เยาวราชคือสถานที่ที่เราคุ้นเคยในฐานะที่เคยมาเยือนหลายครั้ง ไม่ว่าจะมาหาของอร่อย มาเที่ยว มาไหว้เจ้า หรือแม้แต่มาทำงาน
เรามองสองฟากถนน เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ ร้านค้าที่ตั้งแผงอยู่เต็มทางเท้า รถที่จอดอยู่ตามริมทาง พร้อมทั้งเสียงแตรรถที่ดังมาเป็นระยะ ความวุ่นวายนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นฉากในละคร ทว่าเมื่อเดินพ้นถนนเยาวราชเส้นหลัก ทุกอย่างที่กล่าวมากลับหายลับไป รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ชุมชนเลื่อนฤทธิ์เสียแล้ว คะเนได้จากกลุ่มตึกแถวสีเหลืองนวลที่ตั้งเรียงรายและบรรยากาศเงียบสงบ
ท่ามกลางชุมชนเก่าแก่อายุนับร้อยปี มีสถานที่จำหน่ายงานศิลปหัตถกรรมจากช่างฝีมือท้องถิ่นทั่วประเทศไทยซุกซ่อนอยู่ เป็นร้านเล็ก ๆ มีโลโก้เป็นรูปลายนิ้วมือ ชื่อว่า ‘Culture Connex’

ครั้นผลักบานประตูเข้าไป ก็พบกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ คอยต้อนรับ ทั้งตุ๊กตา เสื้อผ้า กระเป๋า และอะไรต่อมิอะไร จนดูเหมือนกับร้านค้า แต่ ปุย-พนิดา ฐปนางกูร เจ้าของสถานที่แห่งนี้กลับบอกว่าเธอไม่อยากเรียกที่นี่ว่าร้านค้า เพราะแก่นของ Culture Connex แตกต่างจากร้านทั่วไปที่เน้นซื้อมาขายไปและทำกำไรสูงสุด จนเราอยากรู้ว่าที่นี่กำลังทำอะไร และต่างจากร้านขายของที่ดาษดื่นอย่างไรบ้าง
นอกจากจะรับบทเป็นผู้บริหาร Culture Connex ปุยยังพ่วงตำแหน่งนักวิชาการและนักวิจัยมากประสบการณ์ในสายมนุษยศาสตร์ พลิกโฉมตึกแถวสมัยรัชกาลที่ 5 ให้กลายเป็นโอเอซิสทางวัฒนธรรมกลางย่านเก่าในบางกอกอีกด้วย


กว่าจะมาเป็น Culture Connex
“Culture Connex เริ่มมาจากงานวิจัย” ปุยเล่าจุดเริ่มต้นของเธอให้ฟังว่า สินค้าของที่นี่มาจากความร่วมมือของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วฟ้าเมืองไทยและช่างฝีมือท้องถิ่น
เนื่องด้วยการทำงานวิจัย (โดยเฉพาะในสายมนุษยศาสตร์) จำเป็นต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ส่งผลให้นักวิจัยหลายชีวิตต้องเข้าไปอยู่ในชุมชน ใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน จึงเห็นกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานของช่างชาวบ้านตั้งแต่ต้นจนจบ หลายคนผูกพันกับชุมชนที่ตนเข้าไปอยู่อาศัย จนเกิดเป็นความอยากต่อยอดงานของช่างฝีมือท้องถิ่น ไม่ให้จบลงพร้อมกับงานวิจัยของตน
Culture Connex ไม่เพียงแต่จำหน่าย แต่เป็นการทำงานร่วมกันของนักวิจัยกับช่างฝีมือ ทั้งการออกแบบอย่างพิถีพิถัน การดูแลกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงกระบวนการพิเศษหลังวางขาย อย่างการส่งฟีดแบ็กจากลูกค้าสู่ชาวบ้านผู้ผลิต สำหรับพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ในอนาคต ให้ตอบสนองต่อตลาดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นกำลังสำคัญต่อตลาดสินค้าส่งออกไทยในปัจจุบัน
แนวคิดหลักของ Culture Connex จึงไม่ใช่การทำร้านค้าแล้วหากำไรมาก ๆ แต่ตั้งใจเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมและโชว์รูมที่สื่อสารเกี่ยวกับทุนทางวัฒนธรรมไทยผ่านสินค้าและบริการ ซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของชุมชนเป็นหลัก ส่งผลให้ที่นี่ตั้งราคาขายสมเหตุสมผล ไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป เพราะงานทุกชิ้นมีคุณค่า


