การใช้ชีวิตในเมืองของเราในทุกวันนี้ จะหาอะไรที่เป็นธรรมชาติจริงๆ นั่นยากเหลือเกิน

แค่การฝ่ารถติดเพื่อเดินทางไปในที่ต่างๆ หรือการทำงานในแต่ละวันก็แทบจะไม่ได้เจออะไรที่ทำให้เราได้บูสต์พลังและกลับมามีแรงใช้ชีวิตต่อเลย จะมีก็แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่พอให้เราพอจะหลีกหนีความวุ่นวายไปใช้เวลาเต็มที่ที่ต่างจังหวัด

แต่ว่ากันตามตรง แค่ช่วงหายใจออก 2 ครั้ง เวลาก็เดินกลับมาที่วันจันทร์อีกแล้ว

ไม่นานมานี้ เราแวะไปเดินเล่นแถวสยามดิสคัฟเวอรี่ซึ่งกำลังจัดงาน Fineline Closer to Nature Exhibition ของผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม Fineline Natural Collection งานนิทรรศการที่ใช้เทคนิคสื่อผสมสี่มิติชวนคนมาสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำออกมาน่าประทับใจและน่าถ่ายรูปทุกมุม ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีการทำ Invitation Box แฮนด์เมดจากผ้าทั้งหมดพร้อมกลิ่นหอมที่เป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ ส่งให้กับเซเลบริตี้เพื่อเชิญชวนมาชมนิทรรศการแทนการ์ดเชิญกระดาษธรรมดาๆ ที่ทำให้เห็นถึงความตั้งใจและใส่ใจในทุกรายละเอียด จนทำให้เราสงสัยว่าจากแค่ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ต่อยอดออกมาเป็นงานที่น่าสนใจขนาดนี้ได้ยังไง และอะไรคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังงานนี้

เราจึงมาพูดคุยกับ หม่าม-วิโรจน์ จารุสาร Creative Director โอ๊ค-อังกูร สังข์ทอง Creative Group Head วิน-อิทธิกร วงศ์ศรีศุภกุล, เหมียว-จุฑารัตน์ คงทน Art Director โจ๊ก-ศุภฤกษ์ กุลินทรประเสริฐ Senior Project Manager และ มาย-กรรณิกา มงคลรัตนชาติ Project Manager ทีมที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญนี้เพื่อสอบถามแนวคิด ความตั้งใจและการทำงานระหว่างทางเช่นเคย

แคมเปญนี้มีที่มายังไง

จากโจทย์ของ Fineline ที่มีความต้องการวางภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์ออกมาดูร่วมสมัย และสื่อถึงธรรมชาติ จึงเลือกสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวและดูแลเอาใจใส่เสื้อผ้าของพวกเธอ และด้วยทีมนี้เองเป็นทีมที่วาง Key Message แก่แบรนด์ว่า ‘Fineline ดูแลทุกแฟชั่น’ จึงทำให้การดำเนินงานในแคมเปญต่อยอดนี้เต็มไปด้วยความเชื่อใจกันพอสมควร

“พอแบรนด์ชัดเจนในตัวตนว่าต้องการดูแลแฟชั่น เมื่อออกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก็ต้องตอบให้ได้ว่าสิ่งนี้ยังตอบความเป็นแบรนด์ที่ต้องการดูแลแฟชั่นไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ธีมอะไร และเมื่อภาพจำนี้แข็งแรงก็จะทำให้คนรู้สึกถึงแบรนด์ได้” โอ๊ค Creative Group Head เล่า

และในวันนี้ Fineline ได้ออกไลน์ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มใหม่ ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติอย่าง แสงแดด สายลม และสายน้ำ ซึ่งแตกต่างจากตลาดผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มที่แข่งกันเรื่องของหัวน้ำหอม ในฐานะของทีมครีเอทีฟ ไม่เพียงทำงานโปรโมตแคมเปญนี้ให้ออกมาดีที่สุด ทีมยังอยากให้ไอเดียออกมาต่างจากที่คนจดจำได้ ซึ่ง หม่าม หัวเรือใหญ่ของแคมเปญเล่าให้เราฟังว่าทั้งทางทีมเอเจนซี่และลูกค้าเองก็เห็นภาพตรงกันว่าอยากให้งานออกมาเป็นแบบไหน

