ทุกปีเราจะพยายามหาทริปยาวๆ สักครั้ง ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่เคยไป และปีนี้หวยก็ออกที่นิวยอร์ก โดยคำเชิญชวนของรุ่นน้องที่ชอบไปคาเฟ่ด้วยกันบ่อยๆ

ในใจคิดว่ารอดแน่ๆ เพราะมีคนไปด้วย และน้องเขาคงวางทริปไว้แล้วแหงๆ การวางแผนทริปของเราจึงคร่าวมากจนเกือบถึงศูนย์ มีแค่การเดินทางกับที่พักเท่านั้น กะว่าจะไปเดินๆ กินๆ นอนๆ และแค่เล็งๆ ไว้ว่าอยากไปไหนบ้างแบบยังไม่ได้หาข้อมูล

สำหรับที่พัก เราเลือกที่พักแถวๆ Williamsburg (วิลเลียมสเบิร์ก) ย่าน Brooklyn (บรู๊กลิน) ด้วยเหตุผลอะไรน่ะเหรอ อ่อออ…ก็ตามไปพักใกล้ๆ น้องเขานั่นแหละ มารู้ทีหลังว่าย่านนี้มันเก๋นี่หน่า เป็นย่านที่มีร้านอาหาร คาเฟ่ มากมาย ตกแต่งสไตล์แตกต่างกันไปและมันก็จะฮิปๆ หน่อย วันนี้จึงอยากจะขอแนะนำคาเฟ่น่ารักๆ ในย่านบรู๊กลินให้ได้ทำความรู้จักกัน

ต้องขอออกตัวก่อนว่าจริงๆ แล้วเราไม่ใช่คอกาแฟสักเท่าไหร่ แต่การที่เราชอบไปร้านกาแฟ เพราะเราชอบบรรยากาศภายในร้านกาแฟ ชอบดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ภายในร้าน ตั้งแต่การตกแต่งร้าน การจัดวางเครื่องทำกาแฟ วัสดุ โทนสีของร้าน การเลือกใช้ข้าวของภายในร้าน การนำเสนอเมนูของร้านแต่ละร้าน ยาวไปถึงผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในร้าน มันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แค่ไปเห็นว่าแก้วกาแฟมีลายสวยๆ ได้หยิบได้จับก็ปลื้มปริ่มแล้ว

ความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้จึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จนต้องคอยหาคาเฟ่ใหม่ๆ ให้ไปตลอดเวลาไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหนก็ตาม ด้วยคติที่ว่า เอาน่า ไหนๆ เราก็ต้องหาอะไรกินอยู่แล้ว ก็แวะไปดูหน่อยแล้วกัน

 

Butler

Butler Butler

อาหารเช้า

กาแฟ

ร้านแรกที่แวะและอยากแนะนำคือ ร้าน Butler ร้านนี้อยู่ใกล้ที่พักเรามากทำให้แวะเวียนมากินบ่อยที่สุด ทั้งยังเป็นจุดนัดพบเพื่อเริ่มตาราง  hopping ของทุกวัน ร้านนี้นอกจากกาแฟแล้ว สิ่งที่ขึ้นชื่อเลยก็เห็นจะเป็นขนมอบต่างๆ ที่ต้องแอบกระซิบว่าดีมาก เพราะพ่อครัว คุณ Ryan Butler (ไรอัน บัตเลอร์) มีรางวัล Michelin Star Pastry Chef การันตีความอร่อยของเมนูขนมอบในร้าน

เมนูที่อยากแนะนำคือ Sausage Roll ที่เสิร์ฟร้อนๆ ทานคู่กับกาแฟตอนเช้า ซึ่งดีงามมากจริงๆ นอกจากขนมอบที่จะเสิร์ฟมาแบบร้อนๆ ทุกครั้งที่สั่งแล้ว เมนูอาหารเช้าสไตล์คาเฟ่ก็ดีงามไม่แพ้กัน บรรยากาศภายในร้านน่ารัก มีกลิ่นอบขนมอ่อนๆ ลอยออกมาจากในครัวอยู่เนืองๆ  ให้ความรู้สึกอบอุ่น โต๊ะสีทองเหลืองที่ใช้ในร้านตัดกับโซฟาหนังสีน้ำตาลรูปทรงวินเทจ มองแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

