอาจารย์ปิงจะแบ่งเงินออกเป็น 5 ทุน แต่คุณครูที่นั่นมาบอกว่า ขอรวมเงินแล้วให้แค่คนเดียวได้ไหม เพราะมีเด็กคนหนึ่งสูญเสียพ่อแม่จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งอาจารย์ปิงก็ตอบตกลงทันที และรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ได้ช่วยเยาวชนซึ่งกำลังเผชิญสถานการณ์ยากลำบากให้มีโอกาสทางการศึกษาต่อไป

“เด็กคนไหนไม่มีเงิน เราก็พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ให้เขาได้เรียน แม้แต่เด็กที่ DA’VANCE ก็เหมือนกัน จำได้มีคนหนึ่ง ผู้ปกครองพามาตรงเคาน์เตอร์ มาสมัครเรียน แล้วเขาก็เอาแบงค์ 20 บาทเป็นปึกขึ้นมานับ เราเห็นความตั้งใจ เขาอุตส่าห์เก็บเงินมา มันคงเป็นความฝันของเขา เขาเก็บมาด้วยตัวเอง เราไม่ได้อยากรับเลยเพราะเรามีทุนให้เด็กอยู่แล้ว แต่ผู้ปกครองบอกว่าไม่ได้ ซึ่งเราจะดูถูกสิ่งที่เขาตั้งใจทำไม่ได้”

อาจารย์ปิงมีความสุขทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นนักเรียนไปถึงจุดหมายตามที่ตั้งใจไว้ บางคนได้เรียนคณะที่ตนเองใฝ่ฝัน บางคนเติบโตไปมีอาชีพการงานที่ดี หลายครั้งมีลูกศิษย์เข้ามาทักทายระหว่างเดินทาง ไม่ว่าจะออกไปรับประทานอาหาร อยู่บนเครื่องบิน ไปต่างจังหวัด หรือไปวัด บางคนไปเป็นนายอำเภอ บางคนบวชเป็นพระ บ่อยครั้งที่เจอแอร์โฮสเตสและนักบินแวะเข้ามาคุยขอถ่ายรูปด้วย จนรู้สึกเหมือนกับว่าพบเจอเด็ก DA’VANCE อยู่ทุกที่ และพวกเขาไม่เคยลืมอาจารย์ที่มอบความรู้ให้

การเดินทางของ DA’VANCE ตลอด 30 กว่าปีจึงเต็มไปด้วยความรักและความผูกพันมากมายของอาจารย์ปิงและลูกศิษย์ ไม่มีวันไหนที่ไม่อยากเดินขึ้นห้องเรียนไปสอน ไม่เคยคิดว่าจะปลดเกษียณหรือหยุดสอน เพราะมองทุกวันว่าเป็นเสมือนวันคลายเครียด เนื่องจากได้ทำในสิ่งที่รักอยู่ตลอดเวลา

“DA’VANCE ก็เป็นสิ่งที่ครูรักและเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ รักด้วย เราไม่มีความฝันใด ๆ อีกแล้ว ความอยากจะนู่นจะนี่มันไม่มี เพราะชีวิตเราตอนนี้เหมือนอยู่ในความฝันแล้ว มีแต่ใช้เวลาทุกวันอย่างไรให้มีความสุข เราโชคดีที่ได้ทำตามความฝันตั้งแต่แรก แล้วก็ยึดหลักว่า Don’t say yes when you want to say no ถ้าในสิ่งไหนที่ไม่ใช่เราก็อย่าไปเอามาเลย เพราะว่าสุดท้ายสิ่งที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่อยู่วันยันค่ำ เราเลือกในสิ่งที่มันถูกตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ก็ยังใช่อยู่ดี”

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของอาจารย์คนหนึ่ง ผู้ตั้งปณิธานไว้ว่า ชีวิตนี้จะขอเป็น ‘ครู’ ตลอดไป และด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท รักในการสอนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้ DA’VANCE ยังคงยืนหยัดเป็นที่ 1 ในใจเด็กไทยมากมายจนถึงทุกวันนี้

ขอบคุณภาพประกอบเพิ่มเติมจาก โรงเรียนกวดวิชาอาจารย์ปิง (DA’VANCE)

Writer

Avatar

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา

เพจเล่าเรื่องที่เชื่อว่าคนธรรมดาทุกคนต่างมีความเป็นยอดมนุษย์อยู่ในตัว

Photographer

โตมร เช้าสาคร

โตมร เช้าสาคร

ชอบถ่ายวิวมากกว่าคน ชอบกินเผ็ดและกาแฟมาก เป็นคนอีโค่เฟรนลี่ รักสีเขียว ชวนไปไหนก็ได้ไม่ติด ถ้ามีตัง