“เราเริ่มจากโจทย์ว่า จะทำยังไงให้ภาพของธรรมชาติออกมาสวยงามในแบบที่คนไม่เคยเห็นในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม จึงลงตัวที่การจับศิลปะมาผสานกับไอเดียของเรื่องธรรมชาติ ในสื่อทุกๆ ช่องทาง เริ่มด้วยหนังสั้นออนไลน์ จากไอเดีย Closer To Nature ที่เป็นคอนเซปต์คลุมงานนี้ทั้งหมด ให้ผู้ชมได้ใกล้ชิดธรรมชาติด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มกลิ่นหอมที่มีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยเรื่องราวเล่าถึงการท่องโลกของผ้า เจอกับผ้าที่เป็นเหมือนสายน้ำ สายลม หรือทุ่งดอกไม้สวยๆ ยามเช้า เปรียบเหมือนชุดที่คุณใส่แล้วใช้ Fineline”

Closer To Nature

ครั้งแรกที่คุณจะได้ท่องเข้าไปในผ้าแบบซูมอินสุดๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วคุณจะพบว่ามันมีโลกอีกใบซ่อนอยู่… #CloserToNature #FinelineNaturalCollection#ไฟน์ไลน์ดูแลทุกแฟชั่น

Posted by Fineline Thailand on Ahad, 19 Ogos 2018

“หลังจากเผยแพร่ออนไลน์ฟิล์ม เราคิดอยากให้คนสัมผัสธรรมชาติในมิติใหม่ๆ มีประสบการณ์ร่วมจริงๆ ไม่ใช่แค่ดูหนัง บิลบอร์ด หรือภาพนิ่ง แล้วก็จบไป แต่รู้สึกได้ถึงรูป กลิ่น เสียง สัมผัส ครบทั้งสี่มิติ ล้อไปกับหนัง เกิดเป็นนิทรรศการ Fineline Closer To Nature ขึ้นมา ที่เราสร้าง Pavilion ใจกลางเมืองขึ้นมา ให้แสงแดด สายลม และสายน้ำ มาอยู่ในห้องที่นำเสนอในรูปแบบต่างๆ”

โดยในงานได้นำเอาทั้งสามกลิ่นของ Fineline Natural Collection มาตีความเป็นงานรูปแบบใหม่ เช่น โซนแสงแดด Sunny Pleasure แสงอบอุ่นยามเช้าที่ผ่านเมฆลงมา แสงในห้องแรกนี้จึงมีหลายรูปแบบ เป็นเทคนิคการใช้แสงร่วมกับผ้า ต่อมาเป็นโซนสายลม หรือ Windy Bliss สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของลมที่ปะทะเราราวกับอยู่ในทุ่งกว้าง ด้วยการใช้ผ้ามาสอดแทรกเป็นหญ้าให้ได้สัมผัสและได้กลิ่นหอม ก่อนจะมาถึงโซนสุดท้ายได้แก่ โซนสายน้ำ หรือ Water Harmony ที่ใช้เทคนิค Mapping ลงไปบนผืนผ้า แสดงเห็นถึงการเคลื่อนไหวของสายน้ำ และสร้างความรู้สึกเหมือนอยู่ในธารน้ำตกที่มีกลีบดอกไม้สดชื่น ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามห้องนี้ให้กลิ่นที่แตกต่างกัน

Fineline Closer To Nature Exhibition at Siam Discovery

Fineline เชิญคุณมาสัมผัสประสบการณ์กับนิทรรศการผ้าแบบ 4 มิติ Art Meets Nature "Nature Fineline Closer to Nature Exhibition" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ต้องไม่พลาดจริง! ที่ Siam Discovery ชั้น G โซน Plaza Public วันที่ 24-26 สิงหาคมนี้เท่านั้น แล้วอย่าลืม Check-in ที่ Fineline Closer To Nature Exhibition at Siam Discovery กันนะคะที่สำคัญ งานนี้เข้าฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ#Fineline #CloserToNature #FinelineNaturalCollection

