ในยุคที่ผู้คนแวดวงธุรกิจต่างหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางเทคโนโลยี มีร้านทำผมและเสริมสวยอายุราว 4 ทศวรรษแห่งหนึ่ง มองเห็นโอกาสและยิ้มโอบรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เกรงกลัว
เสียงกรรไกร ปัตตาเลี่ยน และไดร์เป่าผมขณะทำงาน ต้อนรับเราเข้ามายังซาลอนย่านพระราม 9 แห่งนี้ พร้อมกระจกหลายบานเรียงรายสะท้อนรอยยิ้มสดใสของผู้คนให้เชยชม
ที่กำแพงมีตราสัญลักษณ์ประกอบชื่อร้านเขียนว่า Cealeb by Kornklao (อ่านว่า ซี-เล็บ-บาย-กอน-เกล้า)
นอกจากสามารถปรับเปลี่ยนแปลงโฉมให้คุณดูดีมีสง่าแล้ว Cealeb เป็นซาลอนที่ตั้งใจปรับเปลี่ยนวงการเสริมสวยให้ตามทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ด้วยแนวคิดแปลกใหม่ไม่แพ้วงการอื่นใด
ตั้งแต่การทำ Co-working Salon คอร์สสอนการเสริมสวยออนไลน์ แอปพลิเคชันเก็บข้อมูลการทำผมและ Salon Delivery
The Cloud มีนัดหมายกับ เอ-ชนาโชติ สวัสดิ์วิชัยโสภิต ทายาทรุ่นสองของร้านเสริมสวยกรเกล้า ผู้รับช่วงต่อกิจการจากแม่ (สายชล สวัสดิ์วิชัยโสภิต) และปรับเปลี่ยนสานต่อแบรนด์ซาลอนแห่งนี้ให้ยังคงบริการความสุขและรอยยิ้มเสมอมา
“การตัดผมยังมีความรู้สึกละมุนที่เทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์แบบไหนก็มาแทนไม่ได้ มนุษย์ยังต้องสัมผัสกันด้วยความรู้สึกอยู่ แต่เราจะผสมผสานสิ่งใหม่เพื่อให้ชีวิตของช่างดีขึ้น และคนที่เข้ามาใช้บริการได้ในสิ่งที่ต้องการ” เอเล่าให้ฟังว่าเขาไม่ได้มองการเปลี่ยนแปลงเป็นศัตรู แต่เป็นมิตรสหายมากกว่า
เอได้ไอเดียในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดจากพื้นฐานของคนรุ่นก่อน แล้วเขามองเห็นอนาคตของวงการเสริมสวยเป็นเช่นไร
นั่งเก้าอี้ให้สบาย คลุมผ้าให้เรียบร้อย เรื่องผมของเขากำลังจะเปลี่ยนความคิดของคุณ
ธุรกิจ : ร้านเสริมสวยกรเกล้า (พ.ศ. 2526), Cealeb by Kornklao (พ.ศ. 2552)
ประเภท : ร้านทำผมและเสริมสวย
อายุ : 36 ปี
ผู้ก่อตั้ง : สายชล สวัสดิ์วิชัยโสภิต
ทายาทรุ่นที่สอง : ชนาโชติ สวัสดิ์วิชัยโสภิต
ช่างเสริมประสบการณ์ชีวิต
30 ปีก่อน การตัด ซอย และเกล้าผมอย่างประณีตสวยงาม ถือเป็นหนึ่งวิชาในคัมภีร์ลับสุดยอดที่ใครหลายคนหมายปอง
ในยุคไร้คอร์สออนไลน์ กรเกล้านับเป็นโรงเรียนสอนทำผมและเสริมสวยชั้นนำผู้ถือครองคัมภีร์นี้ ภายใต้การบริหารของคุณสายชล ผู้คนต่างตั้งใจเดินทางมาร่ำเรียนวิชาและใช้บริการถึงเมืองหลวงอย่างไม่ขาดสาย พยายามจับจองบริเวณเบื้องหลังอาจารย์ที่เปรียบเสมือนบัตรคอนเสิร์ตหน้าเวทีชั้นดี
