เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา วิถีชีวิตหรือสภาพบ้านเมืองล้วนจางหายหรือเปลี่ยนแปลง จนทำให้ลืมเสียสนิทเลยว่าแท้จริงแล้วอดีตเป็นอย่างไร
ประเทศญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนประเทศอื่นๆ แม้ว่าแต่ละยุคสมัยมีวัฒนธรรมหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ก็ไม่คงอยู่ถึงปัจจุบันได้ทั้งหมด อย่างมากก็อนุรักษ์ไว้และหลงเหลือแค่เพียงบางส่วน เราพบเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากแค่ภาพถ่ายในอดีต สารคดี หรือภาพยนตร์ย้อนยุค
ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือโชคชะตาดลใจ เราเหลือบเห็นโปสเตอร์สะดุดตาใบหนึ่งซึ่งติดอยู่ในสถานีรถไฟ พร้อมกับคำว่า showa-no-machi หรือจะเรียกสั้นๆ ว่าเมืองยุคสมัยโชวะ ในช่วง ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1989 เป็นยุคสมัยที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงประเทศจากหน้ามือเป็นหลังมือในแทบทุกๆ ด้านเพื่อให้ทันยุคสมัยมากขึ้น
อุตสาหกรรมต่างๆ นานาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน บ้านเมืองหรือสถาปัตยกรรมในเวลานั้นก็แตกต่างจากยุคสมัยนี้ลิบลับ การได้ย้อนยุคกลับไปเห็นยุค 50 สมัยปู่ย่าตายายสมัยยังเป็นวัยรุ่น ด้วยสายตาตัวเองคงเป็นเรื่องดีมากๆ เราจึงไม่รีรอ รีบตีตั๋วขึ้นรถไฟพร้อมกล้องถ่ายรูปคู่ใจ มุ่งตรงไปเมือง ‘บุนโกะทาคาดะ’ (Bungotakada)
บุนโกะทาคาดะเป็นเมืองชนบทเล็กๆ อยู่ในจังหวัดโออิตะ (Oita) อาจไม่คุ้นหูคุ้นตาเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวมากนัก เพราะต้องเดินทางหลายต่อ และต้องเผื่อเวลาบ้างพอสมควรเนื่องจากรถบัสมีเพียงไม่กี่รอบวัน
เมืองนี้ไม่มีสถานีรถไฟประจำเมือง ต้องลงสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด คือสถานีอุซะ (Usa ไม่ใช่อเมริกานะ) หลังจากนั้นค่อยต่อแท็กซี่หรือรถประจำทางที่มีป้ายลงที่บุนโกะทาคาดะ ซึ่งต้องสังเกตดีๆ ไม่งั้นอาจได้ตระเวนไปที่ไหนก็ไม่มีใครทราบ
การเดินทางใช้เวลาไม่นานนัก เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย ระหว่างทางก็ได้เห็นวิวชนบทญี่ปุ่นที่แสนสงบ ไร้การจราจรที่แออัดเหมือนในตัวเมืองใหญ่ๆ ทุ่งหญ้าเขียวขนาบข้างตลอดการเดินทาง เมื่อผ่านเข้าเขตเมืองบุนโกะทาคาดะเรียบร้อย ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ สถานที่ที่ทุกคนเหยียบเป็นที่แรกคงต้องเป็นอู่รถประจำเมืองที่ดูเก่าจนแทบจะร้าง พร้อมด้วยรถบัสประจำทางรุ่นเก่าที่จอดรอให้เราได้ชมเล่นก่อนจะถูกขับเคลื่อนไปรับส่งผู้โดยสาร
เมื่อพร้อมออกไปดูสภาพบ้านเมืองนี้ การเดินย้อนอดีตจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ร้านของชำคุณนามิยะ