Posted by Fineline Thailand on Jumaat, 24 Ogos 2018

มากกว่าหนังออนไลน์ แต่ต่อยอดจนออกมาเป็นงาน Exhibition

เมื่อถามว่าทำไมถึงเลือกจัดงานในลักษณะ นิทรรศการขนาดใหญ่แบบนี้ ตอบโจทย์และคุ้มค่ากว่าการทำแคมเปญในโซเชียลมีเดียแค่ไหน หม่ามอธิบายให้ฟังว่า เป็นความตั้งใจที่อยากสร้างความต่อเนื่องแก่แบรนด์และแคมเปญ

“มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว ไม่ได้หมายความว่าทำหนังแล้วก็ต้องจบ ทุกอย่างมันต้องต่อเนื่อง ที่จริงแคมเปญนี้แทบจะรวมทุกศาสตร์ของมีเดียเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำหนัง การทำภาพนิ่ง บิลบอร์ด การใช้สื่อ Outdoor การใช้ดีไซน์ การทำอีเวนต์ Exhibition รวมถึงการโปรโมตต่างๆ บนออนไลน์หลากหลายรูปแบบด้วย คือเรียกว่าใช้แทบจะทุกสื่อทุกศาสตร์ให้มันเกิดมาเป็นงานนี้ได้

“ผมว่าสำคัญคือการมองเห็นภาพที่ตรงกัน เมื่อตัวตนชัดเจนก็ทำให้สารที่ต้องการสื่อแข็งแรง เมื่อรวมกับความกล้า โชคดีที่ลูกค้าชอบงานศิลปะประเภทนี้อยู่แล้ว พอรู้ทางกัน จากเดินก็กลายเป็นวิ่งเลย”

เมื่อผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ

เราถามทีมว่า นอกจากยอดขายที่เป็นตัวเลขแล้ว ในยุคนี้ยังมีอะไรอีกที่เป็นสิ่งวัดผลว่าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ

“โฆษณายุคนี้ ถ้าทำแล้วจบเลยมันก็ค่อนข้างจะแห้งไปหน่อย เพราะคนจะคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ แต่พอมันเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา มันสามารถต่อยอดออกไปสู่สิ่งต่างๆ ได้มากมาย มันก็ทำให้คนตื่นเต้นว่านี่มันคือแคมเปญอะไรนะ Fineline เขากำลังทำอะไรอยู่ ผลิตภัณฑ์นี้มันเป็นยังไง น่าลองใช้มั้ย แล้วสุดท้ายมันก็ประสบความสำเร็จตรงที่ลูกค้าบอกเราว่าผลิตภัณฑ์ขายดีมาก เราก็แฮปปี้ เพราะแปลว่าสิ่งที่เราทำมันสำเร็จ” หม่ามตอบ

Invitation Box ที่มีความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด

หลังจากได้ไอเดียทั้งหมดมาเรียบร้อย โดยปกติการเปิดตัวสินค้าจะต้องมีวันแถลงข่าว จัดงานอีเวนต์ขึ้นมา ทีมเลยความคิดว่าแล้วทำไมถึงไม่ทำให้งานนี้พิเศษตั้งแต่การ์ดเชิญเลยล่ะ

“เราก็เลยคิดว่าจะสร้าง Invitation Box ภายให้คอนเซ็ปต์ Fineline Closer To Nature ขึ้นมา จับธรรมชาติมาไว้ในขวดโหล สร้างเป็นการ์ดเชิญแบบพิเศษซึ่งทำจากผ้าทั้งหมด เพื่อบอกว่าในนิทรรศการนี้เล่าเรื่องผ้า ทั้งยังใช้สื่อผสมต่างๆ โดย Invitation Box เป็นการจับมือกับศิลปินรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญเรื่องผ้า ซึ่งถนัดการใช้เทคนิคพิเศษต่างๆ ออกมาเป็นชิ้นงานในขวดโหลที่ให้กลิ่นหอม” หม่ามอธิบาย