เว้นเสียแต่เด็กชายเอ ผู้มองพื้นที่นี้เป็นสนามวิ่งเล่นมากกว่า เขาไม่ได้สนใจหยิบจับกรรไกรและหวีเป็นวิชาชีพ เมื่อเติบโต เอเลือกเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์และทำงานเป็นกราฟิกดีไซน์เนอร์ในบริษัท
จนกระทั่งพิษวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ทำร้ายวงการโฆษณาและสื่อสร้างสรรค์อย่างหนักหน่วง เอจึงต้องปรับตัวด้วยการนำความรู้ออกแบบที่มี มาเริ่มเรียนรู้วิชาการทำผมใหม่
“ตอนนั้นเราอายุยี่สิบห้าปีเอง คิดว่ามีเวลาเรียนรู้อีกเยอะ เลยเริ่มจับกรรไกร ลองเรียนประมาณหนึ่งปี และทำงานร้านข้างนอกเก็บประสบการณ์ เงินเดือนลดลงเยอะมากเลย แต่เรารู้ว่านี่เป็นการย่อเพื่อกระโดดให้สูงขึ้น” เอเล่าย้อนไปถึงวันแรกที่เริ่มเส้นทางนี้
เอเลือกทำงานที่ร้านทำผมอื่นก่อน ทุ่มเททำงานทั้งสัปดาห์อย่างไม่หยุดพักเป็นเวลากว่า 3 ปี เพื่อเร่งเรียนรู้วิชาให้เท่าทัน
“ประสบการณ์ที่เงินไม่มีทางให้คุณได้คือการเป็นลูกน้องคนอื่น เราอยากหาประสบการณ์ส่วนนี้จากข้างนอกก่อน ถ้าไม่ทำแบบนี้ เราไม่มีทางเข้าใจเลยว่าทีมงานของเรารู้สึกหรือต้องการอะไร” เออธิบายเหตุผลที่เขาเลือกทำงานกับผู้อื่นก่อนกลับมาทำที่กิจการของครอบครัว
เมื่อท่องยุทธภพเก็บเกี่ยววิชาจนพร้อม เอกลับมาพัฒนาเปลี่ยนโฉมพื้นที่วิ่งเล่นวัยเด็ก ด้วยความตั้งใจในการทำให้ร้านเต็มไปด้วยความสุข
ตัดผมให้สั้นกับตัดผมให้สวยเป็นคนละเรื่องกัน
จากเดิมเคยอยู่เพลินจิต เอตัดสินใจมุ่งเน้นที่การพัฒนาซาลอน ย้ายไปเปิดที่สยามสแควร์และพระราม 9 พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Cealeb by Kornklao มาจากคำว่าเซเลบ (Celebrity) ด้วยเหตุที่ว่า ร้านของเขามีลูกค้าผู้มีชื่อเสียงหลักร้อยรายแวะเวียนเข้ามา และเสริมด้วยตัว A ใส่เข้าไปแทนชื่อตนเอง
“เราเอาชื่อตัวเองไปใส่เพื่อให้สำนึกตลอดเวลาว่าเราต้องมีสติในการทำงาน ต้องจริงจังและทำให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเราทำได้” เอเล่าที่มาของการปรับชื่อร้านให้เข้ากับยุคสมัยและตัวตน โดยยังไม่ลืมชื่อกรเกล้าเดิม
ร้านทำผมและเสริมสวยแต่ละที่มีเอกลักษณ์ความชำนาญของตัวเอง สำหรับ Cealeb จุดที่โดดเด่นเลื่องชื่อไม่แพ้ใครคือความใส่ใจในรายละเอียด ลึกลงไปถึงระดับพฤติกรรมและความรู้สึกของลูกค้า
“ตัดผมให้สั้นกับตัดผมให้สวยเป็นคนละเรื่องกัน เหมือนกินข้าวให้อิ่มกับกินข้าวให้อร่อยก็คนละแบบ พอประสบการณ์เรามากขึ้น เราพัฒนาการออกแบบทรงผมให้เข้ากับพฤติกรรมคน เวลาลูกค้ากลับบ้านไป ทรงผมจะยังใกล้เคียงกับตอนออกจากร้าน ไม่ใช่สวยหล่อสุดแค่ตอนทำผมเสร็จ”