หากมีโอกาสผ่านไปแนะนำให้สั่งเครื่องดื่มร้อนใส่แก้วแบบ take away เพราะแก้วสีพาสเทลน่ารักมาก และหากเลือกที่นั่งนอกร้านจะได้ความเพลิดเพลินจากการมองชาวเมืองนิวยอร์กจูงสุนัขมาเดินเล่น เป็นความน่ารักของเมืองนี้ที่ทำให้อมยิ้มได้ทุกวัน

เวลาเปิด-ปิด : จันทร์-ศุกร์  07.00 – 17.00 น. ,   เสาร์-อาทิตย์ 08.00 – 17.00 น.

 

Le Labo

Le Labo

สุนัข

Le Labo

ถ้วยกาแฟ

Le Labo

ร้านที่สองอยู่ถัดมาอีกหน่อย ชื่อ Le Labo ร้านนี้ที่จริงเป็นร้านขายน้ำหอม ที่นอกจากจะขายน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังมีผลิตภัณท์บำรุงผิวอื่นๆ อีกด้วย ภายในตัวร้านมีความดิบๆ industrial หน่อยๆ ผนังอิฐ ปูนเปลือย กับพื้นไม้ กั้นห้องด้วยเหล็กและกระจกคล้ายห้องแล็บ เสมือนว่าน้ำหอมทั้งหลายนั้นถูกสรรค์สร้างขึ้นจากห้องแล็บนี้ เพราะน้ำหอมแต่ละขวดของที่นี่จะถูกผสมขึ้นใหม่ทุกครั้งเมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ ตามที่มาของชื่อร้านว่า Labo ซึ่งคือภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ห้องแล็บ

ที่จริงร้านนี้มีหลายสาขาทั่ว New York แต่ที่เราเลือกมาสาขานี้เพราะสาขาวิลเลียมสเบิร์กเป็นสาขาที่มีคาเฟ่ด้วย ซึ่งร่วมกับ La Colombe โรงคั่วกาแฟและคาเฟ่เจ้าดัง ในการเบลนด์กาแฟเฉพาะของทางร้าน เมนูเครื่องดื่มที่นี่มีแค่กาแฟ แต่ก็มีขนมกรุบกริบให้ได้ทานกันเบาๆ ภายในโซนคาเฟ่ไม่มีที่นั่ง จะมีก็แต่เคาน์เตอร์บาร์ให้ยืนจิบกาแฟนิดหน่อย และแสงในร้านดีมาก เหมาะแก่การถ่ายรูป

นอกจากในร้านจะหอมกาแฟแล้ว เครื่องหอมก็หอมยั่วยวนให้เงินในกระเป๋าสั่นคลอนเช่นเดียวกัน ร้านสวยและยั่วยวนให้เสียเงินได้ทุกมุม ควรค่าแก่การไปฝึกความอดทน เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่หวั่นไหว

ร้านกาแฟเปิด : จันทร์-ศุกร์ 07.00 – 19.00 น., เสาร์-อาทิตย์ 08.00 – 18.00 น.
ร้านน้ำหอมเปิด : 11.00 – 19.00 น.

