‘ความธรรมดา’
คือคำที่ถูกเน้นย้ำตลอดการสนทนากว่า 1 ชั่วโมง กับกลุ่มนักสร้างสรรค์ อันประกอบด้วย เอ๋-ปกรณ์ รุจิระวิไล, แอม-พิสุทธิ์พักตร์ สุขวิสิทธิ์, มะปราง-สีตวรรณ สิงหเศรษฐ และ วินเนอร์-ปวีณวิทย์ พุฒสง่า ซึ่งรวมตัวกันเนรมิต ‘ดาษดื่น (DASDNN)’ ร้านขายสินค้าที่ระลึกในรูปแบบร้านชำ เพื่อนำเสนอ ‘ความธรรมดา’ บอกเล่าเรื่องสงขลา ภายใต้สโลแกน SOMETHING THAT IS SO COMMONLY ความสามัญถูกขับเน้นตั้งแต่ป้ายชื่อเหนือประตูทางเข้าด้วยอักษรพื้นฐานง่าย ๆ แต่มีความเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

บทสนทนาในวันธรรมดา
ภายในคูหา 2 ชั้น จัดวางสินค้าที่ระลึกอย่าง ‘เกลื่อนกลาด มากมาย เต็มไปหมด’ ตามนิยามความหมายของชื่อ ‘ดาษดื่น’ ไม่รอช้าเราถามถึงจุดเริ่มต้นและที่มาในการใช้คำดังกล่าว แอม หนึ่งในผู้ก่อตั้งเฉลยให้ฟังว่าทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางบทสนทนาง่าย ๆ ในวันธรรมดา ประมาณช่วงปลาย พ.ศ. 2566
“เริ่มจากนั่งคุยกับพี่เอ๋ว่า ในเมืองสงขลายังไม่มีร้านของฝากที่รู้สึกซื้อได้จริง ๆ และเราเคยมีความคิดอยากทำ จึงคิดชื่อกันเล่น ๆ ยังไม่ได้มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง อยู่ดี ๆ พี่เอ๋พูดคำว่า ‘ดาษดื่น’ ขึ้นมา เลยบอกว่าเราเองมี Pinterest เป็นชื่อนี้เหมือนกัน เพราะชอบดีไซน์ที่มีความง่าย ๆ สามัญ พบเห็นได้ในทุกวัน แต่นำมาหยิบจับและดัดแปลงนิดหน่อย เป็นความดาษดื่นมาก ๆ”
หลังจากแอมกล่าวถึงที่มาของชื่อร้าน เอ๋ พี่ใหญ่ของกลุ่ม กล่าวเสริมทันทีว่า ความต้องการของตนเองคือได้เห็นร้านค้าหลากหลาย ไม่เพียงคาเฟ่กระจุกตัวอย่างหนาแน่น นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ร้านสินค้าที่ระลึกในรูปแบบดาษดื่นเกิดขึ้นจากความตั้งใจเป็นส่วนเติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดหายให้กับเมือง


มองเห็นเสน่ห์ในความธรรมดา
จากบทสนทนาของ 2 คน นำมาสู่การรวมกลุ่มเป็นทีมได้อย่างไร
แอมตอบคำถามว่า ก่อนรวมทีมกันทุกคนมีงานส่วนตัว โดยตนเองประกอบกิจการร้าน Grandpa never drunk alone เอ๋เป็นเจ้าพื้นที่สร้างสรรค์ a.e.y.space ในย่านเมืองเก่าสงขลา ขณะที่มะปรางมีร้านดอกไม้ชื่อว่า Fake Florist และวินเนอร์ทำงานประจำเป็น Branding Manager ในหาดใหญ่
“เราทั้ง 4 คนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันในเทศกาล Pakk Taii Design Week” พี่ใหญ่ของน้อง ๆ กล่าวเสริมก่อนขยายเรื่องราวให้เราฟังต่อ “พวกเราทำงานร่วมกันมา 2 ปี จนเห็นว่าแต่ละคนทำอะไรได้บ้าง และคิดว่าน่าจะเป็นการรวมกันอย่างลงตัว วินเนอร์ดูแลการสร้างแบรนด์และการตลาด มะปรางรับหน้าที่ด้านการออกแบบกราฟิก แอมช่วยดูเรื่องครีเอทีฟ ส่วนพี่ดูในเชิงธุรกิจและเป็นผู้นำกลุ่มเด็ก ๆ เราทุกคนมีมุมมองแบบเดียวกัน คือเห็นความพิเศษในสิ่งของธรรมดาที่ไม่มีใครเคยหยิบจับขึ้นมา”

