การรับเสื้อผ้ามือสองมาขายในตลาดนัดรูสะมิแล จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในช่องทางหารายได้เสริมเมื่อ 8 ปีก่อน ของ จู-ฮุสนีย์ สาแม นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ระหว่างที่ขายเสื้อผ้ามือสอง จูกลับพบปัญหาที่ทำให้รู้สึกคาใจเป็นอย่างมาก เพราะเสื้อผ้าที่ขายไม่ได้ มีตำหนิ ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า ต้องจบลงที่ถังขยะอยู่เสมอ
ในความคาใจนี้ พาไปสู่การตั้งคำถามว่า เอ๊ะ เราจะทำยังไงดีกับกองผ้าที่ขายไม่ได้ตรงนี้ ทำให้จูได้พบกับวิธีการเพิ่มมูลค่าของเสื้อผ้าที่เรียกกันว่า Patchwork หรือ ‘การเย็บปะติดปะต่อกัน’ และเรียกในแบบฉบับของคนญี่ปุ่นว่า Sashiko (ซาชิโกะ)
ปะ-ติด-ปะ-ต่อ
“ผมพอมีหัวศิลปะอยู่บ้าง เป็นคนที่ชอบลองอะไรที่มันแปลก ๆ เราชอบเห็นอะไรที่คนส่วนใหญ่เขาไม่เห็น ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะไปไกลขนาดนี้ ลองไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่ากระแสมันมาอยู่แล้ว ที่ญี่ปุ่นมีคนเริ่มใส่ ที่ไทยก็เริ่มมี เลยคิดว่าเราก็มีทรัพยากร มีคนพร้อมจะเย็บให้เรา มีเศษผ้า มีอินเทอร์เน็ต มีโซเชียลมีเดีย มีปัจจัยที่เอื้ออยู่ประมาณหนึ่ง เลยลองทำดูดีกว่า ตัวแรกผมโพสต์แป๊บเดียวก็ขายได้เลย”

ด้วยความที่เป็นพ่อค้าขายเสื้อมือสอง จูมีโอกาสได้เห็นแพตเทิร์น การตัดเย็บและสไตล์เสื้อผ้าจากต่างประเทศเยอะพอสมควร ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการเย็บที่น่าสนใจหลากหลายวิธี กอปรกับการเสพงานเสื้อผ้าญี่ปุ่นที่ปะเย็บแบบ ‘ซาชิโกะ’ ที่มีทั้งความเท่และเซอร์ ดูไม่เนี้ยบ แต่สวยทน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“กลายเป็นข้อดีที่ว่าต่อให้เย็บไม่เนี้ยบ แต่ลูกค้าที่ซื้อก็มองเป็นงานศิลปะ ซึ่งสอดคล้องกับฝีมือชาวบ้านที่ช่วยกันปะเย็บเสื้อผ้าแต่ละตัวขึ้นมา เราไม่ได้ขายความเนี้ยบ เราขายความต่าง ต่อให้เบี้ยวนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะเย็บแบบชุ่ย ๆ ส่ง ๆ แต่มีความตั้งใจเย็บให้เบี้ยว ซึ่งเป็นฝีมือของชาวบ้าน ที่สร้างความโดดเด่นและแตกต่างได้อย่างลงตัว”
จากการปะติดปะต่อไอเดียในโลกออนไลน์ สู่การลงมือปะเย็บเสื้อผ้ามือสองตัวแรกด้วยตัวเอง ด้วยต้นทุนการผลิตเพียง 70 บาท และขายในราคา 490 บาท จนถึงวันนี้เสื้อผ้าแบรนด์ Concur Patchwork ของจูสร้างมูลค่าเพิ่มจนมีราคาสูงสุดที่ 1,890 บาท