คอภาพยนตร์ญี่ปุ่นคงจะร้องอ๋อกันไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Namiya Zakkaten no Kiseki หรือแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ เป็นเรื่องราวของมิติแห่งกาลเวลาหรือกลไกอะไรบางอย่างที่ทำให้คนจากต่างยุคสมัยติดต่อกันได้ และยังเปลี่ยนชีวิตใครหลายๆ คน โดยมีจดหมายเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวระหว่างอดีตและปัจจุบัน นิยายต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่องนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไปกว่า 12 ล้านเล่มทั่วโลก
ผู้กำกับพร้อมทีมสร้างภาพยนตร์นี่แหละ ที่ได้ตัดสินใจเลือกเมืองบุนโกะทาคาดะมาเป็นสถานที่ถ่ายทำ พร้อมเนรมิตฉากร้านของชำคุณนามิยะจากคำพรรณนาในตัวหนังสือให้เห็นภาพชัดเจนและเผยแพร่สู่จอแก้ว จนมีผู้คนเดินทางมาตามรอยมากมาย เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองนี้ไปในตัว
บ้านไม้สองชั้นที่เคยถูกเนรมิตเป็นร้านของชำของคุณนามิยะ แม้ว่าจะถูกรื้อถอนไปแล้วหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง แต่ป้ายชื่อร้านก็ยังเก็บจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ประกอบฉากในภาพยนตร์
ยังมีบ้านหลังหนึ่งในซอกซอยเมืองโชวะที่มีการออกแบบคล้ายคลึงกับร้านของชำของคุณนามิยะเป็นอย่างมาก ชนิดถอดแบบมาจากภาพยนตร์ ปัจจุบันเป็นร้านเสริมสวยชื่อ PROSPER.GOGO แม้ไม่ได้เป็นร้านของชำหรือเป็นที่รับจดหมายปรึกษาปัญหาชีวิตเหมือนในภาพยนตร์ แต่เราจะเห็นนักท่องเที่ยวล้วนดั้นด้นเดินตามหาบ้านหลังนี้ เพื่อมาดูสภาพบ้านที่คล้ายกับที่พวกเขาเคยได้ชมกันผ่านทางจอภาพยนตร์หรือโทรทัศน์
รถบัสสีแดง
รถบัส Isuzu Bonnet สีแดงออกเลือดหมูตัดกับสีเหลืองทรงโบราณ เลขทะเบียน 141 ผลิตเมื่อ ค.ศ. 1957 เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ย่านเมืองเก่าโชวะ
เจ้ารถ Bonnet Bus คันนี้ผลิตที่เมืองโยโกเตะ (Yokote) จังหวัดอะกิตะ (Akita) ก่อนส่งมอบให้เมืองโชวะแห่งนี้ มันเคยเป็นเหมือนรถบัสประจำทางทั่วไปเหมือนบัสคันอื่นๆ ก่อนหยุดให้บริการเมื่อ ค.ศ. 1969 หลังจากที่หลับใหลที่แสนยาวนานไปกว่า 35 ปี ในที่สุดก็ถูกปลุกและนำไปซ่อมแซมเมื่อ ค.ศ. 2009 พร้อมเปลี่ยนสถานะเป็นรถให้บริการฟรีแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งจะขับพาไปรอบๆ ถนนเมืองเก่าโชวะ พร้อมกับชมวิวริมฝั่งแม่น้ำคัทซึระ (Katsura) ที่ไหลผ่านเมืองบุนโกะทาคาดะ
บัสนำเที่ยวคันนี้บริการเพียงแค่ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ โดยไกด์ประจำรถบัสเล่าเรื่องราวแทบทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองอย่างเพลิดเพลินตลอดระยะเวลาพาชม บางวันอาจต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้ากันบ้าง เนื่องจากรถบัสรับผู้โดยสารได้เพียง 25 คนเท่านั้น แต่ก็เป็นประสบการณ์ดีไม่น้อยที่ได้นั่งและสัมผัสกับความคลาสสิกของเจ้ารถบัส Bonnet สีแดง โครงสร้างภายในรถบัสนี้ก็คงรูปแบบเดิม ไม่ว่าเบาะที่นั่งหรือพวงมาลัยคนขับ