ร้านชำรวมความธรรมดาในท้องถิ่น
แล้วแนวคิดของการเป็นร้านสินค้าที่ระลึกในรูปแบบร้านชำเกิดขึ้นได้อย่างไร
หลังจบคำถาม เอ๋เป็นคนให้คำตอบในประเด็นนี้ว่า ทุกคนชื่นชอบความเป็นสตรีตแฟชั่นและความเป็นท้องถิ่น แต่ละคนยังคุ้นเคยกับการเดินตลาดสด ร้านค้า ร้านชำต่าง ๆ ซึ่งมีน้อยลงในทุกวัน ทั้งที่มีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร จึงนำรูปแบบร้านชำมาใช้ในการสื่อสาร
“ความต้องการหลัก ๆ คือเราอยากทำงานร่วมกับท้องถิ่น ทั้งร้านค้าและองค์กร ทุกคนมีความเห็นเดียวกันว่าหลายสิ่งในเมืองน่าหยิบจับขึ้นมาทำ ด้วยขาดเรื่องการดีไซน์ โดยปกติเราซื้อของจากแพ็กเกจจิงเป็นหลัก เพราะฉะนั้น เราว่าถ้าออกแบบให้พกพาง่ายและสวยงามด้วย จะทำให้ของฝากจากท้องถิ่นน่าซื้อมากขึ้น และทุกคนมองเห็นศักยภาพว่าทำได้”

พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ มะปรางอธิบายเพิ่มเติมว่าจุดแข็งของแบรนด์คือการออกแบบ ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้นจึงมองไปถึงของฝากที่มีอยู่เดิมในท้องถิ่น และนำมาพัฒนาด้วยการเพิ่มเติมด้านดีไซน์
“เรามองว่าของฝากในตอนนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น การเพิ่มเติมดีไซน์จะส่งผลให้คนอยากซื้อกลับไปเป็นของฝากมากขึ้น กลายเป็นว่าเราได้มีส่วนเข้าไปสนับสนุน Local Business ซึ่งอาจไม่ถนัดในการมองภาพความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ เลยเป็นเหตุผลให้เราเลือกแบรนด์ท้องถิ่นมาทำร่วมกัน”


พื้นที่รองรับความธรรมดาอย่างดาษดื่น
ดังนั้น ร้านขายของที่ระลึกในรูปแบบของดาษดื่นมีจุดมุ่งหมายยังไง – เราโยนคำถามไปอีกครั้ง
ในมุมมองของเอ๋ เห็นว่าหน้าที่ของดาษดื่นคือพยายามขยายฐานของสินค้าให้อยู่ในรูปแบบตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่
“อย่างที่บอกว่าการเปลี่ยนแพ็กเกจจิงให้สวยขึ้น ดีขึ้น เล็กลง หิ้วง่าย คือการมองทุกอย่างให้อยู่นอกกรอบ ไม่จำเป็นว่าสินค้าตัวหนึ่งจะต้องอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เลยเป็นวิธีทำให้สินค้าเชย ๆ จับต้องกับคนอีกรุ่นหนึ่งได้”
ในขณะเดียวกัน มะปรางขยายความให้ฟังว่า ดาษดื่นไม่ได้ต้องการเป็นแค่ร้านขายของที่ระลึก แต่เป็น Souvenir and Selected Shop เป็นอีกส่วนหนึ่งของการรวมศิลปินนักออกแบบคนในพื้นที่ได้มาฝากขายสินค้า โดยอาจใช้วัตถุดิบหรือเรื่องราวมานำเสนอเป็นของฝากจากสงขลาได้
“อีกประการ คือการต่อยอดของที่ระลึกโดยพัฒนาร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น เรายินดีเข้าไปช่วยดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อขายเป็นของฝากในร้านของเขาเอง หรือส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นอีกหนึ่งจุดในตัวเมืองที่กระตุ้นให้มีกิจกรรม แตกต่างจากมาเยือนในแบบรูปแบบเดิม ๆ”
ส่วนมุมมองของแอม สินค้า Multi Brand หรือ Selected Designer ฝากขายในดาษดื่น อาจดูเป็นสินค้าแฟชั่นในรูปแบบเสื้อผ้า โปสต์การ์ด ทว่าในมุมกลับกันคือผลงานของคนในท้องถิ่น โดยการมีหน้าร้านเป็นพื้นที่ให้สื่อสารกับลูกค้าโดยตรง พัฒนางานของศิลปินต่อไปได้ และเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการหารายได้นอกเหนือจากการขายออนไลน์

