การกินกาแฟเป็นวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ในมุมมองผมมันคือวัฒนธรรมกลาง พิสูจน์โดยตัวผมเองที่มีเพื่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการดื่มกาแฟ จนปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่การใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ต่างๆ มากมาย

ผมเปิดบริษัทออกแบบกับรุ่นพี่ ซึ่งออกแบบเฉพาะการกินดื่มเท่านั้น จึงทำให้ผมต้องโฟกัสที่ทิศทางเดียว จนมีโอกาสเจอร้านใหม่ๆ ไอเดียดีๆ กระทั่งวันหนึ่งมีลูกค้าจากตะวันออกกลางติดต่อให้เราออกแบบร้านช็อกโกแลตให้

เราประหลาดใจว่า ทำไมต้องติดต่อมาไกล และที่นั่นมีอะไร ทำไมเราต้องไป แล้วเขามีตัวตนไหม หลอกเรารึเปล่า ประเทศตะวันออกกลางที่ว่านั่นก็คือ คูเวต ประเทศที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดไป ไม่อยู่ในสารบบใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายเมื่อดีลสำเร็จ เลยเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง

การไปคูเวต จากประสบการณ์ผมที่ไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาก รู้แค่ว่าอยู่ติดอ่าว ติดอิรัก (ชื่อนี้ขึ้นมานี่กลัวเลย)

ถึงเวลาไป ใช่ครับ เราไปคนเดียว ฮ่าๆๆ

ตั้งแต่ไปที่สนามบิน โหลดกระเป๋า กราวนด์ก็ถามว่า “ไปคูเวตหรอ” ไปจนถึง gate ก็ยังถามอีกว่าไปคูเวตนะ ขึ้นเครื่องแอร์มาถามอีก ว่า “ไปคูเวตนะคะ!!!” “ครับ ไปคูเวตครับ” ความมั่นใจจากปกติกลายเป็น 0 ทันที ด้วยรอบบินที่จำกัดของ Kuwait Airways ผมเลยได้บินเที่ยง

พอใกล้ถึงคูเวตผมก็เกิดความกังวล และเมื่อเครื่องลงจอดเท่านั้นแหละ โอ้โหหหหหหห สนามทราย!!! เอาแล้วไง ที่นี่จะเป็นยังไง ภาพในหัวคือทุกคนแต่งตัวแบบอาหรับ เราต้องแต่งไหม จะโดนอะไรรึเปล่า เขาจะพูดภาษาอังกฤษกับเราไหม วีซ่าก็ต้องมารับที่สนามบินปลายทาง มาก็มาคนเดียว สิ่งแรกที่ทำคือปักหมุดสถานทูตไทยในคูเวตก่อนเลย กันไว้ก่อน

พอถึงเวลากลับง่ายกว่าที่คิดมาก มีคนมายืนรอ เห็นหน้าตี๋ๆ แบบเราก็ชายตามา เราก็หันไปสบตาพอดี เลยได้รู้ว่าเขาถือวีซ่าตัวจริงของเรา พอตรวจเสร็จก็ยื่นให้ไป ตม. ต่อไป

เนื่องจากทางผมได้มีโอกาสถูกติดต่อให้มาออกแบบร้านของลูกค้าที่เป็นคนคูเวต ซึ่งเป็นร้านขนมหวาน

ด้วยความที่ช่วงนี้ คนคูเวตยังคงเน้นเทรนด์ Industrial Loft Style อยู่ แต่ลูกค้าก็ไม่อยากได้ industrial จ๋ามาก และด้วยความที่ทุกคนในคูเวตถ้าจะเปิดร้านก็จะติดต่อดีไซเนอร์ที่เป็นคนคูเวต ดังนั้น เกือบทุกร้านจึงมีคนออกแบบคนเดียวกัน แต่บังเอิญช่วงที่เขาค้นหา ก็พบผลงานเราจากสื่อต่างๆ เพราะบริษัทได้รับรางวัลจากการออกแบบร้าน SHUGAA ทำให้ลูกค้าอยากได้ดีไซน์จากคนนอกคูเวตที่แปลกใหม่ เลยได้ติดต่อเรา party/space/design