แถมยังได้ซึมซับบรรยากาศบ้านเมืองเก่าผ่านหน้าต่างรถบัส พร้อมกับได้เห็นตึกรามบ้านช่องหลายๆ หลังในถนนเก่าโชวะที่คงความคลาสสิกอยู่เสมอและมีประวัติมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าฟังภาษาญี่ปุ่นที่ไกด์บรรยายออกหรือไม่ ก็จินตนาการถึงความสวยงานของบ้านเมืองผ่านสายตาตัวเองได้ไม่ยาก
ถนนเมืองเก่าโชวะ
หากมองผ่านทางรถบัสแล้วรู้สึกว่ายังไม่หนำใจพอ งั้นลองเดินเท้าชมบรรยากาศถนนเมืองเก่ากัน ด้วยเมืองนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองใหญ่ บ้านเรือนเลยไม่ถูกกลืนกินไปด้วยตึกรูปทรงสมัยใหม่มากนัก ยังคงอนุรักษ์ความคลาสสิกไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ร้านค้าส่วนมากประกอบกิจการดั้งเดิม ซึ่งสืบทอดจากธุรกิจของตระกูลตั้งแต่ยุคโชวะ ถนนทุกสายในละแวกนี้ยังประดับด้วยโคมไฟสีส้มและสีเขียวสลับกันตลอดทาง แสดงถึงวัฒนธรรมบ้านเมืองของญี่ปุ่นในสมัยก่อน
นอกจากโปสเตอร์โฆษณาสมัยก่อนที่ติดอยู่ทั่วถนนหนทาง ไร้วี่แววจะแกะออก เราเห็นบ้านเรือนหลายหลังที่ใจดี นำของใช้หรือของสะสมเก่าๆ มาตั้งโชว์ในตู้กระจกหน้าบ้าน พร้อมกับมีคำบรรยายสั้นๆ ให้ผู้เดินผ่านได้มาสัมผัส และบางร้านก็จำหน่ายสินค้าที่ระลึก รวมถึงของเก่าอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเล่นเก่าๆ ทีวีหรือโทรศัพท์โบราณที่เราไม่ค่อยพบเห็นแล้วในปัจจุบัน ซึ่งบรรดานักสะสมของเล่นหรือของเก่าทั้งหลายคงตาเป็นประกาย
ในช่วงกลางวัน ตัวเมืองอาจดูเงียบเหงาไปบ้าง เนื่องจากวัยรุ่นหนุ่มสาวต่างเข้าไปทำงานในเมืองเพื่อความก้าวหน้าของชีวิต ส่วนมากเห็นแต่ผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตตลอดทั้งวันในแถบนี้ ต้องรอถึงช่วงเย็นยามแสงตะวันใกล้จะตกดิน บรรยากาศคึกคักที่รอคอยก็มาถึง
ร้านอาหารย้อนวัยเยาว์
ร้าน คาเฟ่บาร์ บูลเลอวาร์ด (カフェ&バー ブルヴァール) เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เปิดประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ลองย้อนกลับไปเป็นนักเรียนประถมตัวเล็กๆ เพียงแค่เปิดประตูร้าน จะได้สัมผัสบรรยากาศที่เหมือนอยู่ในห้องเรียน โดยมีโต๊ะและเก้าอี้นักเรียนให้เราเลือกนั่งตามใจชอบ ไม่เพียงเท่านั้น ทุกเมนูอาหารจะถูกวางอยู่ในจานสแตนเลส พร้อมเสิร์ฟรวมกันเป็นเซ็ตในถาด ให้เราได้นึกถึงวัยเด็กที่ทานอาหารกลางวันจากถาดอาหารจานหลุม
