ตลอดการสนทนากับ คุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ที่บ้านกันตนาในย่านบางใหญ่ เขาบอกเราซ้ำๆ ถึงเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิต อย่างการได้เกิดและเติบโตในครอบครัวกัลย์จาฤก ตระกูลผู้บุกเบิกและสร้างสีสันให้วงการบันเทิงบ้านเรามาตลอด 68 ปี

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขากำลังทำและรับผิดชอบอยู่จะง่ายอย่างที่หลายคนคิด

โดยตำแหน่งแล้ว คุณเต้เป็นผู้อำนวยการ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ผู้บริหารที่มีเลือดศิลปินอยู่ในตัวเกินร้อย

คุณอาจคุ้นเคยกับภาพที่คุณเต้เป็นผู้บริหารทายาทรุ่นสามของกันตนา กรุ๊ป ผู้ปรับโฉมและนำพากันตนาอยู่รอดและไปต่อในยุคสมัยใหม่ ทั้งผ่านรายการชื่อดังอย่าง The Face Thailand และอีกหลากหลายรายการในช่องทางฉายที่มากมายเกินนิ้วมือนับ

หรือแม้กระทั้งลงทุนแปลงโฉมเป็นนางพญาในรายการ จนแฟนคลับพร้อมใจกันย้ายทีมมาอยู่ #ทีมคุณเต้

นอกจากวิธีคิด สายตาและสัญชาตญาณการหยิบจับเรื่องราวบันเทิงมาหีบห่อใหม่จนเป็นที่สนใจในสังคมอยู่เสมอ เราสนใจวิธีคิดและการทำงานในบทบาทผู้บริหารที่เป็นผู้บริหารจริงๆ ตัวตนอีกด้านของเขา ความอดทนระดับอนันต์ ความดื้อและความกล้าหาญที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง

ดีใจที่คุณเต้ตอบตกลงมาเป็นกัปตันทีมของเราในวันนี้

และดีใจยิ่งกว่าที่บทสนทนาระหว่างเราเข้มข้นและเฟียซสูสีภาพประกอบด้านบน

คุยเรื่องงานบริหารฉบับสตรวองของจริงกับ คุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก

สมัยเด็กๆ เคยโดนห้ามดูโทรทัศน์เหมือนเด็กคนอื่นมั้ย

ไม่เลย ตอนเด็กๆ ดูทีวีตลอด เกิดมาก็ดูแล้ว คุณเต้มักจะใช้คำนี้เสมอว่า I was born into it. หมายความว่า เกิดมาก็เห็นสิ่งที่คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อและคุณแม่ ทำมาตลอด

การดูโทรทัศน์ของลูกหลานครอบครัวที่ทำหนังทำละคร จะสนุกเหมือนที่คนทั่วไปดูมั้ย

เพราะถูกสอนให้คิดและวิเคราะห์ตั้งแต่เด็ก คุณเต้เลยเป็นคนดูหนังและละครไม่ค่อยสนุก แทนที่จะรู้เรื่องราวว่าพระเอกนางเอกทำอะไร เราดูแล้วเราเห็นโปรดักชัน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กเลย คิดล่วงหน้าว่าแต่ละฉาก แต่ละตอน กำลังบอกอะไร หรือกำลังจะนำไปสู่เรื่องราวแบบไหน นั่นทำให้เราชอบดูหนังยากๆ หรือหนังที่ต้องใช้ความคิด เพราะเราจะไม่เห็นโปรดักชันอื่นๆ ทำให้ได้คิดอย่างอื่นบ้าง ได้มีอารมณ์ร่วมกับหนังบ้าง

ความรู้สึกของการอยู่ในบ้านหลังเดียวกับที่ใช้ถ่ายละครเป็นยังไง

เป็นเรื่องที่เจอเป็นประจำจนเราชินไปเอง จะมีอึดอัดบ้างเล็กน้อยถึงปานกลางเวลาที่เราต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ความเคยชินก็ทำให้เราปรับตัวกับสิ่งต่างๆ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน บางวันเปิดประตูห้องนอนออกมาก็เจอดารารุ่นใหญ่ๆ ยืนกันอยู่ บางทีก็เข้ามาถ่ายในห้องนอนเรา

และพอเราเป็นครอบครัวใหญ่ คุณปู่มีลูกหลานหลายคน ก็ทำให้มีลูกพี่ลูกน้องเยอะ การอยู่ร่วมกับคนจำนวนมากตั้งแต่เด็กทำให้เราไม่มีปัญหาเมื่อต้องไปเรียนหนังสือที่ต่างบ้านต่างเมือง กลายเป็นว่าปรับตัวได้เร็วเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในหอพักหรือโรงเรียนประจำ

มีแอบคิดไหมว่าถ้าเราเป็นคนธรรมดาชีวิตอาจจะง่ายกว่าหรือสนุกกว่านี้

คิด มีช่วงหนึ่งที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ จนกระทั้งเมื่อ 9 ปีที่แล้วเราถึงยอมกลับมา

ที่ผ่านมา เรามีความสุขกับการเป็นศิลปินอยู่ในวงการบันเทิงนะ แต่พอถึงจุดหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าทำไมความกดดันมันสูงเหลือเกิน เช่น ร้องเพลง คนก็บอกว่า อ๋อ เป็นกัลย์จาฤกล่ะสิถึงทำได้ เราก็มีความรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ไม่อยากอยู่ ไม่ชอบการตัดสินแบบนั้น จริงๆ เราก็ไม่ได้ว่านะ เพราะเราเองก็เป็น เราก็ตัดสินคนไปก่อนที่จะรู้จักตัวเขาจริงๆ แต่การที่มีคนหมู่มาก หรือสาธารณะชนจำนวนมากมาตัดสินเรา เราก็รับมือไม่ไหว จนเรารู้สึกว่าเราป่วย อยู่ไปก็ไม่มีความสุข เลยตัดสินใจหนีไปจากตรงนั้นพักนึง

ผลของการหนีไปจากจุดที่ยืนอยู่ เหมือนหรือต่างจากที่คิดฝันแค่ไหน

จำได้เลยว่าเรามีความสุขกับชีวิตช่วงไฮสคูลมาก เราได้รับอิสรภาพ ได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ ก็มีกลับประเทศไทยบ้างช่วงนึง มาเล่นละคร ร้องเพลง ออกอัลบั้ม บริหารค่ายเพลงไปด้วยระหว่างที่เรียนอยู่ที่จุฬาฯ ก่อนจะพบว่าเราเริ่มป่วย มีเหตุการณ์นึงเป็นเรื่องเป็นราวซึ่งถ้าเรียนอยู่รุ่นเดียวกันจะจำได้ เราขึ้นไปร้องเพลงคลาสสิกบนเวที ความกดดันที่มีทำให้เราเกิดอาการหูดับไป 3 นาที จำไม่ได้และไม่ได้ยินว่าตัวเองกำลังร้องอะไรอยู่ แต่ก็ยังคงร้องต่อไปเหมือนวิญญาณออกจากร่าง พอเรียนจบเราก็กลับไปอยู่แอลเอและนิวยอร์ก จนกระทั้งคุณลุงสิ้น ก็คุยกับคุณพ่อว่าคงถึงเวลาที่จะกลับมาช่วยงานแล้ว

ตอนที่เจอกับเหตุการณ์ที่คนมาตัดสินเรา คุณอยากบอกอะไรพวกเขาบ้างมั้ย

ไม่เลย ตอนนั้นไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่ามันไม่แฟร์ เราแค่รู้สึกว่าเรารับมือสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะตัวเราเองยังไม่แข็งแรงพอ การย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่นทำให้คุณเต้ได้คุยกับตัวเอง ฟังดูเหมือนคนสติไม่ดีใช่มั้ย (หัวเราะ) พูดง่ายๆ คือ พอโตขึ้นเราก็เข้าใจตัวเราเอง แข็งแรงขึ้น รับมือกับเรื่องพวกนี้ได้

ถอดรหัสตำราการบริหารและตัวตนหลังโต๊ะทำงานของคุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ผู้บริหารรุ่นที่สามของกันตนา ที่สตรวองจนคุณสะพรึง

ช่วงที่อยู่ต่างประเทศมีเหตุการณ์ไหนบ้างที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตและวิธีคิดของคุณ

คงเป็นเพราะเราได้เห็นสิ่งที่แปลกใหม่ ได้เห็นสิ่งที่ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา เห็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและบุกเบิกอยู่ตลอดที่นู่น ทำให้เราเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนแปลกที่สุด แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ชั่วร้ายอะไร แต่ว่าต้องเข้าใจตัวเองให้ได้มากกว่านี้ แล้วการที่คนอื่นไม่เข้าใจเราก็ช่างมัน ถ้าเราไม่ได้ทำร้ายใคร เรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่ามีเป้าประสงค์อะไร ถ้าสิ่งที่ทำเราทำให้คนหมู่มากมีความสุข วันนี้ได้เท่านี้คุณเต้โอเค คุณเต้คิดว่าคุณเต้โตช้าหน่อย คือแก่แล้ว อายุเท่านี้แล้วอะ