 

Devoción

Devoción

Devoción

กาแฟ

Sparkling Cascara

ร้านที่สาม Devoción ซึ่งยังคงอยู่ในละแวกเดียวกันกับสองร้านด้านบน เดินมาได้ ไม่ไกลมาก จุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่ด้านหน้าร้านซึ่งเป็นโรงคั่วขนาดย่อม ให้เราเห็นกรรมวิธีการคั่วอย่างใกล้ชิด ซึ่งทางร้านการันตีความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟที่ส่งตรงจากต้นกาแฟมาถึงแก้วกาแฟของลูกค้าภายใน 10 วัน สดขนาดนี้ ไม่มีพลาดอยู่แล้ว

นอกจากเมนูกาแฟปกติแล้ว เเครื่องดื่มที่เราขอแนะนำคือ Sparkling Cascara (Sun dried coffee cherries) ฟองนุ่มๆ จาก tap มีความซ่าเบาๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น ส่วนเมนูอื่นๆ นอกเหนือจากเมนูนี้เราแนะนำน้ำส้มคั้นที่คั้นสดแก้วต่อแก้ว ซึ่งช่วยเติมความสดชื่นยามเช้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีขนมอบหอมๆ หลายชนิด ที่ชอบมากที่สุดคือ ครัวซองต์แยม ซึ่งกรุ่นกลิ่นหอมของเนยสดและมีผิวสัมผัสที่กรอบอร่อยด้านบน เมื่อกัดไปโดนไส้จะพบกับความหอมหวานอมเปรี้ยวของแยมเบอร์รี่กับความนุ่มของครัวซองต์ด้านใน ถ้าเห็นแนะนำให้สั่งเลย เพราะพอคิดว่าจะวนไปซื้อใหม่อีกชิ้นก็หมดแล้วจ้า

บรรยากาศภายในร้านนี้เหมือนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของคนทุกเพศทุกวัย เราจะเห็นคนมานั่งอ่านหนังสือ ทำงาน รวมถึงเป็นแหล่งนัดพบของแม่ๆ และนักท่องเที่ยวอย่างเรา คนแน่นมากตลอดทั้งวัน ไป 3 รอบ ไม่เคยได้ที่นั่งสักรอบ

ร้านเปิด : จันทร์-ศุกร์ 07.00 – 19.00 น., เสาร์-อาทิตย์ 08.00 – 19.00 น.

 

Five Leaves

Five Leaves

Five Leaves

Five Leaves

แพนเค้ก

ขยับขึ้นมาที่ย่าน Greenpoint (กรีนพอยต์) กันบ้าง กรีนพอยต์อยู่ตอนบนสุดของบรู๊กลิน โดยเดินมาเรื่อยๆ จากย่านวิลเลียมสเบิร์ก หรือจะลงเรือเฟอร์รี่ดูวิวสองฝั่ง East River ก็เก๋ไก๋ควรค่าแก่การมา ที่นี่เป็นย่านเก่าแก่ของชุมชนชาวโปแลนด์ที่ยังคงกลิ่นอายความวินเทจ ไม่ใช่เพียงแค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้น แต่ผู้คนในเมืองก็ดูจะพร้อมใจกันแต่งตัววินเทจนิดๆ เดินผ่านไปผ่านมา แม้แต่รถที่ขับผ่านเราไปก็เป็นรถโบราณ อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น

ในยุคที่ e-book และ Kindle เฟื่องฟู แต่เรายังเห็นผู้คนนั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟตามคาเฟ่ จึงทำให้อดยิ้มตามไม่ได้ พูดได้ว่าเราตกหลุมรักย่านนี้แบบหมดใจเลย

ย่านนี้มีคาเฟ่น่ารักหลายร้าน แต่เดี๋ยวจะขอแนะนำก่อนสักนิดหน่อยพอให้เห็นภาพความวินเทจ