บางคนสระผมทุกวัน บางคนผมหนา บางคนมีเวลาทำผมน้อย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความสวยงามของเส้นผมมาก เอเข้าใจอย่างดีจากการสังเกตว่าวิถีชีวิตของแต่ละคนต่างกัน ทำให้เขาถามเพื่อรู้จักลูกค้าอย่างลึกซึ้งเสมอ
“เราพยายามหาวิธีแก้ว่าจะทำยังไงให้แม้เพิ่งตื่นก็สวยดูดีได้ เรานำเสนอแฟชั่นและฟังก์ชันไปพร้อมกัน สวยและใช้งานได้จริง” เอย้ำ
ความใส่ใจนี้ เอเล่าว่าได้เห็นจากการทำงานของแม่ตั้งแต่ยังเด็ก เรียกได้ว่าความเป็นกรเกล้าอยู่ในดีเอ็นเอของ Cealeb เสมอ
“ช่วงแรกที่เราทำงานกับแม่ เวลาคุยกันต้องเตรียมตัวทำการบ้านไปเยอะมาก เพราะแม่ถามละเอียด เป็นคนรอบคอบ เขาสอนให้เราคิดแผนรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ไว้หลายแผนเสมอ ซึ่งปรับใช้ได้กับการทำงานจริง
“เราเป็นแบบทุกวันนี้ได้เพราะแม่เลย” เอยิ้ม
Co-working Salon
แต่ฝีมือที่เก่งกาจอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในยุทธจักรนี้ การบริหารจัดการระบบก็สำคัญไม่แพ้กัน
“ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเรื่องบริหารธุรกิจมาก แต่จำเป็นต้องรู้เลยพยายามศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่คนวงการนี้ไม่ค่อยถนัด” เอเล่าถึงโจทย์ยากที่เจอ
ไม่ใช่เอคนเดียวที่พบปัญหานี้ มีช่างทำผมฝีมือดีจำนวนมากที่ไม่ถนัดด้านการบริหาร และไม่มีเงินทุนสร้างร้านให้สวยงามน่าดึงดูดคนเข้าร้าน เลยออกมาทำเป็นงานอิสระหรือไม่ก็เปิดร้านเล็กๆ เพื่อตัดภาระอื่นๆ
“คนจะรู้สึกว่าการจัดการเป็นเรื่องวุ่นวาย เราเห็นปัญหาตรงนี้และไม่อยากให้คนอื่นลำบากแบบเรา พอเริ่มโต มีความรู้และมีทุน เลยสร้างเป็น Co-working Salon ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อยู่ตรงราชประสงค์ เปิดให้ช่างทำผมอิสระเข้ามาใช้งานได้ เน้นบริการลูกค้าและหาอุปกรณ์ส่วนตัวพอ ที่เหลือเราเตรียมให้” เอเล่า
วิธีการนี้จะช่วยปลดภาระช่างทำผมฝีมือดี ให้เขาได้มุ่งมั่นกับการทำงานฝีมืออย่างเต็มที่
เนื่องจากแทบไม่มีใครทำรูปแบบนี้ในไทยมาก่อน รวมถึงต้องทำงานร่วมกับช่างอิสระหลากหลาย เราสงสัยว่าการทดลองสิ่งใหม่เช่นนี้ไม่ยากลำบากหรือ
“เราไม่ค่อยหนีปัญหานะ เราคิดวิธีแก้ไขปัญหากันด้วยความสนุก หาวิธีการใหม่ๆ เสมอ ยิ่งถ้าเรามีโครงสร้างที่ดี ปัญหาก็แก้ได้” เอตอบอย่างหนักแน่น
ใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา ‘เอาแบบเดิมพี่‘