“ถ้าสังเกตโลโก้ของ Culture Connex จะเห็นเป็นรอยนิ้วมือ นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของคน และในงานฝีมือทุกชิ้น ล้วนประทับรอยนิ้วมือของคนทำลงไป” คำพูดของเธอทำให้เราประทับใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าความหมายของรอยนิ้วมือจะลึกซึ้งเช่นนี้
“จะนำอุตสาหกรรมมาจับกับงานคราฟต์ไม่ได้ เพราะมันไม่เหมือนกันตั้งแต่แรก” ปุยเน้นย้ำ ด้วยเหตุนี้ จุดยืนของ Culture Connex จึงเป็นการพาทุกคนเข้าสู่โลกของผลิตภัณฑ์แฮนด์เมด เพราะแต่ละชิ้นล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ผลิตจากวัสดุหลากหลายจากนานาถิ่นที่ นำมาสรรสร้างด้วยทักษะอันเฉียบคม สินค้าแต่ละชิ้นอาจไม่สมบูรณ์เสมือนออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่ความงามที่ไม่ซ้ำใครนั้นน่าดึงดูดเสมอ
นอกเหนือจากการนำเสนออัตลักษณ์จากชุมชนแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศไทย Culture Connex ยังตั้งใจเลือกพื้นที่ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ เพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนเก่าแก่ซึ่งเป็นย่านการค้าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ให้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในตอนแรก ปุยคาดหวังว่าลูกค้าที่มาเยือนส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ สอดคล้องกับกระแสนิยมในโลกตะวันตกที่สนใจงานฝีมือ แต่กลายเป็นว่าคนไทยคือกลุ่มลูกค้าหลัก ที่น่าชื่นใจคือมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กรุ่นใหม่แวะเวียนเข้ามา แสดงว่าหัตถกรรมท้องถิ่นยังไม่ได้เลือนหายไปจากสังคมไทย
แน่นอนว่าการทำให้ผู้คนเข้าใจที่มาที่ไปของสินค้าแต่ละชิ้นต้องอาศัยการอธิบายโดยละเอียด ปุยจึงเรียกพนักงานขายของเธอว่า Storyteller เพราะไม่เพียงมีใจรักในอาชีพบริการ แต่ยังต้องมีทักษะการเล่าเรื่องเป็นเลิศ เข้าใจและถ่ายทอดรายละเอียดอันประณีตของสินค้าได้ดี ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ดี ๆ ในการเยี่ยมชมร้าน


ธิดาประจำอำเภอ
จากงานแฮนด์เมดนับร้อยรายการที่วางเรียงราย เราขอให้ปุยแนะนำของดีจากทุกภูมิภาคทั่วไทยมาฝากผู้อ่านกันด้วย
ชิ้นแรกคือ ตุ๊กตานางนก และ ตัวลวง ฝีมือชาวไทลื้อจากภาคเหนือ นางนก ของพวกเขาคือนางมโนราห์ จากเรื่อง พระสุธน-มโนราห์ นิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในหมู่ชาวไทหลายกลุ่ม ส่วน ตัวลวง คือมังกรในภาษาไทลื้อ เพี้ยนมาจากคำว่า เล้ง ในภาษาจีนถิ่นใต้ สะท้อนให้เห็นการไหลเวียนเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมในหลายสมัย
ชิ้นต่อมาคือ กระติ๊บ สิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน พี่ปุยชี้ให้เห็นลายสานสลับบนกระติ๊บที่เป็นลายภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์แบบเดียวกับที่ปรากฏในผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ความพิเศษคือกระติ๊บใบนี้สานขึ้นจาก ติวไม้ไผ่ หรือ ผิวไม้ไผ่ แถมยังต้องคัดเลือกไผ่ที่ไม่แก่มาก กระติ๊บจึงจะยืดหยุ่น แต่ไผ่แก่จะทำให้กระติ๊บกรอบและไม่คงทน แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านในการใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ


เมื่อคิดถึงลายไทย เราอาจคิดถึง ลายกนก แต่ของฝากจากภาคกลางของ Culture Connex เลือกนำลายจากศิลปะทวารดี อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในที่ราบลุ่มภาคกลางเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ผูกเข้ากับลายผ้าแบบที่เรียกว่า ลายอย่าง ซึ่งเคยเป็นที่นิยมเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มาผูกเป็นลายของผ้าคลุมศีรษะ ทั้งสวยและเก๋แบบไม่มีใครเหมือน
มาถึงชิ้นสุดท้ายอย่าง กระเบื้องจากหาดใหญ่ เป็นหนึ่งในสินค้าที่ปุยบอกว่าหลายคนชื่นชอบและขายดี แม้จะมีขนาดใหญ่และหนักพอสมควร กระเบื้องชิ้นนี้เกิดจากการเก็บข้อมูลวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนและจิตวิญญาณความเป็นพหุวัฒนธรรมบนแผ่นกระเบื้อง ซึ่งประดับตกแต่งตามศาสนสถานของชุมชนคนจีนในสงขลามารังสรรค์เป็นลวดลายงดงาม

นอกจากสินค้าข้างต้น ที่นี่ยังมีพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับจำหน่ายเสื้อผ้าท้องถิ่น และเพิ่งต้อนรับน้องใหม่ล่าสุดอย่าง รองเท้าปักลูกปัด งานหัตถกรรมของชาวจีนเปอรานากัน กลุ่มลูกผสมจีน-มาเลย์ ซึ่งมีวัฒนธรรมอันโดดเด่นจากคาบสมุทรมลายูและภาคใต้ฝั่งตะวันตกของไทย พวกเขาคือนักสร้างสรรค์ผ้าปักอันงามที่สืบทอดวิชาจากบรรพบุรุษผู้อพยพมาจากแดนมังกร ผสมผสานกับความหลากหลายของวัฒนธรรมในอุษาคเนย์ เกิดเป็นรองเท้าลูกปัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


ไม่เพียงรวบรวมผลงานสร้างสรรค์มาให้เราชื่นชม Culture Connex ยังจัดทำระบบสารสนเทศด้านวัฒนธรรมและแผนที่วัฒนธรรม รวบรวมของดีท้องถิ่นทั่วประเทศไทยให้คนทั่วโลกสืบค้นทางออนไลน์ได้ที่ dp.culturalmapthailand.info

เยาวชนคนรุ่นหลัง
หลังชมผลิตภัณฑ์มาพักใหญ่ เราไม่ลืมถามปุยว่า อะไรคือจุดหมายสูงสุดในการทำ Culture Connex
“อยากให้ทุกมหาวิทยาลัยทำ Culture Connex เป็นของตัวเอง เพราะทุกที่มีนักวิจัยที่ไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล อยากให้เขานำของดีจากแต่ละจังหวัดมาวางจำหน่าย เป็นร้านที่ต่อยอดมาจากงานวิจัย”
แม้เธอทราบดีว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชว์รูมของเธอไม่เพียงเจือจานช่างฝีมือในชุมชน แต่ยังช่วยเพิ่มเงินทุนในการทำวิจัยต่อไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยที่นี่ยังร่วมมือกับชุมชนเลื่อนฤทธิ์ ริเริ่มสร้างย่านวัฒนธรรม ซึ่งมีการจัดกิจกรรมเสวนา งานแสดง ไปจนถึงงานเปิดร้านขายของ เปิดโอกาสให้ศิลปินและช่างฝีมือรุ่นใหม่นำงานมาวางจำหน่าย ต่อยอดให้คนเหล่านี้มีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป


สิ่งที่น่าประทับใจคือการมีอยู่ของ Culture Connex ช่วยให้เยาวชนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าของมรดกทางภูมิปัญญา เมื่อเห็นว่างานเหล่านี้สร้างรายได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดงานหัตถกรรมพื้นบ้านไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา แล้วงานหัตถกรรมท้องถิ่นก็จะมีลมหายใจและกลับมาใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของผู้คนอีกครั้ง
“วัฒนธรรมไม่ได้มีไว้ขายเอากำไร เราต้องระวังในการทำงานเชิงวัฒนธรรม” คำพูดสุดท้ายของปุยสะกิดใจเรา ในโลกทุนนิยมที่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องผลประโยชน์ มือใครยาวสาวได้สาวเอา น้อยคนนักจะคิดถึงเรื่องนี้ เราได้แต่เตือนใจตัวเองว่าต้องมีความรับผิดชอบอยู่เสมอ
เพราะวัฒนธรรมคือจิตวิญญาณของผู้คน ไม่ใช่เพียงสินค้าเพราะวัฒนธรรมคือจิตวิญญาณของผู้คน ไม่ใช่เพียงสินค้า

