16 สิงหาคม 2024
2 K

กว่า 40 ปี คือระยะเวลาที่มูลนิธิสื่อชาวบ้าน หรือ ‘มะขามป้อม’ ทำงานขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น 

หากเปรียบเป็น ‘คน’ ก็เป็นผู้ใหญ่กลางคนที่ผ่านร้อนหนาวและเห็นโลกมาไม่น้อย

ไม่นานมานี้ ทางมูลนิธิได้เปิดหลักสูตรทักษะเยาวชนพลเมืองโลก (Young Global Citizen) ร่วมกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) 

เช้าวันเสาร์ต้นเดือนสิงหาคม เด็ก ๆ มากหน้าหลายตามารวมตัวกันที่มะขามป้อมอาร์ตสเปซ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนวิชาพัฒนาความมั่นใจจะเริ่มต้น ทุกคนสวมชุดคล่องตัว และเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ห้องเรียนนี้ไม่มีกำแพง ไร้เครื่องแบบ ดอยหลวงเชียงดาวตั้งตระหง่านสุดปลายตา

ห้องเรียนนี้มีชื่อว่า ‘ห้องเรียนข้ามขอบ’

“ประเทศไทยมีปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา (Dropout) ตั้งแต่ก่อนโควิด-19”

ก๋วย-พฤหัส พหลกุลบุตร เลขาธิการมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) เล่าให้ฟังถึงจุดตั้งต้นของโครงการห้องเรียนข้ามขอบ

และนี่คือเรื่องราวการสร้างจินตนาการใหม่ทางการศึกษา ภายใต้ความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ และความรู้จะช่วยเสริมอำนาจบนพื้นฐานของความเสมอภาคเท่าเทียม

การศึกษาไทยทำคนเป็นทุกข์?

1.02 ล้านคน คือจำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาไทย และกลายเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลปัจจุบันตั้งเป้าจะเปลี่ยนให้เป็นศูนย์

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยที่ศึกษาร่วมกับภาคีต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 – 2567 พบว่าไม่มีข้อมูลของเด็กและเยาวชนอายุ 3 – 18 ปี ในระบบการศึกษามากถึง 1,025,514 คน เทียบเท่าระดับการศึกษาอนุบาล 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6

ที่ผ่านมามะขามป้อมได้ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการศึกษาร่วมกับครูและนักการศึกษาจากองค์กรเครือข่ายต่าง ๆ เช่น ก่อการครู หลักสูตรพัฒนาครูสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ร่วมกับโรงเรียนสาธิตและมหาวิทยาลัยธรรมศาสร์ ทำให้เห็นว่าเด็กมีตัวเลือกการเข้าถึงความรู้ที่หลากหลายและคุ้นเคยกับการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิด-19

โลกวิ่งไปข้างหน้า แต่การศึกษาไทยภายใต้ระบบราชการยังขยับตัวช้า

พฤหัสบอกกับเราว่า ต้นเหตุของการหลุดจากระบบการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องของความยากจน แต่รวมถึงไประบบการศึกษาที่ไม่ได้ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม 

“3 ปีที่แล้ว เราเห็นว่าเด็กปรับตัวเข้ากับระบบการศึกษาไม่ได้และ Dropout ไปเยอะมาก มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีฐานะยากจน แต่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะโรงเรียนไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเขา

“จริง ๆ แล้วการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก แต่มันถูกทำให้ทุกข์ทรมาน เขาไม่รู้ว่าไปเรียนทำไม มีความหมายอย่างไรกับชีวิต” 

พฤหัสย้ำว่าการเรียนในห้องเรียนไม่ใช่สิ่งที่เด็กทุกคนถนัด บางคนเก่งวิชาการ บางคนถนัดแต่งมอเตอร์ไซค์ สิ่งที่ขาดคือพื้นที่รองรับความสามารถอันแตกต่างหลากหลาย

“วัยรุ่นต้องการคนรับฟังปัญหา แต่โรงเรียนไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้เขาได้คุยกับตัวเอง แลกเปลี่ยนกับเพื่อนอย่างมีกระบวนการ พอเด็กรู้สึกปลอดภัยโดยที่เราไม่ไปตัดสินว่าทำแบบนั้นไม่ได้หรือไม่ดี เขาก็จะกล้าพูดมากขึ้น ถ้าเราเปิดพื้นที่ให้เขาได้ฉายแสงของตัวเอง เขาก็จะรู้สึกมีพลัง”