“ไม่ค่อยมีใครอยากเปลี่ยนช่างหรือทรงผมบ่อยหรอก แต่บางทีมาร้านไม่เจอช่างบ้าง ต้องเปลี่ยนคน หรือไม่ก็ช่างคนหนึ่งตัดผมวันละหลายสิบคน จำไม่ได้หรอกว่า ‘เอาแบบเดิมพี่’ ของคุณเป็นแบบไหน ช่างเขาเก่งนะ แค่ไม่มีข้อมูลว่าสไตล์ของแต่ละคนเป็นอย่างไร” เอเล่าถึงหนึ่งปัญหาที่วงการนี้เจอเป็นประจำ ใครๆ ก็อยากได้ทรงที่ถูกใจเหมือนคราวก่อน
หาวิธีการอยู่แสนนาน ทั้งจดทั้งวาด แต่ไม่ได้ผลนัก จนกระทั่งเอได้คุยกับลูกค้าที่ทำงานด้านเทคโนโลยี ทำให้ค้นพบวิธีการที่เข้ากับยุคสมัย นั่นคือ การผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับพลังของข้อมูล
“เรากำลังพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาเพื่อใช้เก็บข้อมูลด้วย ต่อไปเราจะเก็บรายละเอียดว่า ลูกค้าคนนี้ชอบทรงแบบไหน แพ้อะไรไหม ลงสีได้หรือเปล่า ถ่ายรูปทรงไว้ พอมาทำผมครั้งต่อไป แม้ช่างเปลี่ยน แต่ทรงไม่เปลี่ยน”
การเก็บข้อมูลทำให้ลูกค้ามีโอกาสได้ผมทรงเดิมแม้เปลี่ยนช่างหรือสถานที่ ตัดปัญหาทำครั้งนี้ไม่เห็นเหมือนครั้งที่แล้วเลย
หากพัฒนาได้สำเร็จ เอวาดฝันว่าจะเกิดชุมชนออนไลน์ที่แบ่งปันข้อมูลกัน ความเจริญของวงการเสริมสวยจะเข้าถึงทุกพื้นที่ ลูกค้าได้ทรงผมที่ถูกใจในบริเวณใกล้บ้าน ไม่ต้องออกไปไหนไกล ส่วนฟากคนบริการก็บริการได้ดีเหมือนคนรู้ใจ
ทองหล่อ เดลิเวอรี่
เราคิดว่าเอทำอะไรหลายอย่างแล้ว แต่เขายังมีโปรเจกต์พิเศษที่กำลังดำเนินการอยู่อีก
หนึ่งในนั้นคือการทำซาลอนเดลิเวอรี่ถึงบ้าน
“เราเคยเจอผู้ป่วยติดเตียงที่อยากทำผม แต่เขาไปไหนมาไหนไม่สะดวกและกังวลว่าเราจะไม่รับทำ พอเรารู้เรื่องนี้ เรารีบไปทำให้ถึงบ้านเลย ปรากฏว่าเหมือนมีดอกไม้บานรอบๆ เขาเลย หัวใจเราก็ฟูไปด้วย พอขับรถออกมาเราเลยคิดว่าจริงๆ ก็ทำเป็นเดลิเวอรี่ได้เหมือนกันนะ” เอเล่าย้อนไปถึงจุดกำเนิดไอเดีย
ด้วยเหตุนี้ Thonglor Delivery จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นแพลตฟอร์มรวมช่างทำผมและเสริมสวย มีคนจำนวนมากที่ไม่สะดวกมาร้านทำผม อาจเพราะไกลหรือเคลื่อนไหวไม่สะดวก แพลตฟอร์มนี้จะช่วยขจัดปัญหานี้ไป ในอนาคตทุกอย่างจะเชื่อมต่อกันกับคลังข้อมูลสไตล์การทำผมที่เอเก็บไว้ในระบบ กลายเป็นบริการครบวงจร
ต่อไปนี้ เราจะจับคู่กับช่างที่ตรงความต้องการของเรา สวยหล่อได้โดยไม่ต้องก้าวออกจากบ้านแม้แต่น้อย
หมดเวลาหวงวิชา
“สมัยก่อนคนจะหวงวิชา เพราะกลัวว่าคนจะเอาไปปรับใช้เปิดเป็นคู่แข่ง พอจะเรียนทีก็ต้องลาไปต่างจังหวัดตามที่อาจารย์อยู่ เดินทางไกล เสียเงินและเวลา เอามาใช้ได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน” เอแบ่งปันประสบการณ์สมัยเขาเรียนรู้การทำผมใหม่ๆ เมื่อเราถามว่าปัจจุบันกับเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเอมั่นคงมากพอ จึงกลับมาปัดฝุ่นและนำพื้นฐานโรงเรียนดั้งเดิมของแม่มาสานต่อ