ร้านที่สี่ ร้าน Five Leaves ร้านนี้คือร้านที่เรากรี๊ดมากแบบไปเหอะ มันดีจริงๆ ถ้าเวลาน้อย มาแค่ร้านนี้ร้านเดียวก็คุ้ม Five Leaves มีทั้งอาหารและกาแฟคอยบริการทั้งวัน หากไม่ต้องการทานอาหารก็จะมีมุมด้านข้างร้านที่เป็น coffee to go ให้ซื้อกาแฟแบบ take away ได้แบบไม่ต้องรอคิวนานให้วุ่นวาย แต่ถ้าหากอยากทานอาหาร ขอแนะนำให้จองโต๊ะไปก่อนจะดีมาก เพราะร้านนี้ฮอตมากจริงๆ คนแน่นทั้งวัน แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงอยากแนะนำให้ลองทานอาหารด้วย เพราะอาหารเช้าที่นี่ดีมากจนน้ำตาไหล อร่อยทุกจาน ยิ่งแพนเค้กคือดีมากจริงๆ กินไปน้ำตาซึมไป อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะหาว่าเวอร์ อันนี้ต้องลองไปกินดู มันดีอะ อ้วนแบบมีคุณภาพ

พอตกดึกร้านก็กลายร่างเป็น Oyster bar มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์บริการกันถึงตี 1 จริงๆ แล้วร้านนี้ดีเทลต่างๆ สวยงามมาก แต่เนื่องจากลูกค้าเยอะมากตลอดทั้งวัน ทำให้อาจมองไม่เห็นมุมสวยๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็เจอแต่ลูกค้าเต็มไปหมด แต่จริงๆ แล้วร้านน่ารักมาก ยิ่งมุมที่นั่งนอกร้านที่วันไหนแดดดีๆ จะเห็นลูกค้ามานั่งอาบแดด อ่านหนังสือ จิบกาแฟกัน ยิ่งทำให้ร้านมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

ร้านเปิด : จันทร์-อาทิตย์ 08.00 – 01.00 น.

 

Homecoming

Homecoming

ดอกไม้

ร้านกาแฟ

กาแฟ

กาแฟ

ร้านที่ห้า ร้าน Homecoming ไม่รู้ว่าจะจำกัดความร้านนี้ว่าเป็นร้านอะไรดี เพราะผสมผสานทั้งความเป็น lifestyle shop ร้านดอกไม้ ร้านต้นไม้ และคาเฟ่ เข้าด้วยกัน แค่ก้าวขาเข้าไปในร้านก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและกลิ่นหอมๆ จากดอกไม้ภายในร้าน เหมือนได้เติมโอโซนให้ร่างกายราวกับว่าอยู่ในสวนดอกไม้เขตร้อน

นอกจากดอกไม้สวยๆ ที่จัดไว้รอบๆ ร้านสลับกับต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ดีแล้ว ของใช้ ของแต่งบ้านเล็กๆ น้อยๆ ดีไซน์เก๋ไก๋ ชวนให้เสียเงินก็มีอยู่แทบจะทุกมุมของร้าน ส่วนมุมหน้าร้านเป็นโซนคาเฟ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและความน่ารัก บาริสต้าก็มีความเป็นกันเอง เราจึงตกหลุมรักร้านนี้ง่ายดายแบบ love at first sight

ได้นั่งจิบกาแฟพลางคุยกับบาริสต้าไปก็เพลินดีอยู่น้า

ร้านเปิด : จันทร์-ศุกร์ 08.00 – 19.00 น. ,  เสาร์-อาทิตย์ 09.00 – 19.00 น.

 

รอบนี้ขอแนะนำคาเฟ่ในบรู๊กลินไว้คร่าวๆ สัก 5 ร้านก่อน พอให้กระตุ้นความอยากไปนิวยอร์กกันสักหน่อย หากมีโอกาสรอบหน้าจะมาแนะนำคาเฟ่ฝั่ง Manhattan กันบ้าง เพราะนิวยอร์กเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคาเฟ่และร้านอาหารดีๆ เยอะมาก อยู่สัก 3 เดือนยังไปได้ไม่ซ้ำร้านเลย หากใครมีโอกาสไปก็ขอฝาก 5 ร้านด้านบนไว้พิจารณาเผื่อเป็นตัวเลือกระหว่างเดินทางด้วยน้า