ทำไมถึงคิดว่าตัวเองโตช้า

คือจริงๆ บางคนเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ 14 – 15 เขาประสบความสำเร็จเร็วกว่า แล้วก็เข้าใจชีวิตเร็วกว่าเรา แต่คุณเต้ช้ากว่าปกติ คุณเต้คิดว่าอย่างนั้นนะ

แต่คุณเต้ได้นวดมันจนถึงจังหวะที่ดีมากเลยนะคะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ

ไม่ จนถึงตอนนี้ คุณเต้ก็คิดว่ายังมีอะไรให้เรียนรู้ใหม่อยู่ตลอด

ช่วง 2 ปีแรกก่อนที่คุณเต้นำรายการ The Face Thailand เข้ามา ไม่มีใครมั่นใจไปกับคุณเต้ แต่คุณเต้อยากทำ และจริงๆ แล้วคุณเต้อยากทำ Drag Race ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีใครกล้าเปิดทาง คุณเต้ก็เรียนรู้ว่า หนึ่ง เราต้องกล้าและหาผู้ร่วมกล้าไปกับเรา สอง หาเงินและโอกาส ที่สำคัญที่สุด คือความอดทน ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วได้มันมา มันต้องอดทนและบอกตัวเองทุกวันว่า เห้ย นี่คือสิ่งที่เราอยากทำมัน ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ใช่ก็ได้ด้วยสัญชาตญาณ หรือมันอาจจะผิดก็ได้ คุณเต้เชื่อในเรื่องนี้เสมอว่าถ้าทำผิด คุณเต้จะรับผิดชอบเอง แต่อย่ามาขวางทางเรา ซึ่งคุณเต้เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่มัธยมแล้ว สมมติถ้าสอบแล้วตก ก็เพราะฉันไม่ได้อ่านเอง ไม่ได้ตั้งใจทำเอง หรือตั้งใจผิดวิธี ขอเรียนรู้เอง อย่าให้มีใครมาบอกว่า อันนี้สิ อันนี้ดี เขาบอกเราก็ฟังนะ แต่จะขอลองทำวิธีนี้จนกระทั่งรู้ว่ามันไม่ใช่

สิ่งที่คุณเต้ทำเหมือนการขายภาพ ขายอากาศ ไม่อาจจะบอกได้ชัดเจนว่าเพลงนี้ดี ละครเรื่องนี้สนุก ขึ้นกับจังหวะบอกไม่ได้หรอก ถ้าคนดูไม่ได้สนุก ดูยังก็ไม่สนุก เพราะฉะนั้น คุณเต้จะขอทำให้ดีที่สุดในทุกจังหวะ แล้วถ้าทำพลาดเอง ขอรับผิดชอบเอง

เคยทำพลาด?

พลาดตลอดเวลา พลาดที่ทำให้บริษัทขาดทุน ในบางยุคขาดทุนเป็น 20 ล้านก็ทำมาแล้ว

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความโชคดีของคุณเต้ คือคุณพ่อท่านเป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์มายาวนาน ท่านจะบอกก็ได้ว่าไม่ให้คุณเต้ทำ หรือกำหนดขอบเขตว่าทำได้แต่ให้ทำอยู่เท่านี้นะแล้วให้เรียนรู้เอง นั่นยิ่งทำให้คุณเต้ระลึกไว้ตลอดว่าเคยทำอะไรไปแล้ว กับสิ่งที่ผิดพลาดต้องรับผิดชอบ เสียหายไปเท่าไหร่ จะชดใช้อย่างไร อย่างน้อยต้องหามาคืนให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดไปต่อ ซึ่งมันก็มีเสียทุกวันนะ แต่ละวันมันคือการลงทุน

คนทั่วไปอาจจะเห็นว่าคุณเต้ทำคอนเทนต์ แต่จริงๆ แล้วโดยหน้าที่คุณพ่อจะสอนเสมอว่างานของผู้บริหารของคุณเต้คือ หนึ่ง หาเงิน สอง แก้ปัญหา เพราะฉะนั้น คุณเต้ก็ทำไปด้วย เรียนรู้ไปด้วย จะเสียผิดพลาดก็ด้วยตัวเองแต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่ไม่ทำให้คนอื่นลำบากมาก

แล้วระหว่างหาเงินกับแก้ปัญหา คุณเต้คิดว่าตัวเองเป็นผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับเรื่องไหนมากกว่ากัน

โอะๆ บอกเลยว่าคุณเต้เป็นศิลปินมากกว่าผู้บริหาร

ก่อนหน้านี้ที่เราหนีไปต่างประเทศเพราะเราไม่อยากทำธุรกิจ แต่ถ้าให้ร้องรำทำเพลงจะชอบมากกว่า แต่วันหนึ่งที่เข้าใจชีวิตแล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ คำถามคือสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ต้องทำจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ซึ่งต่อให้มีเลือดศิลปินในตัวเรามีมากกว่า เราก็เข้าใจ commercial นะ

เข้าใจว่า?