แต่งเติมความสนุกให้กับสิ่งธรรมดา
“สินค้าอย่างแรกที่ทำออกมาคือเสื้อเทศบาลนครสงขลา กางเกงเงือกล้อเลียนจากกางเกงช้าง ถุงเท้าปลาตีน ข้าวเกรียบ ล้อไปว่าเป็นเนื้อนางเงือก และมีตัวยาดมมิสโอลด์ทาวน์ ยาหม่องหมอลิ่ม เรามาปรับแพ็กเกจจิงใหม่ ใส่แบรนด์ดาษดื่นลงไป กาแฟดริปจากมูดดี้ โรสเตอร์ และโฟโต้กราฟ หมวกทรงมิกิซึ่งใช้เศษผ้าของตัวกางเกงเงือกมาเป็นงานคัตเวิร์กกับผ้ารีไซเคิล นอกจากนี้ยังมีพัดเย็นหนัดและผ้ายันต์วัดเลียบ ผ้ายันต์นางเงือก โปสต์การ์ด แก้วดาษดื่น ส่วนของฝากขายมีเครื่องหอม เทียนหอม รูมสเปรย์ โปสต์การ์ด และเซรามิกต่าง ๆ”
วินเนอร์ให้ข้อมูลหลังเราถามถึงของวางจำหน่ายในดาษดื่น พร้อมขยายความแนวคิดในการออกแบบว่า เกือบทุกชิ้นจะใช้ ‘นางเงือก’ เป็นสัญลักษณ์ในการดีไซน์ โดยหยิบคำว่านางเงือกของสงขลามาปรับให้ดูสนุกสนาน นอกจากลายนางเงือก หนึ่งในสินค้าโดดเด่นของดาษดื่นคือ ‘พัดเย็นหนัด’ และ ‘ยันต์วัดเลียบ’ ซึ่งแอมและเอ๋รับหน้าที่ในการอธิบายแนวคิดในครั้งนี้
“อย่างพัดเย็นหนัด เราใส่คำภาษาใต้ลงไป หมายถึงเย็นมาก ๆ เมื่อเราจะต้องเปิดตัวสินค้าให้ทันในช่วงเทศกาล Pakk Taii Design Week เลยมาคิดว่าช่วงนั้นอากาศน่าจะร้อน คนทั่วไปอยากซื้ออะไร เลยลงตัวที่พัด เพราะมีแหล่งผลิตใกล้ ๆ ในจังหวัดพัทลุง ซึ่งเรามาเพิ่มเติมดีไซน์ตรงสายห้อยให้ดูเก๋ ๆ แต่ใช้งานได้ดี” แอมกล่าวถึงที่มาของพัด ตามด้วยแนวคิดของยันต์วัดเลียบซึ่งอธิบายโดยพี่ใหญ่ของน้อง ๆ
“เราคุ้นเคยกับการเขียนอักษรของทางวัดเลียบบนป้ายโฆษณา ค่อนข้างโดนใจผู้คนไม่ว่าจะเป็นการอ่านคำภาษาใต้ การสื่อสารให้ความรู้สึก Down-to-Earth มีความเป็นดาษดื่นมาก ๆ เหมือนเป็นของธรรมดา ไม่ได้คิดมาก แต่ก็ผ่านการคิด เลยอยากได้คำคมคำสอนจากวัดมาทำเป็นผ้ายันต์ จากนั้นก็เอาไวนิลเก่าขนาด 2 x 2 เมตรไปให้ทางวัดเขียนให้ เป็นคติสอนใจง่าย ๆ”