แม่ทำออฟไลน์ คราวนี้ลูกขอทดลองทำในรูปแบบคอร์สออนไลน์
“การทำงานยุคนี้ทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว คุณต้องถ่ายทอดความรู้และไม่กลัวว่าใครจะเป็นคู่แข่ง ความรู้ไม่ควรอยู่ที่คุณคนเดียว ต้องแยกร่างจากหนึ่งเป็นสิบให้ได้ ถ้าคุณทำให้คนที่อยู่กับคุณรู้สึกว่าเขาอยู่บนเรือลำนี้แล้วสบายใจ เขาจะไว้ใจเราเอง” เอเล่าแนวคิด
ต่อไปนี้หากคุณอยากเรียนทำผม ต่อขนตา ทำเล็บ ต่างๆ นานาเกี่ยวกับความสวยงาม คุณมาเรียนกับช่างฝีมือระดับอาจารย์ได้แสนสบายจากหน้าจอโทรศัพท์คุณ ซึ่งแน่นอนว่าต้องหัดไปทดลองทำเองต่อ
สิ่งที่เอเน้นแบ่งปันคือเทคนิคและวิธีการใหม่ๆ เป็นตัวอย่าง
แม้ยังไม่รู้ว่าจะได้รับผลตอบแทนใดกลับมา แต่เอคิดว่าสิ่งนี้ช่วยพัฒนาวงการให้เป็นพื้นที่น่าอยู่และใครก็สามารถเรียนรู้วิชาใหม่ได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว
ตัดทุกข์ต่อสุข
“เราไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาจับกรรไกรกับหวีเลี้ยงครอบครัวเลย” เอนึกย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่เขาเริ่มต้นอาชีพนี้ น่าแปลกใจไม่น้อยเมื่อเราเห็นเขาในวันนี้ที่ทุ่มเทกับงานอย่างหมดหัวใจ
อะไรทำให้เอไม่เบื่อเลยกับการทำงานและยังคงคิดค้นอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เราสงสัย
เอตอบว่า เพราะการตัดผมเป็นไม่ใช่จบที่ความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นความสดใสของชีวิตใครสักคน
“การทำผมและเสริมสวยเป็นบริการด้านความรู้สึก เคยไหม หงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี พอตัดผมแล้วสดใสเหมือนได้ปลดปล่อย บางคนอกหักรักคุด มาตัดผมแล้วได้พลังดีๆ กลับไป นอกจากเอาไว้ตัดผม เราอยากให้กรรไกรของเราต่อเติมความสุขและมิติชีวิตที่หลากหลายให้ผู้คน”
นอกจาการให้บริการอย่างมีคุณภาพแล้ว เอยังเปลี่ยนชั่วครู่การตัดผมให้เป็นช่วงเวลาแห่งการสนทนา
“มาตัดผมกับพี่เอแล้วได้มากกว่าการตัดผม” หลายคนกล่าวเช่นนี้ พวกเขาได้พูดคุย แลกเปลี่ยนวิธีคิดการใช้ชีวิตกัน นอกจากนี้ เอยังได้พบผู้คนหลากหลาย ทั้งนักแสดง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบินไกลไปต่างประเทศเพื่อทำงาน
“ไม่เคยคิดว่าอาชีพนี้จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ กรรไกรกับหวีสร้างอนาคตให้เราและยังเป็นประโยชน์กับคนรอบตัว” เอกล่าว การทำผมกลายเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเขาโดยสมบูรณ์
บทเรียนจากแม่