Classroom & Beyond

สู่การเรียนรู้ที่ไม่ถูกตีกรอบ

ห้องเรียนข้ามขอบเกิดขึ้นพร้อมกับความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงการเรียนในระบบและนอกระบบเข้าด้วยกัน โดยร่วมกับสถานีการเรียนรู้ในเครือข่ายเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ และศูนย์การเรียนรู้ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) มุ่งเชื่อมรอยต่อระหว่างการทำงานของหน่วยงานต่างสังกัดต่างกระทรวงให้ยึดโยงกับเด็กมากขึ้น เพื่อสร้างการศึกษาที่ไร้รอยต่อและยืดหยุ่นพอจะรองรับข้อจำกัดในชีวิต

รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มักถูกมองเป็นชายขอบของสังคม

ที่สำคัญ เด็ก ๆ สะสมหน่วยกิตจากประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้อง และนำไปแลกเปลี่ยนกับธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ (Credit Bank) เพื่อนำกลับมาใช้ในระบบการศึกษาปกติได้อีกด้วย

“เราสนใจเรื่องการเรียนรู้แบบ Personalized Learning เด็กมีอิสระในการเติบโตตามแนวทางที่ออกแบบเอง เรียนได้ทุกที่ไม่ว่าจะสังกัดกระทรวงหรือหน่วยงานไหน และสะสมหน่วยกิตมารวมกับโรงเรียนได้ เขาจะได้เรียนทั้งวิชาการ วิชาชีวิต และวิชาชีพกับเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจริง ๆ”

พฤหัสเสริมว่า ที่ผ่านมาระบบการศึกษาหลักมักกำหนดว่าเด็กต้องเชื่อฟัง ไร้อำนาจ คิดต่างไม่ได้ ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับการตั้งคำถาม ทั้งที่จริงการศึกษาควรช่วยให้คนตระหนักถึงศักยภาพในการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่วิชาการ แต่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต 

ถามว่าทำไมการศึกษาต้องเสริมอำนาจ 

“ระบบการศึกษาในกระแสหลักมักกำหนดว่าเด็กต้องเป็นพลเมืองแบบนี้เท่านั้น เราเห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจนมากขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มุ่งใช้อำนาจแบบรวมศูนย์ การศึกษาถอยหลังในขณะที่โลกก้าวไปข้างหน้า และสร้างความเหลื่อมล้ำ

“เราเชื่อในเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในห้องเรียน สอนโดยครูที่มีวุฒิการศึกษาเท่านั้น ทุกคนเป็นได้ทั้งผู้เรียนและผู้สอน การเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอาจจะเหมาะกับสถานการณ์เมื่อ 100 ปีที่แล้ว แต่สถานการณ์โลกไม่ได้เป็นแบบนั้น”

เมื่อโลกเรียกร้องทักษะชีวิต

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนไม่ใช่ข่าวไกลตัว คนเร่งพัฒนาทักษะทั้ง Reskill และ Upskill จนเป็นเรื่องปกติ แล้วการศึกษาควรมุ่งไปทางไหน

ทักษะเยาวชนพลเมืองโลกคือหลักสูตรแรกของห้องเรียนข้ามขอบ ประกอบด้วยวิชาน่าสนใจอย่าง การพัฒนาความมั่นใจ (Confidence) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการเรียนรู้จากชุมชน (Community) การสื่อสาร (Communication) ซึ่งล้วนเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ที่บรรจุไว้ในหลักสูตรสากล

กล่าวสั้น ๆ คือเน้นเรียนรู้ผ่านการเล่นและทำเวิร์กช็อป แทนการสอนแบบท่องจำ

“โรงเรียนมีพื้นที่ฝึกทักษะเหล่านี้น้อยมาก ส่วนใหญ่เน้นเรื่องวิชาการ จำความรู้เยอะ เราเลยทดลองทำเวิร์กช็อปเพื่อให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ เรียนรู้ผ่านการเล่น ตอนท้ายเราจะให้เขาเขียนสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ ได้พัฒนาความคิดและทักษะด้านไหนบ้าง แก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการนั่งฟังครูบอก”

นอกจากนี้ยังมีวิชาเลือกอื่น ๆ เช่น ศิลปะเยาวชนนักสร้างสรรค์ (Young Artist Youth Creator) ที่จะเปิดสอนในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม และหลักสูตรผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ ให้คนที่มีไฟฝันอยากทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเองได้ไปเรียนรู้จากเจ้าของกิจการตัวจริง ตั้งแต่ขั้นตอนการคิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบริหาร

แน่นอนว่าการศึกษาที่ยืดหยุ่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มี ‘ครู’ ที่เข้าใจ

พฤหัสชี้ว่า การทำงานกับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ประกอบกับแต่ละโรงเรียนจะมีโครงการที่ต้องรับผิดชอบเป็นทุนเดิม โจทย์หลักคือทำความเข้าใจร่วมกันว่า การเรียนรู้ลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่มภาระ อีกทั้งเข้ามาช่วยแบ่งเวลาการสอน

เด็กฉลาด ชาติเจริญ?

อะไรคืออุปสรรคและความท้าทายในการทำงานขับเคลื่อนเรื่องการศึกษา

พฤหัสนิ่งคิด ก่อนจะฉายภาพใหญ่ในมุมมองของตนเอง

“ผมคิดว่ารัฐไม่ต้องการให้คนฉลาด

“จากการทำงานในวงการปฏิรูปการศึกษามาหลายสิบปี เราไม่เห็นความจริงใจ จริง ๆ แล้วการเมืองเชื่อมโยงกับทุกอย่าง ถ้าการเมืองดี การศึกษาก็จะดี ถ้าการศึกษาดี การเมืองก็จะดีไปด้วย

“จะเห็นได้ว่าการศึกษาของรัฐยังวุ่นวายกับเครื่องแบบและทรงผม ขณะที่กระบวนการคิดทั่วโลกไปถึงไหนกันแล้ว แต่เรายังมานั่งเถียงเรื่องนี้ เรามองว่าระบบการศึกษายังจำเป็นต้องมีอยู่ ถ้ามีโมเดลการศึกษาหลากหลายมากขึ้น สักวันหนึ่งระบบก็จะเปลี่ยนไปเอง สิ่งเดียวที่คุณต้องลงทุนเป็นเรื่องของคน ซึ่งต้องลงทุนผ่านการศึกษาที่มีคุณภาพเท่านั้น ถ้าไม่มีคนที่มีคุณภาพ ประเทศจะรุ่งเรืองจากอะไร”

เสียหายแค่ไหน ถ้าการศึกษาของประเทศเราย่ำอยู่กับที่ – เราถาม

เอาแค่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้คุณสู้ใครได้บ้าง – เขาถามกลับ

“เราเชื่อในพลังของคน เราอยากทำโมเดลการศึกษาที่ทุกคนลุกขึ้นมาจัดกระบวนการเรียนรู้ ส่งต่อความรู้ให้กันได้ โดยไม่ต้องรอมหาวิทยาลัยหรือภาครัฐ ทุกคนมีองค์ความรู้ของตัวเองและแชร์กันได้ เพราะการเรียนรู้อยู่ในทุกที่

“การทำงานที่ผ่านมา เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ๆ เด็กกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และมีความสุขมากขึ้น เราทำงานกับครูซึ่งพยายามขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนของเขา แม้จะเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับภาพใหญ่ แต่เราก็ไม่เลิกทำ

“ถ้ามีแพลตฟอร์มที่กระจายอำนาจมาสู่ภาคประชาชนได้ มันจะเปลี่ยนประเทศเลย พลังของความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพจะเพิ่มขึ้นมากมาย” พฤหัสกล่าวทิ้งทาย

สนใจเรียนและติดตามเรื่องราวของห้องเรียนข้ามขอบเพิ่มเติมได้ทาง

Facebook : ห้องเรียนข้ามขอบ

เว็บไซต์ : korkankru.com

Writer

Avatar

ปิยพร อรุณเกรียงไกร

ชอบดื่มกาแฟ ดูซีรีส์ และทำงานคอนเทนต์จิปาถะ

Photographer

Avatar

ประภพ แก้วใจ

คนทำซาวนด์ที่บันทึกเรื่องราวของ ภาพ เสียง ความทรงจำ