โลกเปลี่ยนไป พฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไป ยุคนี้มีคนดูเป็นที่ตั้ง เรียกว่าอะไรไม่รู้แหละ social online หรือ digital age คุณเต้คิดว่าเรื่อง audience engagement สำคัญที่สุด การเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น เป็น two-way communication เป็นเพื่อนกัน เป็นแฟนกัน เดินไปด้วยกัน ไม่ใช่การส่งสารฝ่ายเดียวเหมือนแต่ก่อน คิดดูสิเรายังไม่อยากดูเลย ทั้งสิ่งที่สื่อป้อนให้และเวลาที่ใช้สื่อสาร ยุคนี้คนเขาจะดูเมื่อเขาอยากจะดู เมื่อไรก็ได้ ใน device หรือเครื่องมืออะไรก็ได้ หรือดูไปพร้อมกับคุยกับเพื่อนก็ได้ เป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา

ถอดรหัสตำราการบริหารและตัวตนหลังโต๊ะทำงานของคุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ผู้บริหารรุ่นที่สามของกันตนา ที่สตรวองจนคุณสะพรึง

หากต้องทำงานที่ไม่ถนัด คุณเต้มีวิธีคิดยังไง

เราก็ต้องถามตัวเองว่าเป้าหมายของเราคืออะไร คุณเต้ค่อนข้างชัดเจนนะ มันอาจจะน่าหมั่นไส้พอสมควร ที่คุณเต้มักจะพูดอยู่เสมอว่าคุณเต้ไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก แต่ถ้าทำ นั่นหมายความคุณเต้จะต้องทำให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ตัวเองมีแรง เพราะไม่อยากทำให้สิ่งที่คุณปู่ คุณย่า คุณลุง คุณพ่อ ทำเสียไป แต่เพราะตั้งใจแล้วว่าสิ่งที่ทำนั่นมีประโยชน์ ไม่ดูถูกคนดู มีอะไรแปลกใหม่ กล้าทำสิ่งที่แตกต่าง และสุดท้ายคนดูแฮปปี้เท่านั้นจบ

สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ รับมือยากง่ายต่างกันยังไงบ้าง

คงต้องหาตรงการที่บรรจบกัน จากที่เคยคิดว่าไม่อยากทำ แต่พอทำแล้วเราเจอสิ่งที่เรารัก เราชอบ เช่น คุณเต้ชอบแฟชั่นนะ แต่ไม่ได้รู้จักแฟชั่นขนาดนั้น เราก็เกิดคำถามว่าทำไมแฟชั่นจึงเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม ทำไมถึงไม่เป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ หรือเป็นเรื่องของทุกคน เราจึงอยากทำและคิดว่าน่าจะสื่อสารกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยได้ พอทำแล้วก็ยิ่งสนุก เป็นตัวอย่างของความชอบและหน้าที่รับผิดชอบที่มาบรรจบกันพอดี งานของคุณเต้ จึงหนีไม่พ้นเรื่องแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ดนตรี กวีศิลป์ต่างๆ

อย่างรายการ The Face Thailand จริงๆ แล้วตั้งใจจะบอกอะไรกับคนดู

The Face Thailand เป็นรายการที่มีการแข่งขันสูง มี 3 ทีมแข่งขันกัน

มีคนถามเราทุกวันว่ามันสร้างสรรค์ยังไง คนมาตีกันแล้วมีความสุขเหรอ คุณเต้ก็จะบอกว่านี่เบาแล้วนะ ถ้าเอาเรื่องจริงๆ ในสังคม การฟาดฟันเชือดเฉือนจริงๆ มันจะไม่ใช่แบบนี้

การถ่ายทำรายการที่เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ต้องอยู่ด้วยกัน 1 – 2 วันเป็นอย่างน้อย ตลอดเวลา 3 เดือนเราเซฟทุกคนอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร ถ้าเราเป็นคนที่ขาดการยั้งคิดเรื่องศีลธรรม จริยธรรม หรือความคิดเรื่องนี้น้อย คิดแต่จะเอาความสนุก เราก็คงทำอะไรก็ได้ และก็คงชี้นำสังคมไปอีกรูปแบบ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้พอสนุก พอมีรสชาติ ดูแล้วมีเรื่องเม้ากับเพื่อนกับครอบครัว จบรายการแล้วก็มีชีวิตที่ไปต่อข้างหน้าไม่ยึดติดกับมัน