“อะไรที่ดีให้รีบทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ อยากบอกรักใคร จงไปบอก อยากทำดีกับใคร จงไปทำ เพราะสิ่งที่เราอยากทำอาจไม่ได้อยู่ให้เราทำถึงวันพรุ่งนี้” เอสรุปบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากแม่และอยากส่งต่อให้คนอื่นได้ครุ่นคิดต่อ
ก่อนหน้านี้ เอกับแม่เคยแทบไม่ได้คุยกันเลยเป็นระยะเวลาหนึ่ง ด้วยความคิดในการทำงานที่แตกต่างกันในการทำงาน การทำงานด้วยกันระหว่างรุ่นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนด้วยสายสัมพันธ์ครอบครัวที่มีกันอยู่ แล้ววันหนึ่งแม่เอเดินเข้ามากอด ทำให้เขาตระหนักได้ว่าอย่าถือตนให้มากด้วยความทุกข์อีกเลย
“เรารู้สึกว่าอย่าไปมีเลยอีโก้ มีแล้วเหมือนมีอีโง่ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดอย่างมีความสุข วางอะไรที่ไม่จำเป็นทิ้งไปบ้าง” เอกล่าว นี่อาจเป็นเหตุผลที่เอตั้งใจทำอะไรมากมายเพื่อคนอื่นผ่านงานที่ทำ แม้มีความเสี่ยงและไม่รู้ผลตอบแทนที่จะได้
“ช่วงที่ผ่านมาเราต้องหาโอกาสตลอด พอมาถึงจุดหนึ่งที่เราก็อยากให้โอกาสคนอื่นบ้าง”
เราเห็นแม่ของเอเดินเข้าร้านมาไกลๆ เมื่อใกล้จบการสัมภาษณ์ เรานึกสงสัยว่าทุกวันนี้แม่รู้สึกอย่างไรบ้างกับการก้าวเดินของเอ
“เราสัมผัสได้ว่าเขาไว้ใจและอุ่นใจ ซึ่งแม่เป็นคนไว้ใจคนยากนะ เราน่าจะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ว่าเราดูแลครอบครัวและทีมงานได้ดี และยังต่อยอดอะไรไปได้อีกเยอะ” เอตอบด้วยรอยยิ้ม
ร้านเสริมสวยกรเกล้า (พ.ศ 2526)
ร้านเสริมสวยกรเกล้าก่อตั้งโดยคุณสายชล สวัสดิ์วิชัยโสภิต หลังจากเป็นครูสอนทำผมอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อจังหวะเหมาะสมจึงเปิดเป็นโรงเรียนและซาลอนของตนเอง กรเกล้าเป็นอาคาร 5 ห้องย่านเพลินจิตที่ใครต่างพากันมาขวนขวายวิชาการทำผมและเสริมสวย ชั้นล่างของอาคารเป็นซาลอนต้อนรับและให้บริการผู้คน ส่วนชั้นบนเป็นโรงเรียนอัดแน่นด้วยนักเรียนหลายสิบชีวิต จุดเด่นของกรเกล้าคือฝีมือคุณแม่ ที่ถนัดเรื่องตัดซอย ตัดผมให้พริ้วหวาน และเกล้าผม จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘กรเกล้า’ เมื่อปรับเปลี่ยนมาเป็น Cealeb ในรุ่นเอ เอเลือกให้กรเกล้าคงอยู่ในชื่อร้านเพื่อเป็นการแสดงถึงความกตัญญู ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่เอยึดถือมาโดยตลอดและไม่อยากให้คนในยุคสมัยใหม่ลืมคุณค่าด้านนี้ด้วยเช่นกัน แม้เวลาผ่านไปนานถึง 36 ปีแล้ว แต่ความใส่ใจและความประณีตในรายละเอียดแบบกรเกล้ายังคงอยู่กับ Cealeb เสมอจนถึงทุกวันนี้