วาร์ปไปจนถึงเจอลูกค้าคุยงานอะไรเรียบร้อย ตอนเย็นก็ให้ลูกค้าพาไปดูร้านกาแฟหรือร้านดังๆ ที่นี่

รสนิยมของคนคูเวตในด้านของหวานคือ หวานมากกกกกกก + ข้นมาก ทานได้ครึ่งหนึ่งก็อิ่มได้เลยทีเดียว หรือไม่ก็จุกได้สำหรับบางจาน และสาเหตุที่ทำให้ผมต้องไป Cafe Hopping ณ Kuwait คือ ด้วยความที่ชอบดื่มกาแฟอยู่แล้วและชื่นชอบเป็นอย่างมากเลยทำการศึกษาเบื้องต้น (ที่เที่ยวแทบไม่สน) เพราะไม่รู้จะไปไหน และได้คนพบร้านกาแฟดังๆ อยู่ 3 ร้านในตอนต้น คือ %Arabica, VOL 1 และToby Estate และให้ลูกค้าพาไปดูร้านดังๆ หรือรูปแบบร้านที่คนคูเวตชอบไป

สิ่งที่ต้องตกใจปนแปลกใจอีกครั้งคือ คนที่นี่ไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ เพราะผิดหลักทางศาสนา เลยทำให้ร้านกาแฟต่างๆ ชอบเปิดเพลง EDM หรือ Electronic บางร้านถึงขั้น Trance กันเลยทีเดียว ซึ่ง (ร้านกาแฟ ไม่ใช่ผับ)

เลยสอบถามกันมาเลยได้ใจความว่า เพราะวัยรุ่นหรือคนปกติที่นี่ไม่รู่จะไปแฮงเอาต์กันที่ไหน เลยต้องสร้างบรรยากาศให้รู้สึกเหมือนบาร์หรือผับครับ ที่นี่คัลเจอร์เรื่องกาแฟกำลังมาแรงมาก จนปัจจุบันมีหลายร้านทำเป็นร้าน specialty ขึ้นมา และยังมีเหล่า roaster รุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นเช่นกัน

วัฒนธรรมการดื่มกาแฟของคนคูเวตมีมาไม่นานมาก ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นเลยลองสอบถาม ได้ความว่าคนที่นี่ชอบกาแฟและช็อกโกแลตมากเพราะเป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และร้านกาแฟก็กลายเป็นที่สังสรรค์และพบปะเพื่อนฝูง แต่ด้วยอากาศที่ร้อนทำให้คนที่นี่ยังคงเน้นกาแฟเย็น (อากาศร้อนในช่วงกลางวัน ในหน้าร้อนร้อนถึง 50 องศา แค่เดินข้ามถนนก็สามารถทำให้จั๊กแฉะได้ในพริบตาเดียว หน้าหนาวถึงแดดจะร้อน แต่อากาศนี่ซัดไปเกือบ 10 องศา) และหลักๆ มี roaster และบาริสต้าที่อยากทำบาร์เป็น specialty เพื่อสร้างจุดเด่นให้กาแฟกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และเป็นความแปลกใหม่จนฮอตฮิตติดลมบนนั่นเอง

คนที่นี่ชอบดื่มกาแฟเบาๆ ในช่วงเช้าและดื่มหนักในช่วงเย็น (ลองนึกถึงร้านเหล้าบ้านเรา แต่เป็นร้านกาแฟ) อารมณ์นั้นเลย ต่อคิวซื้อกาแฟ คนแน่นร้าน เปิดเพลงตื๊ด ขอบอกว่า คูเวตเปลี่ยนมุมมองการดื่มกาแฟของผมไปโดยสิ้นเชิง