Concur แปลว่า การรวมกลุ่ม
งานปะเย็บวิถีซาชิโกะในญี่ปุ่นที่ช่างส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุในชุมชน ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้จูเริ่มชักชวนชาวบ้านว่างงานมาเป็นช่างปะเย็บ
งานของ Concur Patchwork จึงเป็นการรวมกลุ่มของคนในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านที่มีเวลาว่างจากการกรีดยางในช่วงเช้าตรู่ รวมถึงนักศึกษาที่ช่วยออกแบบแพตเทิร์นเสื้อผ้า มาร่วมทำงาน Upcycling ชุบชีวิตเสื้อผ้ามือสอง และช่วยลดขยะเสื้อผ้าจากผลพวงอุตสาหกรรม Fast Fashion ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
“ผมเริ่มจากการสอบถามคนในหมู่บ้านว่าใครสนใจทำงานเย็บผ้าแนวนี้บ้าง ปรากฏรอบแรกมีคนสนใจทำ 5 คน ผ่านไป 5 ปี พี่ ๆ กลุ่มนี้ก็ยังอยู่กับผม ตอนนี้มีช่างเย็บประจำ 4 คน และช่างเย็บพาร์ตไทม์แบบไม่ประจำ เป็นการส่งงานตามบ้านอีก 15 คน โดยชาวบ้านที่ทำงานกับผมก็ดูแลเลี้ยงดูครอบครัวไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน”
คนที่เป็นช่างปะเย็บส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อายุ 35 – 60 ปี โดยทั่วไปเป็นแม่บ้านต้องอยู่บ้านดูแลลูก พ่อแม่ หรือคนในครอบครัว ซึ่งบางคนก็มีลูก 4 – 5 คน


วิถีชีวิตของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนเช้าตรู่จะต้องออกไปกรีดยางถึงประมาณ 8 โมงเช้า มีรายได้วันละ 40 – 50 บาท จากการกรีดยาง 2 กิโลกรัมต่อวัน หลังจากนั้นจะมีเวลาว่างไปทั้งวัน จูจึงนำงานปะเย็บมาเป็นรายได้เสริมให้กับเหล่าแม่บ้านที่สนใจ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 200 – 300 บาทต่อวัน
บางคนเคยเป็นช่างเย็บผ้าเก่าอยู่แล้ว แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นจึงต้องกลับมาอยู่บ้าน การได้งานเย็บผ้าจาก Concur Patchwork จึงเป็นการฟื้นฟูทักษะอาชีพไปโดยปริยาย
การเติบโตมาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง ทำให้จูได้สัมผัสถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจท้องถิ่นที่หยุดชะงักมากว่า 20 ปี ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสการมีชีวิตที่ดีขึ้นของชาวบ้าน หลายคนอพยพไปทำงานต่างถิ่น อีกส่วนใหญ่อยู่ในฐานะที่ยากจน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองว่าการสร้างเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่เป็นทางออกที่สำคัญ
จากเงิน 70 บาทที่เป็นทุนรอนเริ่มแรก จูใช้วิธีการต่อทุนมาเรื่อย ๆ จนมียอดขายมากกว่า 500,000 บาทในปัจจุบัน อย่าง พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา แบรนด์ Concur Patchwork มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 94 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2566
นอกจากนี้ จูยังได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ประกวดแผนธุรกิจเพื่อทำโครงการพัฒนาทักษะอาชีพการทำ Patchwork ของคนในชุมชนพื้นถิ่นในจังหวัดยะลาอีกด้วย
Artipreneur
จูนิยามตัวเองว่าเป็น Artipreneur ซึ่งเป็นคำประสมระหว่างคำว่า Art และ Entrepreneur
เป็นผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์งานศิลปะบนเสื้อผ้า Upcycling และคงจะไม่กล่าวเกินไปนักว่า เสื้อผ้าแต่ละชิ้นของแบรนด์ Concur Patchwork มีชิ้นเดียวในโลก เพราะทุกตัวปะเย็บด้วยมือและจักรเย็บผ้าจากฝีมือของคนในชุมชน กระนั้นก็กลายเป็นความท้าทายทางธุรกิจ เมื่อความสามารถในการผลิตยังรองรับความต้องการที่มีมากขึ้นในปัจจุบันไม่ได้

“ผมไม่มีทางรู้เลยว่าคอลเลกชันที่ปล่อยออกมาในแต่ละครั้งจะขายได้จริง ๆ มั้ย เพราะมันเหมือนการเดินอยู่ในความมืด ผมทำได้แค่เทสต์ตลาดทีละน้อย เริ่มจากผลิต 1 – 2 ตัว แล้วดูว่าฟีดแบ็กเป็นยังไง ถ้าเวิร์กถึงค่อย ๆ ขยายขึ้น”
จูใช้กลยุทธ์ ‘โยนหินถามทาง’ เพื่อทดสอบตลาดทุกครั้งในแต่ละคอลเลกชัน ด้วยการติดตามเทรนด์แฟชั่นและทดลองออกสินค้าให้สอดรับกับความนิยมในช่วงเวลานั้น แต่ก็ยังรักษาความยืดหยุ่นไว้ หากสินค้าไหนผลตอบรับไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว มีจุดแข็งที่นำเสื้อผ้าที่ขายไม่ได้ มาปะเย็บเปลี่ยนลวดลายให้สอดรับกับกระแสความนิยมในตลาดได้อย่างไม่รู้จบ
นอกจากนี้ จูใช้ช่องทางการขายออนไลน์ ทาง Instagram เป็นหลัก เพราะช่วยลดต้นทุนการจัดการได้มหาศาล และเป็นช่องทางที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นทั้งในและต่างประเทศ

แม้ว่าจะเป็นการขายเสื้อผ้าในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่จูก็กำลังพัฒนาโมเดลใหม่ด้วยการสร้างแพตเทิร์นเสื้อผ้าเพื่อให้ผลิตซ้ำได้บางส่วน แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องลวดลาย เพื่อขยับไปสู่ตลาดขนาดกลาง (Middle Market) เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มที่กว้างขึ้น ราคาจับต้องได้มากขึ้น สร้างยอดขายในปริมาณมาก เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนและขยายการเติบโตในอนาคต
การลงมือทำทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวเอง ตั้งแต่หาผ้า ออกแบบ ถ่ายรูป ทำการตลาด ยันจัดการบัญชี แม้ว่าจะเหนื่อยมาก แต่จูบอกกับเราว่าทำให้ได้เข้าใจทุกกระบวนการ เพื่อพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมั่นคง
จากยะลาสู่นิวยอร์ก
จูเล่าให้เราฟังถึงเส้นทางการเริ่มต้นในเวทีระดับนานาชาติ ผ่านการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน Young Southeast Asian Leaders Initiative (YSEALI) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ช่วยเปิดโลกการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคมได้อีกขั้นหนึ่ง
“ใครจะไปนึกว่าคนอยู่ยะลาอย่างผมจะได้บินไปสหรัฐอเมริกา” จูเล่าด้วยความตื่นเต้น
“ในโครงการมีกัน 5 คน ผมเป็นคนยะลาคนเดียว”

ในระหว่างการเข้าร่วมคอร์สระยะสั้นในเรื่อง Social Entrepreneurship and Economic Development ที่รัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา จูได้นำเสนอโมเดลธุรกิจที่เน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และได้รับทุนรางวัล 20,000 บาท ถึงแม้เงินรางวัลจะไม่มากมาย แต่สิ่งสำคัญคือการได้รับการยอมรับในระดับอาเซียน
ที่นิวยอร์ก จูได้เปิดโลกแฟชั่นที่สร้างแรงบันดาลใจครั้งใหม่ เขาประทับใจกับสไตล์การแต่งตัวของชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีความเป็นฮิปสเตอร์และดูเท่มาก รวมทั้งสไตล์ของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เสมือนได้ไปสะสมไอเดียต่าง ๆ เพื่อนำกลับมาสร้างสรรค์งานเสื้อผ้าในคอลเลกชันใหม่
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของจูอีกครั้งมาจากแนวคิด ‘การทำธุรกิจที่ดีควรคู่กับการศึกษา’ หลังจากลองผิดลองถูกมาถึงจุดหนึ่ง จูได้ตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาเอกสาขาการพัฒนาความยั่งยืน (Sustainable Development) ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)
“ลองนึกภาพดู ถ้าขายเสื้อมือสองแล้วจบเรียนปริญญาเอก ผมเชื่อว่าจะทำให้คนเชื่อถือมากขึ้น” จูกล่าวด้วยความหวังที่จะนำความรู้ที่ได้เรียนมาพัฒนาบ้านเกิดของเขาที่ยะลา แทนที่จะรอให้หน่วยงานอื่นมาจัดการ
แฟชั่นเพื่อสิ่งแวดล้อม
‘ตลาดนัดมะพร้าว’ จังหวัดยะลา เป็นตลาดนัดเสื้อผ้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เปิดมายาวนาน ได้ฉายภาพของปัญหาขยะเสื้อผ้าจากการผลิตแบบ Fast Fashion ที่จูกลับมองเป็นโอกาสทางธุรกิจ จากเสื้อผ้าที่คนไม่ต้องการแล้ว กลายมาเป็นวัสดุเศษผ้าชั้นยอดของ Concur Patchwork กล่าวง่าย ๆ คือตราบใดที่ยังมี Fast Fashion จูก็ยังอยู่ในธุรกิจนี้ได้สบาย ๆ
“เมื่อผู้คนเริ่มเข้าใจว่าการอัปไซเคิลช่วยโลกได้ เขาจะเริ่มเห็นคุณค่าในงานของเรา จากที่แค่รับรู้ พอเข้าใจมากขึ้นก็จะเริ่มสนับสนุน และกลายเป็นลูกค้าประจำในที่สุด”
การเติบโตของแบรนด์เสื้อผ้าอัปไซเคิล Concur Patchwork มาได้ถูกจังหวะเวลากับกระแส ‘ธุรกิจยั่งยืน’ และ ‘แฟชั่นเพื่อสิ่งแวดล้อม’ ที่ในตลาดต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยข้อมูลจาก Money Bank ที่สำรวจความต้องการของเสื้อผ้า Upcycling พบว่าใน พ.ศ. 2575 จะเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมูลค่าตลาดสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มากไปกว่าการสร้างแบรนด์เสื้อผ้า Upcycling พันธกิจที่จูทำอยู่มาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจนี้ คือการเป็น ‘นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม’ ผ่านแนวทางกิจการเพื่อสังคมที่ทั้งตัวเขาและชาวบ้านที่ร่วมผลิตงานมีรายได้อย่างยั่งยืนโดยการพึ่งพาตัวเอง
“เราอาจไม่ได้ออกไปประท้วง แต่ทุกชิ้นงานที่เราทำออกมาก็เหมือนการส่งสารทางสังคมในแบบของเราเอง”

ฝันจะเป็น ‘ธุรกิจเพื่อสังคมอันดับ 1 ของโลก’
“ผมต้องการเป็นธุรกิจเพื่อสังคมอันดับ 1 ของโลก เพราะผมต้องการช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด” จูบอกกับเราด้วยความมุ่งมั่น
เป้าหมายสูงสุดของ Concur Patchwork คือการเป็นธุรกิจเพื่อสังคมอันดับ 1 ของโลก แม้จูจะย้ำว่าเป็นการตั้งเป้าเล่น ๆ แต่หัวใจสำคัญของความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ คือการทำธุรกิจที่ไม่ใช่แค่สร้างกำไรให้ตนเอง แต่ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
กำไรสุทธิ 1 ใน 3 จากการทำธุรกิจ Concur Patchwork ได้ถูกนำไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือสตรีที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และแบ่งปันข้าวสารให้กับครอบครัวที่ขาดแคลน รวมถึงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาและลูกหลานของทีมงานที่ขาดโอกาส ด้วยความเข้าอกเข้าใจถึงความยากลำบากของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากประสบการณ์วัยเด็กที่เห็นพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัวนั่นเอง

ความภาคภูมิใจของชาว Concur Patchwork
เส้นทางความสำเร็จของแบรนด์ Concur Patchwork ที่เริ่มต้นจากเงินเพียง 70 บาท ในวันนี้ขับเคลื่อนองค์กรได้ด้วยตัวเอง ทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น
ที่น่าภูมิใจไปมากกว่านั้น คือการเป็นธุรกิจที่ได้รับการยอมรับจากเวทีนานาชาติ อย่างล่าสุดจูได้รับเชิญไปร่วมจัดแสดงนิทรรศการ Upcycling Products ร่วมกับแบรนด์เสื้อผ้ารักษ์โลกของคนสิงคโปร์มากกว่า 10 แบรนด์ใน The Wasteless Utopia


รวมทั้งงานแฟชั่นโชว์บนเวที Eco Fashion Weekend ณ หอศิลปะ Gillman Barracks Art ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 25 – 27 เมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ที่รวมแบรนด์แฟชั่นรักษ์โลกระดับแถวหน้าจากทั้งในและต่างประเทศถึง 13 แบรนด์ชั้นนำ
การมีอยู่ของธุรกิจ Concur Patchwork ถือเป็น ‘นวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งโมเดลธุรกิจนี้ยังเป็นแบบอย่างให้หลายคนที่ฝันอยากทำธุรกิจเพื่อสังคมได้เดินรอยตาม ผ่านการทำเสื้อผ้าที่มีจิตวิญญาณ และความพยายามของคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่บ้านเกิดอย่างเป็นรูปธรรม