ในโลกการทำงานและการแข่งขันกัน ความผิดพลาดที่เกิดในการแข่งขัน ทำงูตกขณะเดินแบบ เพราะวันนั้นไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์มาทำให้มองเห็นทางไม่ชัด ถือว่าเป็นการรำไม่ดีโทษปี่โทษกลองมั้ย แต่คนดูไม่ได้มองเรื่องนี้ กลับมองว่าทำไมมันต้องทะเลาะกันจังเลย แต่ก็จะมีบางคนที่มองเห็นสิ่งที่เราอยากบอก เพียงแต่เราหีบห่อมันอีกแบบ

ยืนยันอีกเสียงว่าเราชอบ The Face Thailand เพราะสอนเรื่องสปิริตและการทำงานอย่างตั้งใจนะ

มีบ้างๆ เพียงแต่ที่เราต้องใช้ความบันเทิงนำ จะให้ทำเป็นสารคดีเลยก็ทำได้นะ แต่ถ้าไม่บันเทิง คนก็ไม่ดูไง

ได้ยินว่าคุณเต้ชอบฟังสัมมนาในงานเทศกาลหนังต่างประเทศมาก

คนจะรู้จัก Cannes Film Festival และมีภาพจำเกี่ยวกับงานเทศกาลหนังงานนี้ถึงพรมแดงและดาราสวยงาม ซึ่งจริงๆ แล้วหัวใจอยู่ที่คือตลาดซื้อขาย เป็นที่รวบความรู้ชั้นดีทั้งหมด มีอะไรให้เรียนรู้ตั้งแต่เช้าจดเย็น เราจะเข้าไปนั่งฟังทิศทางในวงการว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดิวเซอร์คนนี้คนนั้นทำรายการนี้จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร เทรนด์ของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กวัยรุ่น คอนเทนต์ 360 คืออะไร เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาช่วยมีอะไรบ้าง และยังได้แลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างคนที่มาร่วมงาน มีอะไรให้เรียนมากมายไม่รู้จบตลอด 4 – 5 วัน

การไปถึงงานเทศกาลแล้วเราเป็นเหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นโมเมนต์ที่คุณเต้ชอบตัวเองมากๆ โมเมนต์ที่อยากรู้ อยากพัฒนาตัวเอง นั่งฟังอยู่อย่างนั้นจนเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ จริงๆ ใครรักที่จะเรียนรู้เรื่องแบบนี้ เข้าไปติดตามเนื้อหาออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์หลักของงาน MIPTV และ MIPCOM ตลาดซื้อขายรายการโทรทัศน์ ดิจิทัลคอนเทนต์ และสื่อบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตื่นเต้นกับอะไรที่สุด

ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยตื่นเต้นแล้วนะ เป็นการอัพเดตมากกว่าเพราะไปมา 2 – 3 ปีแล้ว แต่ช่วงนี้อยากเจอสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นมากๆ เลยขอบอก เพราะ 3 – 4 ปีที่ผ่านมาเหมือนเราอยู่ที่เดิมเพราะโลกมันย่ำอยู่ที่เดิม ไม่ได้พูดถึงประเทศไทยนะ นี่เราพูดถึงทั้งโลก

ก็หวังว่าจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีก็จะทำให้มี คุณเต้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะมีพื้นที่อยู่ในเวทีโลก นั่นหมายความว่าไม่ได้คิดแค่ประเทศไทย แต่อยากทำอะไรกับภูมิภาคและระดับโลกได้ เพราะเราก็ไม่อยากจะซื้อรายการของชาวบ้านตลอดไป อยากจะขายบ้าง หรือผลิตร่วมกับคนอื่นบ้าง

เต้ ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก

คุณคิดยังไงกับ Content is king

คนดูยุคนี้ไม่ได้เป็นคนถูกเลือก เขาเป็นคนเลือกเรา เพราะฉะนั้น ทำเถอะ ทำเลย และทำอย่างตั้งใจ จนออกมาดีและแข็งแรง ถ้าคนดูเห็น เขาจะมาเอง แต่พอเขามาแล้วเราต้องสื่อสารโต้ตอบกับเขา เพื่อจะเก็บเขาไว้ให้อยู่กับเรานานที่สุด นี่เป็นหัวใจ