ถึงอาหารมีหลากหลายมากกว่า 10 เมนู แต่เมนูซิกเนเจอร์หลัก คือขนมปังบาแก็ตโรยด้วยน้ำตาลทรายแดง นอกจากนี้ยังมีนมขวดสีเขียวจากมิโดริ (みどり) แบรนด์นมสดชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยทำนมสดขวดจำหน่ายเมื่อครั้งนานมาแล้ว ทางร้านได้ติดต่อขอร้องทางบริษัทให้ช่วยทำแบบขวดกลับมาอีกครั้งและนำมาจำหน่ายในร้าน เป็นซิกเนเจอร์อีกหนึ่งอย่างของร้านไปโดยปริยาย
พิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราว
ระหว่างรอรถบัสกลับไปสถานีรถไฟ ลองเยี่ยมชมมิวเซียมก่อนจากเมืองนี้ดูสักที มิวเซียมประจำเมืองมีโซน Showa no yume machi 3 chome หรือเมืองโชวะซอยที่ 3 ในฝัน ที่จำลองวิถีชีวิตของผู้คนในบ้านสมัยโชวะยุค 30 – 40 แทบเหมือนจริงทุกอย่าง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่ดูแปลกตา อย่างโทรทัศน์จอขาวดำ ตู้เย็น เครื่องแต่งกาย รวมถึงการตกแต่งห้องที่เป็นเอกลักษณ์ มองดูแล้ววิถีประเทศญี่ปุ่นก็เปลี่ยนไปเยอะมากถ้าเทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน เราคิดว่าอาจเป็นเพราะเทคโนโลยีและอิทธิพลจากหลายอย่าง แต่หากลองสังเกตดูดีๆ แล้ว กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลาเลย
ถัดไปอีกโซนเป็นโซนที่เรียกว่า ดาคาชิยะโนะยูเมะ (Dakashiyanoyume Museum) ที่แปลว่าร้านลูกอมในฝัน ซึ่งเป็นที่ที่คุณฮิโรโนบุ โคมิยะ (Hironobu Komiya) ผู้อำนวยการมิวเซียมแห่งนี้ได้รวบรวมเก็บของเล่น ของสะสม ในช่วง ค.ศ. 1955 – 1965 มากกว่า 50,000 ชิ้น มาจัดแสดงในที่แห่งนี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะของสะสมที่เขาเก็บนั้นมีมากถึง 250,000 ชิ้น
ของสะสมที่เขาเก็บนั้น เราแทบไม่มีโอกาสหาได้ง่ายๆ ตามท้องตลาดทั่วไปได้แล้ว เช่น หุ่นโมเดลจากการ์ตูนมังงะญี่ปุ่นหรือภาพยนตร์ต่างประเทศยุคเก่า อย่าง เจ้าหนูปรมาณู ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน สตาร์วอร์ และอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีแผ่นเสียงหรือสื่อสิ่งพิมพ์หลายๆ อย่างที่รวมๆ น่าจะมีมูลค่ามหาศาล
จริงๆ แล้วเมืองบุนโกะทาคาดะยังมีอะไรให้ได้ค้นหาอีกมากมาย ทั้งศาลเจ้าเก่าแก่มากมาย ชายหาด Matama หรือ Tashibunosho ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนาข้าวที่สวยที่สุดในภูมิภาคคิวชู รวมถึงเมืองเพื่อนบ้านอย่างอุซะที่เรานั่งรถไฟมาก็ตาม
ครั้งนี้เราใช้เวลาทั้งหมดอยู่แค่ในถนนเมืองเก่า แต่เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคที่เกิดไม่ทัน โดยมีภาพพื้นหลังคือความคลาสสิกของสภาพบ้านเมือง สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของญี่ปุ่นสมัยโชวะ ถ้ามีโอกาส เราคงกลับมาสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ที่ไม่มีทางได้พบเจอง่ายๆ อีกครั้งอย่างแน่นอน
Until we meet again.
Bungotakada, Japan
Write on The Cloud
Travelogue
ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