มีสินค้าอีกกลุ่มที่ผู้ประกอบการทั้ง 4 ต้องการขยายความ คือสินค้าพัฒนาร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น ‘ข้าวเกรียบเงือก’ เป็นความร่วมมือกับร้านไดมอนด์เบเกอรี่ ซึ่งมีโรงงานข้าวเกรียบขนาดใหญ่ และเป็นร้านเดียวในย่านเมืองเก่าสงขลาที่ทอดข้าวเกรียบแบบพร้อมรับประทาน ประจวบเหมาะกับมีการจัดกิจกรรม Film Festival ในช่วงเทศกาล Pakk Taii Design Week จึงมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการถือไปดูหนัง
หรือ ‘ยาหม่องหมอลิ่ม’ เป็นความร่วมมือกับ หมอลิ่ม รักษ์ทอง ออกแบบให้อยู่ในตลับลูกอมขนาดเล็ก เพื่อง่ายต่อการพกพาและเหมาะแก่การเป็นสินค้าที่ระลึก ตลอดจนการพัฒนาเครื่องปรุงต่าง ๆ จากร้านยินดีสงขลา ร้านสิน อดุลยพันธ์ และโรงงานซีอิ๊วเก่าแก่ มีการพัฒนาจากขวดขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง สวยงาม และออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ใส่ความเป็นแบรนด์ดาษดื่นลงไป
“แบรนด์เราเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 2 – 3 เดือน เอกลักษณ์ (Identity) ที่ชัดมาก ๆ ของเราคือความสนุก ความเป็นตัวเองของเราทั้ง 4 คน นั่นคือชอบงานล้อเลียน เป็นขบถกับความรู้สึกคนนิด ๆ หน่อย ๆ เห็นแล้วแปลกและสะดุดตา” วินเนอร์เล่าให้ฟังเมื่อถูกถามถึงตัวตนของดาษดื่น
“เอกลักษณ์ของเราคือร้านชำ จึงมีทุกอย่าง มีอะไรก็ได้ จึงไม่มีแนวคิดตายตัวในการออกแบบ เป็นความไม่ชัดเจนที่ชัดเจน คือการมีทุกอย่าง แค่เพิ่มว่าเป็นร้านชำที่สนุก” แอมเล่าเสริม

ยกระดับร้านของฝากธรรมดา
คิดว่าการเกิดขึ้นของดาษดื่นจะส่งผลดีต่อเมืองอย่างไร
เราถามเมื่อการสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย สำหรับวินเนอร์เชื่อว่าสินค้าใส่ตัวตนของแบรนด์ลงไปช่วยสื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้ง่ายกว่า ขณะที่แอมมองว่าการเกิดขึ้นของดาษดื่นเป็นเหมือนการทดลองให้เกิดการตั้งคำถามถึงสิ่งที่แบรนด์กำลังทำและผลลัพธ์
“มะปรางมองเห็นด้วยทั้ง 2 อย่าง คือเป็นจุดเริ่มต้นให้หลาย ๆ คนหันมาสนใจว่าการมี Identity หรือมี Branding นำเสนอออกไปต่อยอดสินค้าในพื้นที่ของเขาได้ โดยการมีศิลปะหรือดีไซน์เข้ามาช่วยยกระดับหรือทำให้คนมีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น หลาย ๆ อย่างในเมืองพัฒนาคู่กันได้ ถือว่าช่วยให้เมืองเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
อีกประเด็นที่แอมกล่าวเสริม คือการแสดงให้เห็นความหลากหลาย ไม่เพียงร้านค้าเข้ามาสร้างความใหม่ให้ย่านเมืองเก่าสงขลา แต่ยังหมายถึงประเภทของสินค้าเรียงรายในดาษดื่นล้วนมาจากตัวตนชัดเจนของนักสร้างสรรค์แต่ละคน

“เราพยายามจะบอกว่าคุณเป็นตัวของตัวเองได้เลย คุณออกแบบและพัฒนาให้ขายได้จริง ๆ คนที่มองอยู่จะเห็นว่าเราก็ทำได้ ผลคือจะไม่มีการเลียนแบบเกิดขึ้น ทำให้เมืองน่าสนใจ เดินแล้วไม่เบื่อ”
ส่วนในแง่มุมของเอ๋ มองไปถึงการเชื่อมโยงกันของคน 2 กลุ่มในย่านเมืองเก่าสงขลา เนื่องจากสินค้าของดาษดื่นดูเป็นของคนรุ่นใหม่ ทว่าเบื้องหลังคือการทำงานร่วมกับคนรุ่นก่อน โดยเป็นการเรียนรู้ไปด้วยกันกับผู้ประกอบการท้องถิ่นรายอื่น ๆ
สุดท้ายเราอยากให้ดาษดื่นฝากคำแนะนำถึงคนรุ่นใหม่ผู้สนใจกลับมาหยิบจับธุรกิจในบ้านเกิด โดยเอ๋เป็นตัวแทนน้อง ๆ ให้คำชี้แนะว่า ควรเริ่มจากการสำรวจความโดดเด่นของบ้านเมืองตัวเอง สิ่งที่หยิบจับมาต่อยอดได้ โดยเขาเชื่อว่าทุกจังหวัดล้วนมีความพิเศษซุกซ่อนอยู่ในความธรรมดา