ซึ่งร้านที่ผมได้ไปมาทั้งหมดคือ

VOL.1

เป็นร้านแรกที่คนคูเวตจะพูดถึง ด้วยความที่เป็นเจ้าแรกที่เปิดเป็น specialty และคั่วเอง ความเท่ของเขาคือบาร์วงกลม ปูนเปลือย ร้านดิบมาก เดินเข้ามาจะมีเมนูดริปโชว์ก่อนเลย ร้านนี้จะเน้นดริป ไม่ว่าสาขาไหนก็จะเป็น วงกลม ซึ่งช่วงที่ผมไปต้นปี 2017 ทางร้านได้ขยายสาขาพร้อมทั้งเปิด Roast Lab เพิ่มขึ้นมา

เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 07.00 – 22.00 น (พฤหัสบดี-ศุกร์ 07.00 – 23.00 น)

%Arabica

%Arabica, Downtown

%Arabica เปิด 3 สาขาในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาแรก และเป็นร้านที่ 2 ที่ผมได้ไปหลังจาก VOL.1 ซึ่งเดินประมาณ 7 – 10 นาที ร้านนี้มีความรู้สึกเหมือนเราไป %Arabica จริง เพราะด้วยการออกแบบและรูปแบบการจัดวางเหมือนที่ญี่ปุ่นเลย จึงทำให้เกิดความคุ้นเคย และที่นี่มี Micro Roasting Machine ไว้บริการคั่วด่วนให้ด้วย ความญี่ปุ่นยังไงก็ญี่ปุ่น เหมือนยกร้านจากประเทศญี่ปุ่นมาเลย ความไม้ตัดกับพื้นคอนกรีต และเคาน์เตอร์หินเทียมสีขาว วางด้วยเครื่องชง Slayer สีขาวตามสไตล์ มีตู้กันความชื้นไว้เก็บเมล็ดการแฟที่ยังไม่คั่ว มีเครื่อง Micro Roasting สำหรับคนที่อยากซื้อกลับบ้านได้

และคนที่มา % มักจะสั่งลาเต้และคาปูชิโน่

%Arabica, Roastery

เป็นสาขาที่ผมตั้งใจไปเพราะการดีไซน์และการขยายร้าน ซึ่งดูแล้วคิดการใหญ่มาก %Arabica ต้องการเป็นโรงคั่วกลางสำหรับส่งไปยังหลายๆ สาขาในคูเวต หรือร้านค้าอื่นๆ ไปจนถึงครอบคลุม Middle East

เป็นดีไซน์ที่เรียกได้ว่าหลุดไปจาก %Arabica มากที่สุด แต่ด้วยความญี่ปุ่น ทำให้ลิงก์กลับมาได้ไม่ยาก เนื่องจากสาขานี้มีพื้นที่ที่ใหญ่มาก สามารถทำกาแฟได้รอบด้านเคาน์เตอร์ มีห้องสำหรับคั่ว พร้อมทั้งสอนอบรมได้เลย

%Arabica, Gardenia

เป็นสาขาล่าสุดที่ต้องบอกว่า Architecture กับ Interior สุดจริงๆ เหมือนยกญี่ปุ่นมาตั้งเลย สวยงามตั้งแต่ภายนอก เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ร้านเปิดโล่ง มองเห็นได้ถึงข้างใน หน้าตาร้านมีความเป็นกล่องสีขาว (โคตรมินิมอล) นึกว่า Apple Store เวอร์ชันไม้ มีความสูงโปร่ง แต่ดีไซน์เน้นกลับมาเป็นไม้ คอนกรีต และเคาน์เตอร์ขาวเด่น พร้อมทั้งมีตู้เก็บเมล็ดเช่นเคย

เวลาเปิด-ปิดทั้งสามสาขา ทุกวัน 07.00 – 22.00 น

Pause Coffee

เป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ตอนต้นปี ด้วยความที่ร้านใหญ่มาก และตอนไปร้านเพิ่งทำการ grand opening ที่ร้านเลยเปิดเพลง EDM อย่างหนักหน่วงตอน 3 ทุ่ม ผมเลยไม่ไหว 555 ( มีเต้นด้วย) จึงขอผ่าน ไม่ได้เสพกาแฟแต่อย่างใด

เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 07.00 – 22.00 น (ศุกร์ 09.00 – 23.00 น)

JUMO Coffee roasters

เป็นร้านที่ต้องบอกว่าคราฟต์มาก ตั้งอยู่บริเวณมิวเซียมที่เกี่ยวกับการถักทอผ้า เลยเป็นที่มาของการตกแต่งร้านโดยใช้ไหมถักมาตกแต่งเป็นดีไซน์ และที่สำคัญ กาแฟก็ไม่แพ้ความสวยงามของร้านเลย ตัวร้านเป็นไม้กับปูนทำสีอย่างง่ายๆ แต่ด้ายที่ใช้นั้นสวยงามมาก การชงของทีมบาริสต้าก็มีทั้งความตั้งใจและความต้องการถ่ายทอดรสชาติของเมล็ดกาแฟ ที่นี่มีเมนูเด็ดคือ กาแฟกับโดนัท

เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 07.00-22.00 น

CHOCOMELT

ด้วยความที่คนคูเวตชอบขนมหวาน (ซึ่งหวานมากจริงๆ) และใช้แต่ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมหลัก และจ้าง Pastry Chef จากดูไบมาช่วยคิดเมนู ร้านนี้จึงเป็นร้านที่เกินความคาดหมายเป็นอย่างมากเพราะขายดีสุดๆ และที่ร้านก็มีกาแฟที่หลากหลาย ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวแบรนด์ MOG ซึ่งเน้นกาแฟโดยเฉพาะ ตัวร้านมีความเป็น industrial แต่ใช้ความเป็น copper เข้ามาช่วยให้ความเป็น industrial chic ด้วยการนำปูน ไม้ และ copper มาใช้ตกแต่งร้านเป็นหลัก พื้นหินอ่อนเพิ่มความหรูหราเล็กน้อย ความเด็ดของที่นี่คือ ขนมที่นำเอาเทคนิคสมัยใหม่ หรือ molecular เพิ่มเข้ามาบ้าในบางเมนู ทำให้ดูแปลกตาและหวือหวามาก

เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 13.00 – 22.00 น.

สาขา The Avenues 10.00 – 22.00 น.

MOG [The Mystery of Goats Coffee]

น้องใหม่ล่าสุดสำหรับแบรนด์กาแฟในคูเวต ซึ่งต้องการสร้างประสบการณ์ความเป็น specialty coffee ที่มาคู่กับขนมหวานนั่นเอง ด้วยความที่กาแฟ MOG นั้นได้คัดเมล็ดพิเศษอิมพอร์ตเข้ามาอีกที ทำให้การทำกาแฟนั้นหลากหลายและมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งถ้าเข้าใจไม่ผิดจะใช้นมแพะแทนนมวัว ทำให้ได้รสชาติที่หอมหวานกลมกล่อม

เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 10.00 – 22.00 น

ท้ายสุด แม้ผมจะได้ไปแต่ละร้านในระยะเวลาสั้นๆ ก็พอสังเกตได้ว่า เนื่องด้วยหลายพื้นที่ของตะวันออกกลางมีข้อจำกัดเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ จึงทำให้ตลาดเครื่องดื่มอย่างอื่นมีความน่าสนใจ ธุรกิจคาเฟ่และร้านอาหารจึงคึกคักเป็นพิเศษ แม้จะยังใหม่อยู่มาก แต่ร้านกาแฟที่คูเวตถือว่ามีความตั้งใจสูงและบาริสต้าทุกคนผ่านการฝึกมาแล้ว รวมทั้งเป็นมิตรมาก เรื่องราวกาแฟของคูเวตหลังจากนี้คงสนุกและมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีแน่นอน