แล้วเคยท้อใจกับตัวเลขน้อยๆ บ้างมั้ย

ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะห์ก่อนว่าตัวเลขของคุณผู้ชมวัดได้จากหลายช่องทาง ขอยกตัวอย่างในช่วงเวลา 3 เดือนที่ The Face Thailand Season 3 ออกอากาศ มีจำนวนคนดูใน YouTube ทั้งสิ้น 98 ล้านวิว ขณะที่ตัวเลขจากช่องทางอื่นคือ 1 – 2

สิ่งที่เราจะบอกคือ เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน เพราะฉะนั้น อดทนหน่อย

ถ้ามีโจทย์ให้คิดและทำโปรเจกต์ที่ไม่มีตัวเงินหรือตัวเลขมาเกี่ยวข้อง โปรเจกต์นั้นของคุณจะมีหน้าตาหรือรูปแบบเป็นยังไง

ตัวคุณเต้ลึกๆๆๆ (เน้นเสียง) แล้วชอบร้องเพลง ทุกคนรู้อยู่แล้ว ชอบอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ถ่ายทอดเสียงและความรู้สึกออกมา แต่ไม่ถนัดร้องเพลงในที่คนเยอะๆ จะมีบ้างปีละครั้งที่ร้องสดๆ บนเวที ถ้าให้ทำโปรเจกต์ก็คงเกี่ยวกับเรื่องร้องเพลง แต่คงไม่ทำแล้วเพราะแก่เกิน

ต้องบอกว่าคุณเต้จะรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องออกมาแสดง เพราะว่าสิ่งที่เราเห็นจากเวทีมันต่างจากคนอื่นๆ เรามองเห็นกระบวนการทำงานและเตรียมความพร้อมในทุกอย่าง แสง สี เสียง คนดู ลำดับคิว และคิดแทนไปทั้งหมด ไม่สามารถเลิกคิดถึงเรื่องนั้น แล้วปล่อยใจให้ร้องถ่ายทอดเพลงออกมาได้อย่างตอนร้องเพลงในพื้นที่ส่วนตัว

เราจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งนั้นมั้ยคะ

คงจะยาก เพราะถ้าทำแล้วไม่ดีเราก็ไม่อยากทำ

ใครๆ ก็มองว่าคุณเต้เป็น perfectionist มีมุมไหนหรือเหตุการณ์แบบไหนที่คุณยอมให้ตัวเองไม่เพอร์เฟกต์บ้างมั้ย

ก่อนอื่นขอคำจำกัดความคำว่า perfectionist ก่อน คุณเต้ยอมรับว่าคุณเต้เป็น perfectionist แต่พยายามจะไม่พูดคำนี้ ในความหมายของคุณเต้ไม่ได้หมายถึงการเป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนที่ต้องการให้ทุกสิ่งที่ทำออกมาสมบูรณ์แบบ ซึ่งมันทำให้กดดันตัวเองมากไป

คุณเต้อยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองดีที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ที่จะยอมให้ตัวเองไม่เฟอร์เฟกต์ก็คือ ถ้าถึงจุดหนึ่งที่ทำดีที่สุดแล้ว ทำด้วยตัวเอง พลาดด้วยเอง เราจะยอม

เรื่องยากที่สุดในการบริหารคน

ทำยังไงดีคนนั่งอยู่ตรงนี้เต็มไปหมดเลย (หัวเราะ)

เรื่องยากที่สุดก็คือการบริหารอารมณ์ตัวเราเองนี่แหละ เราทุกคนมีรักโลภโกรธหลงทั้งนั้น ถ้าจะหวังให้เขาเข้าใจเราก็คงยาก ก็เรียนรู้ไปด้วยกัน

คนทำงานเก่งในสายตาของคุณ

เป็นคนแบบคุณพ่อจาฤก กัลย์จาฤก มีคนรัก มีคนเคารพ มีคนจงรักภักดี

ถ้าให้เลือกระหว่างเป็นที่รักและเป็นที่นับถือ

คุณเต้ขอเลือกเป็นคนที่ทำงานได้ดี

คุณเต้คิดว่าถ้าเราทำ และไม่ได้ทำร้ายใคร มีเป้าหมาย มีทีมเวิร์ก คุณเต้โอเค ไม่เป็นไร ไม่รักก็ได้ แต่อย่าทำร้ายกันเลยนะ

คนแบบไหนที่อยากทำงานด้วย

คนเก่ง คนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแตกต่าง เป็นผู้นำแต่ก็พร้อมที่จะรับฟัง

ถอดรหัสตำราการบริหารและตัวตนหลังโต๊ะทำงานของคุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ผู้บริหารรุ่นที่สามของกันตนา ที่สตรวองจนคุณสะพรึง

เราชอบที่คุณลงมาเล่นเกมเองด้วย คุณได้คิดถึงข้อดีข้อเสียของการที่ผู้บริหารลงมาเล่นเกมนี้ด้วยยังไงบ้าง

ไม่รู้หรอกว่าดีหรือไม่ดียังไง รู้แต่ว่าสนุก อยากทำ จะเห็นว่าปีนี้เราจะเงียบๆ หน่อย เป็นไปตามจังหวะ ตามสัญชาตญาณซึ่งหลายครั้งก็ผิด มีคนพูดถึงเรา ก็มองว่าดีนะ อย่างน้อยยังพูดถึงเราแปลว่าเราไม่น่าเบื่อ ดูไปด่าไปก็ขอให้ดู

จนถึงทุกวันนี้ คุณยังรู้สึกหงุดหงิดที่โดนตัดสินหรือจัดกลุ่มอยู่บ้างมั้ย

คุณเต้ไม่ได้เจอแต่ความกดดันสังคมอย่างเดียว คุณเต้เจอเรื่อง LGBT อีก และในยุคนั้น LGBT เป็นเรื่องแปลก ประหลาด มหัศจรรย์อยู่

คุณเต้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้างคะ

ปล่อยวางและให้อภัย อย่าเพิ่งตัดสินกัน ให้รู้จักกันก่อน รู้จักแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องยุ่งกันแค่นั้นเอง มันง่ายมากเลยนะ แต่มันก็คงไม่เป็นอย่างนั้นไง มีความซับซ้อนบางอย่างอยู่ ชีวิตมันไม่แฟร์ แล้วแต่คนเลยว่าจะแข็งแรงและอยู่บนโลกนี้แค่ไหน

การเกิดมาอยู่วงการนี้ทำให้เราเข้าใจวัฏจักร เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ดัง-ดับ นี้ดี วนเวียนแบบนั้น เห็นมาทั้งชีวิต ดังนั้น ตัวเราเองก็เช่นกัน วันนี้คุณเต้มีคนสนใจ ทำรายการแล้วมีคนชอบ วันหนึ่งเราก็ล้มได้ ล้มมาบ้างแล้วเพียงแต่คนไม่ค่อยรู้ ดังนั้น ทำสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุดก่อน

ในยุคที่เด็กรุ่นใหม่ชินกับการประสบความสำเร็จเร็วๆ คุณเต้มีคำแนะนำยังไงบ้าง

ก่อนจะตอบคำถามนี้ ขอถามกลับไปก่อน คิดว่าคุณเต้ประสบความสำเร็จเร็วมั้ย

สำหรับคุณเต้ คุณเต้คิดว่าเร็วนะ เกินความคาดหมาย แต่คำว่าประสบความสำเร็จไม่ได้แปลว่าดี ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลา 3 – 5 ปีถึงทำ The Face ประสบความสำเร็จ แต่บังเอิญมีคนสนใจและรักรายการนี้ตั้งแต่ซีซั่นที่ 2 นั่นหมายความว่าเร็ว ดีมั้ย ดีนะ แต่หยุดไม่ได้

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่าคุณเป็นตำนานแล้ว คุณประสบความสำเร็จแล้ว คุณเต้คิดว่านั่นอันตราย เพราะคุณจะเริ่มเข้าใจว่า งั้นหยุดก็ได้ จะแน่ใจได้ยังไงว่านี่คือสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุด พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วโอเค แต่เราเอง เราคิดว่า 5 – 10 ปีนี้เรายังไม่จบ เรายังมีสิ่งที่อยากนำเสนออีก และยังมีอะไรที่เราอยากเห็นอีก ยังสนุกอยู่ ยังมีแรงที่ทำต่อก็ขอให้ทำต่อไป

เราเห็นความยากลำบากของทุกคนในครอบครัว แต่ละยุคไม่ง่าย ก็เลยเข้าใจชีวิตว่า 3 เดือนหน้าก็ไม่ใช่แบบนี้แล้ว หยุดคิดเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น วันนี้เราทำดี พรุ่งนี้มีคนมาทำเหมือนเราเลยเพราะเห็นว่าดีเลยทำด้วย แต่เขาต้องทำดีกว่า นั่นไง ถ้าหยุดคิดปุ๊บเราก็ตาย

เพราะฉะนั้น ง่ายมากเลย ก็คือต้องอดทนและไม่หยุดคิด

ถอดรหัสตำราการบริหารและตัวตนหลังโต๊ะทำงานของคุณเต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ผู้บริหารรุ่นที่สามของกันตนา ที่สตรวองจนคุณสะพรึง
7 Questions