เราถามวิน Art Director ที่เป็นคนดูแลเรื่อง Invitation Box ว่ามีวิธีการคัดเลือกศิลปินที่มาทำงานนี้ยังไง จึงมาลงตัวที่ จู-ณัฐพร อมรสุพันธ์

“ตั้งแต่สเกตช์ ดีไซน์ จนถึงออกมาเป็นงานชิ้นแรก ทุกๆ ฝ่ายก็ช่วยพัฒนากันอยู่ 2 – 3 เดือนกว่าจนได้ตัวต้นแบบ ก่อนจะคัดเลือก Textile Designer ซึ่งมาลงตัวที่น้องจู ซึ่งเคยทำงานกับแบรนด์แฟชั่นใหญ่ๆ จึงมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการใช้เทคนิคพิเศษ เพราะแม้จะต้องย่อขนาดงานจากโจทย์ที่เราอยากแสดงให้เห็นรายละเอียดของคอนเซปต์ Fineline Closer To Nature”

สิ่งที่แบรนด์ตั้งใจบอกกับผู้บริโภค

เหมียว Art Director บอกกับเราว่า สิ่งที่ทีมต้องการนำเสนอไม่ได้หวังจะบอกข้อมูลทาง Function อะไรมากมาย แต่ประสบการณ์ของตัวสินค้าและแบรนด์ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทีมอยากให้ผู้บริโภคได้เข้ามาสัมผัสและมีความรู้สึกร่วมไปกับมัน “สิ่งแรกที่เราให้ก็คือ Experience ที่คนมีกับแบรนด์ หลังจากที่เราสร้างบรรยากาศให้เขาดื่มด่ำกับแสงสีเสียงตรงหน้า เขาจะสัมผัสและเข้าใจได้ว่าแบรนด์ต้องการจะบอกอะไร ก่อนตบท้ายด้วยข้อมูลของแบรนด์”

Fineline Natural Collection

อีกหนึ่งงานในฝันของครีเอทีฟ

หม่ามเล่าว่า ที่จริงงานนี้ก็เป็นอีกงานที่เป็นเหมือนความฝันของเขาในฐานะครีเอทีฟที่อยากทำงานออกมาให้สุดทาง ด้วยทาง Fineline ให้ความไว้วางใจและเชื่อว่าถ้าทำได้ถึง ทุกอย่างจะออกมาตรงตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะเข้าใจเรื่องนี้และยอมให้งบมาทำ

“มันเป็นความฝันว่าเราอยากทำงานแบบนี้ ทำแกลเลอรี่ ทำงานนิทรรศการ เราเป็นครีเอทีฟก็อยากเห็นของสวยๆ งามๆ เหมือนว่าลูกค้าซื้อฝันเรา แล้วก็สร้างมันไปด้วยกัน ก็ขอบคุณมาก คนที่มางานก็มีความสุขด้วย ส่วนตัวของทีมเราก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานนี้”

ในท้ายที่สุด Fineline ได้อะไรจากการทำแคมเปญนี้

วิน Art Director ของทีมตอบคำถามนี้กับเราว่า การที่ทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้นก็น่าจะเป็นสิ่งที่แคมเปญนี้บรรลุเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว

“สุดท้ายก็เชื่อว่าสิ่งที่ต้องการสื่อสารจะไปถึงผู้บริโภค คนที่มาร่วมงานหรือรู้ข่าวสารตรงนี้ก็จะรู้สึกบวกกับแบรนด์ Fineline และทำให้แบรนด์ขายดีมากขึ้น รวมไปถึงทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้นด้วยเช่นกัน” วินสรุปทิ้งท้าย

Writer

Avatar

ณิชากร เอื้อสุนทรวัฒนา

อดีตนักเรียนโฆษณาที่มาเอาดีทางด้านอาหาร แต่หลงใหลการสัมภาษณ์และงานเขียน

Photographer

Avatar

ณัฎฐาจิตรา ชินารมย์รัตน์

ช่างภาพที่ชอบการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลงและหลงรักในความทรงจำ