ที่ใดมีแสงที่นั้นย่อมมีเงา
ที่ใดมีเงาที่นั้นย่อมเจอความสว่าง
ผมตั้งใจไปญี่ปุ่นครั้งนี้เพื่อไปดูงานดีไซน์สถาปัตยกรรม ซึ่งญี่ปุ่นเองมีเอกลักษณ์เฉพาะทางและหลากหลายมาก เรามักจะพบเห็นงานดีไซน์เก๋ๆ ได้ตามเมืองต่างๆ แต่หากพูดถึงสถาปัตยกรรมในญี่ปุ่นที่ถูกดีไซน์โดยสถาปนิกญี่ปุ่นและเป็นที่ยอมรับในเวทีระดับโลกด้วยแล้ว แน่นอนว่าเราต้องนึกถึง Church of Light ของ Tadao Ando
Ibaraki Kasugaoka Church (茨木春日丘教会) หรือ Church of Light คือหนึ่งในชิ้นงานมาสเตอร์พีซของ Tadao Ando ตั้งอยู่ในเมือง Ibaraki ไม่ไกลจากโอซาก้าไปมากนัก เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ โบสถ์ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เงียบสงบ ถูกสร้างเมื่อ ค.ศ. 1989 เพื่อทดแทนโบสถ์ไม้เดิมที่เก่าแก่ทรุดโทรมลงไป ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงเป็นการท้าทายการออกแบบของอันโดะเป็นอย่างมาก
ในแต่ละเดือนทางตัวโบสถ์จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่ 4 – 5 วันเท่านั้น เพราะโบสถ์ต้องใช้งานจริงในพิธีทางศาสนาอยู่ ต้องเช็กและจองวันเวลาเข้าชมก่อนทางเว็บ ibaraki-kasugaoka-church.jp
ผมเดินทางเริ่มจาก Osaka Station นั่งรถไฟสาย JR Kyoto Line มาลงที่สถานี Ibaraki เดินข้ามสะพานลอยไปที่ชานชาลาหมายเลข 2 แล้วต่อรถบัส Kintetsu Bus สาย 1 หรือ สาย 2 มาลงที่ป้าย Kasugaokakouen จากนั้นเดินตามถนนขึ้นไปจะมีป้ายบอกทางติดเสาไฟฟ้าที่บอกให้เลี้ยวซ้ายและเดินตรงไปอีกหน่อยก็จะเจอโบสถ์ตั้งอยู่ที่หัวมุมสี่แยก
ลานเด็กเล่นข้างป้ายรถบัสสถานี Kasugaokakouen
ป้ายบอกทางไปโบสถ์ที่เสาไฟฟ้า
โบสถ์ตั้งอยู่หัวมุมกลางสี่แยก
ทางเดินเข้าโบสถ์
รูปทรงของโบสถ์เป็นทรงเรขาคณิตเรียบง่าย เพราะอันโดะเลือกใช้ผนังคอนกรีตเสริมใยเหล็กแค่ 6 แผ่นมาวางต่อกันเพื่อให้เกิดสเปซการใช้งาน และใช้แสงมาทำให้เกิดอัตลักษณ์พิเศษขึ้นมา โดยมีแผ่นคอนกรีต 1 แผ่นนำมาตัดกล่องเฉียง 15 องศา ทำหน้าที่เป็นทางเข้าโบสถ์
ผนังเฉียง 15 องศา ทำหน้าที่เป็นทางเข้าโบสถ์
เมื่อเราเดินเข้าตัวโบสถ์ทางเข้าจะมืดเพราะมีผนังบังแสง แสงที่ผ่านจะเห็นเป็นลำแสงพอให้เรามองเห็นทางเท่านั้น พอเดินเลี้ยวผ่านเข้ามาเสียงนักท่องเที่ยวจากตอนแรกที่ดังก็เงียบลงทันที ภาพที่เห็นคือโบสถ์ที่ดูมืดสลัวๆ แต่ทางด้านหน้าแสงสาดส่องเป็นรูปไม้กางเขน บรรยากาศดูเรียบง่ายและสงบ โดยที่ไม่ต้องมีใครพูดหรือมีป้ายบอกใดๆ ใครที่เข้ามาในนี้ต่างเงียบสงบกันหมด
บรรยากาศโถงภายในโบสถ์
Space ทำให้คนสัมผัสรู้สึกได้ว่าสถานที่นี้ควรทำตัวอย่างไร
บางคนไปโบสถ์เพราะต้องการพบเจอพระเจ้า
บางคนไปโบสถ์เพราะต้องการความสงบ
บางคนไปโบสถ์เพราะต้องการสวดภาวนา
บางคนไปโบสถ์เพราะขาดที่ยึดเหนี่ยว
บางคนไปโบสถ์เพราะมีความทุกข์ต้องการพบเจอความสุข
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด Space ที่ออกแบบมาดีก็ทำให้เราสัมผัสโมเมนต์เช่นนั้นได้ แม้จะพูดออกมาไม่ได้ก็ตาม
บรรยากาศที่ดูสลัวและมีแสงสาดส่องเป็นรูปไม้กางเขน ทำให้เรารู้สึกว่าอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไม้กางเขนที่สาดส่องหากเปรียบก็คงเป็นแสงสว่างที่ปลายทางที่คอยนำทางชีวิตให้เราไปต่อได้
โต๊ะนั่งบริเวณลานพิธี
เปียโนตั้งอยู่ด้านหลังไว้ใช้เล่นในวันที่มีพิธีการ
สเปซระหว่างตัวโบสถ์
บันได้ด้านข้างโบสถ์
ชีวิตเราไม่ว่าใครจะต้องพบเจอความทุกข์ระหว่างทาง แต่หากเรามีที่ยึดเหนี่ยวที่ปลายทางนั้นแล้ว เราก็จะพบเจอทางออกให้ผ่านพ้นไปได้
ผมนั่งซึมซับบรรยากาศภายในโบสถ์ลมพัดอ่อนๆเย็นสบาย เผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แสงที่สาดส่องเป็นรูปไม้กางเขนเริ่มหายไป ความมืดเริ่มเข้ามาเยือน ไม่มีใครมีความสุขอยู่ตลอด ความสุขผ่านมาแล้วก็ผ่านไปความทุกข์เข้ามาแทนที่ กลับกันความทุกข์ก็ไม่อยู่กับเราคงทนถาวรเช่นกันมันก็มีวันหายไป
พริบตานั้นไฟในโบสถ์ก็ถูกเปิดนำทางให้เราเดินออก…
ห้องทำพิธีอีกห้องด้านข้างของโบสถ์หลักเป็นห้องเล็กๆ
สวนด้านหลังของโบสถ์
บริเวณด้านนอกตัวโบสถ์
ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’
ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