Answered by Vice President and Executive Producer of Kantana Group 

  1. เพลงที่ฟังบ่อยช่วงนี้: ช่วงนี้กำลังอินกับเพลงของ Céline Dion และ John Legend เพราะกำลังจะมา ขอบอกเลยว่า ซื้อตั๋ว! คนแรก! ที่สุด! โดยเฉพาะ John Legend เพราะชอบมาก ส่วน Céline Dion ชีวิตนี้เราพลาดคอนเสิร์ต Céline Dion มาตลอดแม้ว่าจะอยู่เมืองนอกตลอด ไม่เคยดูเลยและอยากดูมาก เป็นศิลปินที่รักที่สุดคนนึง
  2. เครื่องดื่มโปรดที่มีติดอยู่ในทุกปาร์ตี้: Prosecco เชื่อหรือไม่ ของโปรดมาก คุณเต้ชอบกลางๆ แต่กินได้เรื่อยๆ
  3. คุณไปแข่งรายการแฟนพันธ์แท้ตอนไหนได้บ้าง: โห รายการของคนอื่น ไม่ไปได้มั้ยอะ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ เราเป็นคนชอบรู้และเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง มากกว่าจะรู้เรื่องบางเรื่องลึกๆ ไปเลย พอรู้เสร็จ บางทีก็ไม่ได้เก็บเอาไว้เพราะไม่ยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กับเรื่องที่ชอบมากๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อที่สนใจอยู่ดี เช่น ชอบเรื่องแฟชั่น แต่ไม่ได้ยึดติดกับดีไซเนอร์คนไหนเป็นพิเศษ หรือต้องรู้เรื่องลึกๆ ขนาดนั้น
  4. เวลาหมดแรงหรือรู้สึกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเราคุณจะบอกตัวเองว่า…: นอนก่อน ตื่นมาแล้วค่อยเริ่มใหม่ พ่อสอนตั้งแต่เด็กว่าถ้ารับมือไม่ไหวให้ไปนอนแล้วตื่นมาคิดต่อ
  5. ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนชีวิต: เป็นเรื่องบังเอิญที่หนังเรื่องนี้เข้ามาในจังหวะของชีวิตพอดี นั่นคือ Moulin Rouge! (2001,Baz Luhrmann) เป็นมิวสิคัลที่ชอบ มีดาราที่ชอบ มีความเก๋ไก๋ที่มหัศจรรย์ รวมเพลงที่ชอบของยุคนั้น รวมทุกสิ่งอย่าง และถ่ายทอดออกมาเป็นเรามากที่สุดจนถึงทุกวันนี้
  6. ความสนใจของคุณตอนอายุ 18, 28 และปัจจุบัน: ตอน 18 เป็นช่วงค้นหาตัวเอง ตอน 28 เริ่มอิ่มตัวกับแอลเอและนิวยอร์ก เริ่มสนใจกลับมาทำงานที่ไทย ส่วนปัจจุบัน อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด คิดว่ายังหยุดทำงานไม่ได้ ยังต้องทำอะไรต่อไปอีก คนอาจจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับเรายังเบบี้อยู่ เช่น The Face คนอาจจะคิดว่าปีที่ 4 แล้วอยู่ตัวแล้ว สำหรับเราเขาเหมือนขึ้นมัธยมปลายอยู่เลย เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คุณเต้ยังไม่ส่งเขาเข้ามหาวิทยาลัย แต่งงาน มีลูก คุณเต้ถึงจะยอมรับว่าแข็งแรงมากพอที่คุณเต้จะปล่อย
  7. กิจกรรมบันเทิงที่สุดช่วงนี้: ปกติคือคุยกับเพื่อน อยู่บ้าน แต่กิจกรรมใหม่ตอนนี้คือ เล่นกับหลานทั้งสองคน น้องตน กับน้องตู

Writer

นภษร ศรีวิลาศ

นภษร ศรีวิลาศ

บรรณาธิการธุรกิจ The Cloud 4.0 แม่บ้านและฝ่ายจัดซื้อจัดหานิตยสารประจำร้านก้อนหินกระดาษกรรไกร ผู้ใช้เวลาก่อนร้านเปิดไปลงเรียนตัดเสื้อ สานฝันแฟชั่นดีไซเนอร์ในวัย 33 ปัจจุบันเป็นแม่ค้าที่ทำเพจน้องนอนในห้องลองเสื้อบังหน้า ซึ่งอนาคตอยากเป็นแม่ค่ะ

Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan