25 พฤศจิกายน 2021
11 K

ไม่นานมานี้ Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงยักษ์ใหญ่ของโลกทำโปรเจกต์พิเศษ ‘Spotify EQUA’ เพื่อแสดงพลังและความเท่าเทียมของศิลปินหญิง เฉลิมฉลองเนื่องในวันสตรีสากลประจำปี (8 มีนาคม) ด้วยการขึ้นภาพศิลปินหญิงชั้นนำของโลกบนบิลบอร์ดยักษ์ใจกลางมหานครนิวยอร์ก โดยหนึ่งในนั้นมี พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อโบกี้ไลอ้อน (BOWKYLION) ศิลปินสาวชาวไทยที่มียอดฟังเพลงสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศในปีที่ผ่านมาเป็นตัวแทนของศิลปินไทย และเป็น 1 ใน 35 ศิลปินหญิงจาก 50 ประเทศทั่วโลก ร่วมกับศิลปินหญิงแห่งยุคอย่าง Billie Eilish, วงดนตรีหญิงล้วน CHAI จากญี่ปุ่น, Zoe Wees จากเยอรมนี, Griff จากอังกฤษ และ WENDY จากเกาหลีใต้

การปรากฏภาพของเธอบนบิลบอร์ดกลางนิวยอร์ก จึงเป็นหมุดหมายใหม่ของโบกี้ไลอ้อน ทั่วทั้งโลกจึงได้ทำความรู้จักกับศิลปินหญิงไทยวัย 27 ปีคนนี้

แต่กว่ามาถึงตรงนี้ได้ โบกี้ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ผ่านเรื่องราวและสถานที่ต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน จากบ้านเช่าหลังเล็ก สู่หอพักนักศึกษาที่เล็กกว่า นั่งหน้าโทรศัพท์ร้องเพลงผ่านยูทูบ สะสมแฟนเพลง ก้าวขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงระดับประเทศ The Voice Thailand ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จัก ขึ้นเวทีผับบาร์ต่าง ๆ อีกครั้งเพื่อเอาชีวิตให้รอด แล้วก็กลายเป็นคนที่ใครก็หาตัวไม่เจอ แม้กระทั่งต้นสังกัดที่ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน กลับมาทำเพลงอีกครั้งจนกลายเป็นศิลปินดัง สู่บิลบอร์ดกลางนิวยอร์ก และกำลังจะอยู่ในบ้านราคา 10 กว่าล้านที่ซื้อด้วยน้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของตัวเอง

ทั้งหมดนี้คือตำแหน่งแห่งที่ในชีวิตของโบกี้ไลอ้อน

(ขออภัยที่บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ไม่ได้พูดผลงานเพลงของเธอ ไม่แม้กระทั่งการพูดถึงซิงเกิลใหม่ ‘บานปลาย’ ที่เพิ่งปล่อยออกมา เราอยากให้คุณรู้จักเธอนอกเหนือไปจากบทเพลงที่คุณรู้จักดีอยู่แล้วเท่านั้น)

น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของ BOWKYLION ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ

ทำไมถึงตัดสินใจไปประกวดร้องเพลง The Voice Thailand เมื่อหกปีที่แล้ว

The Voice Thailand เป็นรายการที่ไม่คิดว่าจะต้องไป แล้วก็ไม่ได้อยากไปด้วย เอาตรง ๆ เลยไม่ได้เป็นการตัดสินใจของเราสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ที่ไปก็เพราะช่วงนั้นคุณแม่เสีย แล้วคุณแม่เคยบอกว่าอยากให้โบไปประกวดอะไรแบบนี้บ้าง มันจะเป็นการก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง เพราะเราค่อนข้างเป็นคนขี้กลัว ขี้กังวลมากกว่า คือกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึงและเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ พอดีช่วงนั้นพี่สาว (ว่าน วันวาน-รัชยาวีร์ วีระสุทธิมาศ) ไปประกวด พี่ก็บิลด์ ๆ ว่า “เฮ้ย ทำเพื่อแม่สักนิด” 

เราก็ไม่ได้อยากใช้การทำเพื่อแม่มาเป็นข้ออ้างอะไรนะ แต่ว่า… อืม ลองก็ได้ ทั้งที่เราเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันเลย ไม่ชอบแม้กระทั่งดูอะไรที่เป็นการแข่งขันด้วย ไม่ชอบการเปรียบเทียบใครกับใคร รู้สึกว่าแค่แข่งกับตัวเอง แข่งกับความคิดของตัวเองมันก็ลำบากพอแล้ว แล้วทำไมเราต้องไปแข่งด้วย

หรือจริง ๆ แม่แค่อยากให้เราไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เราหวาดกลัว

ใช่ค่ะ เพราะว่าเราเป็นคนตื่นเต้นมาก ๆ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาออกไปร้องเพลงแล้วมันตื่นเต้นมาก ที่ซ้อมมาพังหมดเลย (หัวเราะ) แล้ว The Voice Thailand  เป็นเวทีที่โคตรใหญ่ ถามว่าเราอยากไปไหม เราไม่อยากไปอยู่แล้ว ถึงเราจะเรียนดนตรีมาก็จริง แต่ว่าทักษะในการร้องเราสู้ใครเขาไม่ได้ ร้องธรรมดา แค่ร้องเพลงได้ แต่เราอาจจะเป็นคนฟังเพลงเยอะ แล้วก็เราอาจจะมีทักษะการได้ยินที่ค่อนข้างโอเค เพราะเราเรียนมาและชอบแยกเสียงต่าง ๆ เป็นคนโรคจิต (หัวเราะ) ชอบวิเคราะห์เพลง ซึ่งจริง ๆ รายการก็ไม่ได้ต้องการอะไรขนาดนั้น แต่พอแม่อยากให้เราลอง เราก็รู้สึกว่า “อืม มันใช่เหรอวะ หรือว่าจะลองไปดูดี” ลองก็ลอง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่เข้ากับนิสัยเรา

ไม่เข้ายังไง

เราค่อนข้างเป็นคน Perfectionist มาก ๆ เข้าขั้นโรคจิตเลยล่ะ สมมติว่าเราอัดเพลงเอง แล้วร้องไปดันมีเสียงที่ไม่ตรงแค่นิดเดียว เราจะไม่ยอม เราจะอัดใหม่เรื่อย ๆ ทั้งวันจนกว่าจะตรง ซึ่งการประกวดร้องเพลงไม่ใช่กระบวนการแบบนั้น มันคือร้องครั้งเดียว พลาดคือพลาด แก้ไม่ได้อยู่แล้ว “พี่คะ หนูขอ edit ตรงนี้ได้ไหม-ไม่ได้” 

แต่เวลาเราทำคลิปเอง ตรงนี้ไม่ตรงเรา-แก้ ตรงนั้นไม่ตรงเรา-แก้ พลาดตรงนี้นิดหนึ่ง-แก้ เพราะเราทำคนเดียว แต่กับ The Voice เราต้องทำงานกับคนอื่น ถ้ามันมีบางอย่างที่เราผิดพลาดไป หรือว่าความตื่นเต้นของเราที่มันควบคุมไม่ได้ มันจะถูกจดจำไว้ในแบบนั้นตลอดไป มันแก้อะไรไม่ได้ ทุกวันนี้เรายังไม่กล้าดูคลิปที่ประกวดในตอนนั้นเลย เดี๋ยวเครียด (หัวเราะ)

ไม่คิดบ้างหรือว่าการประกวดอาจทำให้ได้เจอเส้นทางใหม่ ๆ

เราเป็นคนที่ไม่กล้าเริ่มอะไรเลยค่ะ เป็นคนที่แบบ สมมติว่าถ้ากินข้าวแล้วร้านนี้อร่อย ก็กินอยู่แค่ร้านเดียวไปตลอดได้ ถ้าคิดว่าไปเจออะไรใหม่ ๆ อ้าว ถ้ามันอร่อยกว่าก็ดี แต่ถ้ามันไม่อร่อยล่ะ แล้วเราต้องเสียเวลาไปมื้อหนึ่งเพื่อกินข้าวร้านที่ไม่อร่อย เราก็เลือกกินที่เดิมสิ เพราะแน่ใจว่ามันอร่อย แล้วคนขายก็รู้ใจ หรือสมมติเราชอบห้องนี้แล้ว ก็จะอยู่ในห้องนี้ได้ตลอดเลย ทำไมต้องออกไปเจออะไรใหม่ ๆ ด้วย ในเมื่อห้องนี้มันสร้างจินตนาการให้เรามากพอแล้ว เราเป็นคนแบบนี้

ดูไม่ค่อยทะเยอทะยานหรือลองเสี่ยง

ใช่ค่ะ เป็นคนที่ไม่ได้อยากดัง พูดตามตรงคืออยากให้เพลงดังมากกว่า จะได้มีเงินกินข้าวในแต่ละวัน มีเงินมาเลี้ยงหมา (หัวเราะ) ตัวเราเองไม่ได้อยากมีชื่อเสียง แต่เราอยากรวย (หัวเราะ) คือต้องเข้าใจก่อนว่าเราไม่ได้มาจากร่ำรวย ค่อนข้างอยู่ในที่ที่แย่ด้วยซ้ำ เราต้องเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเราไม่ได้มีเงินมากมาย ก็ต้องเช่าบ้านอยู่ สภาพแวดล้อมไม่ค่อยดี เรียกว่าอยู่ตามมีตามเกิดน่ะค่ะ บางวันไม่มีอะไรกิน หรือมีไข่ใบเดียวก็ต้องกินแบบนั้น กินกันหลายคนด้วย แต่คุณแม่ก็พยายามเลี้ยงให้เราเป็นคนไม่มีปัญหามาตลอด ทำให้เราไม่ได้คิดว่าชีวิตตัวเองมีปัญหาอะไร จนกระทั่งคุณพ่อไปมีครอบครัวใหม่ ก็เหมือนเราเสียคุณพ่อไปเลย

เป็นบาดแผลทางจิตใจไหม

จริง ๆ ก็ไม่นะคะ แต่ว่าทุกคนในบ้านสงสารโบ แต่โบน่ะไม่คิดอะไร พอพ่อออกไปแล้ว แม่ก็พยายามเลี้ยงเราให้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมแบบนั้น แม่ก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่แม่พยายามเลี้ยงเรามา แม่เป็นคนเดียวที่อยู่กับเรา โอเคเรามีพี่สาว แต่ว่าพี่สาวแยกไปเรียน ไปอยู่หอ เราก็อยู่กับแม่สองคน หลังจากนั้นเรากับแม่ก็ออกจากบ้านหลังนั้น ไปเช่าคอนโดฯ อยู่ด้วยกัน แล้วการที่เราเรียนดุริยางค์ฯ ที่มหิดลนี่มันลำบากมาก คือเราก็ไม่เก็ตว่าทำไมเขาถึงให้เรียนที่นี่ เพราะลำบากมากกกก (ลากเสียง)

น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของโบกี้ไลอ้อน ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ
น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของโบกี้ไลอ้อน ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ

ใช้เงินเยอะ

ค่าเทอม รวมค่าหอ ค่าอะไรต่าง ๆ ก็สองแสน ที่สำคัญคือค่าอุปกรณ์ เครื่องดนตรีนี่แหละ ซึ่งตอนนั้นเรางงว่าทำไมเขาให้เรียนที่นี่วะ เราไม่ได้ขอร้องนะว่าต้องที่นี่ เราไม่รู้ว่าแม่เขาคิดยังไง แต่รู้สึกว่าเขาต้องเห็นอะไรที่เราไม่เห็นแน่เลย เรายังเถียงแม่ตลอดว่า “หนูเนี่ยนะขี้กลัว” สงสัยว่าทำไมแม่ถึงบอกว่าเราขี้กลัววะ แต่แม่ไม่ได้บอกเรานะ แม่ชอบบอกกับเพื่อนเราว่า “ดูแลโบด้วยนะ โบเป็นเด็กขี้กลัว เป็นคนไม่กล้า” เราก็ได้แต่คิดว่า “กูเนี่ยนะ?” แต่ตอนหลังมาคิดได้ว่าแม่รู้จักเรามากกว่าเรารู้จักตัวเองอีก และตอนนั้นแม่เหนื่อยมาก กัดฟันจ่ายค่าเทอมให้เรา แต่จ่ายได้ประมาณปีเดียวค่ะ จากนั้นแม่ก็เริ่มป่วย มีปัญหาสุขภาพ

ขอโทษนะ คุณแม่เป็นอะไร

ตอนแรกเรานึกว่าคงตรวจเจอมะเร็งแต่ไม่ใช่ค่ะ แม่เป็นโรคไขกระดูกฝ่อ ซึ่งเป็นโรคที่เราได้ยินแล้วแบบ อะไรวะ โรคอะไรวะ แล้วเขาก็ไม่มีอาการเลยค่ะ มีแค่เลือดออกตามไรฟัน แล้วก็ภูมิแพ้ทั่วไปเหมือนที่เราเป็นเนี่ยแหละ แล้วก็มีรอยช้ำ ๆ ตามตัว ยังขำกันอยู่เลยว่า “แม่ เป็นอะไรอะ” นั่นแหละ คือจริง ๆ ไขกระดูกมันเอาไว้สร้างเกล็ดเลือด เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือดที่เอาไว้ต่อต้านภูมิคุ้มกันน่ะค่ะ ถ้าไขกระดูกฝ่อ ก็แปลว่าไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือดพวกนี้อีกแล้ว ตอนแรกก็หาไม่เจอว่าแม่เป็นอะไร คิดว่าเป็นไข้เลือดออก พอเจอว่าเป็นไขกระดูกฝ่อได้สองอาทิตย์ก็เสียเลย เราก็แบบ ต้องร้องไห้ยังไงวะ อะไรวะเนี่ย คือทำใจไม่ได้ ทำใจไม่ทันเลย

มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป

เร็วค่ะ ตอนนั้นก็เรียนอยู่ ไหนจะค่าเทอม แล้วยังมีเรื่องที่เราเซอร์ไพรส์มากคือ มารู้ว่าแม่เลี้ยงทุกคนในบ้าน ดูแลทุกคนหมด ไม่ใช่แค่เรากับพี่ เราก็แบบ “เอาไงต่อวะเนี่ย” ก็เลยตัดสินใจส่งตัวเองเรียนไปด้วย ส่งคนอื่นในบ้านด้วย คุณย่า คุณป้าที่อายุมากแล้ว ดูแลต่อจากแม่

ตอนนั้นรายได้ของเรามาจากอะไรบ้าง

โอ้โห! มั่วซั่วมาก อะไรก็ได้น่ะค่ะ บางทีก็ขายของตัวเองบ้าง ร้องเพลงลงยูทูบบ้าง มีรายได้จากยูทูบหรือมีโฆษณาเล็ก ๆ น้อย ๆ มีรีวิวอะไรอย่างนี้ ก็พอจะเก็บเงินได้หลักแสนบ้าง แต่มันก็ไม่พอค่าเทอมค่ะ (หัวเราะ)

การจากไปของแม่ อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้เราไปประกวดที่ The Voice Thailand

เหมือนเรารู้สึกว่าอะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้มั้ง สิ่งที่เราต้องการตอนนั้นก็คือเงินน่ะค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ เลย เราก็เลยคิดว่าถ้าเราไปแล้ว เราอาจจะได้เงินจากอะไรสักอย่างไหม บวกกับว่าอยากลองเอาชนะตัวเองสักหน่อย ไม่กล้าไปก็ลองไปบ้าง ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตามที่จะไปประกวด

เดี๋ยว มันเป็นครั้งแรก ก็จะให้เป็นครั้งสุดท้ายเลยเหรอ

ใช่ ก็ไม่อยากไปเป็นทุนอยู่แล้วน่ะค่ะ นึกภาพไม่ออกว่าอยู่บนเวทีแล้วจะทำอะไร

ถามจริง ๆ กลัวขนาดนี้ อย่างดีที่สุดกับเลวร้ายที่สุดที่คิดไว้กับ The Voice Thailand คืออะไรบ้าง

ดีที่สุดคือมีพี่สาวประกวดด้วย เลวที่สุด… ร้องเพี้ยน (หัวเราะ) 

ร้องเพี้ยนนี่น่ากลัวมากเลยใช่ไหม

โอ้โห! ถ้าเพี้ยนนี่เฟลค่ะ แล้วช่วงนั้นโดนสังคมรุมจวกด้วย (หัวเราะ) เพราะว่าร้องในยูทูบนี่อย่างดี พอร้องจริงศักยภาพมึงอยู่ไหน ซึ่งก็ยอมรับนะว่ามันเป็นอย่างนั้น “อ้าว ในยูทูบกูทำเอง กูก็ต้องทำให้มันดีสิวะ ใครจะอยากเอาความเฟลมาให้มึงดู” ขอโทษนะคะ หยาบคายสุด ๆ (หัวเราะ) คือเรามองคนละแบบกัน เราทำช่องเอง เราสร้างศิลปะ มันคือความคิดสร้างสรรค์ เราก็ทำให้ดีที่สุด แต่ว่า The Voice Thailand มันเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้สติ ซึ่งเราไม่ค่อยมี (หัวเราะ)

บางคนก็ชอบการแข่งขันนะ มันได้รีดศักยภาพ เหมือนได้ปลุกสิ่งที่เราไม่เคยค้นพบมาก่อน อะไรอย่างนั้น

ไม่ได้เลย เราเครียดเกินไป อย่างตอนที่ต้องแบทเทิลกับใครสักคน แล้วเราสนิทกับเขา เราไม่อยากชนะด้วย ก็สงสัยว่า “นี่เราต้องชนะเหรอ” เรารู้สึกว่ารับไม่ได้ที่ ถ้าแพ้ก็รู้สึกแย่ที่เราห่วย โอเค เราห่วย แต่ถ้าเราชนะล่ะ พี่เขาก็ไม่ได้ห่วยไปกว่าเราเลย แล้วทำไมเขาแพ้เราล่ะ

นี่คิดขนาดนั้นเลยเหรอ

ใช่ค่ะ แล้วด้วยความสัมพันธ์มันไม่ใช่แค่คู่แข่งกัน เป็นคนที่เหมือนเราสนิทกับเขา แล้วเราก็ไปไหนมาไหนกับเขา แล้วเราก็รู้สึกว่าพี่เขาเป็นพี่ที่ดีกับเรามากเลย แต่ต้องมาแข่งกัน ทำไมล่ะ ไม่อยากแข่งเลย เรารู้สึกว่าเรารับไม่ได้สักทางเลย แต่นั่นแหละ เราก็ต้องทำมันอยู่ดี

พอจบการแข่งขันแล้ว รู้สึกยังไงกับการตัดสินใจของตัวเองครั้งนั้น

ก็รู้สึกว่าดีที่คนจะเรียกเราว่าโบกี้ที่ร้อง The Voice แต่ก็รู้สึกว่างเปล่า

อะไรทำให้คิดว่าเราว่างเปล่า

ก็เราเป็น The Voice แต่เราไม่ใช่โบกี้น่ะค่ะ

อธิบายอีกหน่อยได้ไหม

คือจริง ๆ ไม่ได้บอกว่าเป็นแล้วไม่ดีนะ นี่คือรายการคุณภาพรายการหนึ่งเลย เขาให้โอกาสเราจริง ๆ ทุกคนน่ารักมาก เรารู้สึกขอบคุณเขามาก ๆ ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มาถึงจุดนี้ แต่การเป็น ‘โบกี้ The Voice’ มัน…(คิดนาน) คือเราไม่รู้เลยว่าทำไมคนถึงชอบเรา แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เราทำไปมันจะดีด้วย เรียกได้ว่าเราไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไหร่ เราเป็นในสิ่งที่คนอยากให้เราเป็นอยู่ เป็นโบกี้ The Voice ที่ร้องเพลง มีความเป็นนักประกวด

โชว์พลังเสียง

ใช่ แต่สิ่งที่เราต้องการจะสื่อให้คนดูไม่ใช่พลังเสียงไง มันคืองานศิลปะ สิ่งที่เราอยากเป็นจริง ๆ คือเราอยากทำเพลงเอง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนจะเข้าใจไหมกับสิ่งที่เราสร้างขึ้น แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะสร้างอะไร (หัวเราะ) เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใครน่ะค่ะ

จบจาก The Voice แล้ว รีวิวตัวเองให้ฟังหน่อยว่าได้อะไรมาบ้าง

ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้กลัวสุด ๆ ได้ความมั่นใจว่า ตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเลย ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอกับโลกโซเชียลฯ กับคอมเมนต์ต่าง ๆ

น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของโบกี้ไลอ้อน ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ

ตกลงมันเป็นพรหรือเป็นคำสาป

โอ้โห พูดยากค่ะ มันเป็นพรที่เป็นคำสาปแล้วกัน คือหลังจาก The Voice ก็เครียดตรงที่ว่าถ้าเราจะเป็นศิลปิน คนก็จำที่เราเป็นโบกี้ The Voice แล้ว ทำยังไงให้คนรู้ล่ะว่าเราคือโบกี้ไลอ้อน แต่ก็เป็นพรที่ทำให้เราได้รู้ว่า เราทำอะไรบางอย่างได้ ถามว่าตอนนี้กล้าทำอีกครั้งไหม ก็ไม่กล้า (หัวเราะ) แต่ว่าทำให้เรารู้อะไรมากขึ้นแล้วกัน ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่

แปลว่าโบกี้ที่เห็นใน The Voice อาจจะไม่ใช่สิ่งที่โบกี้อยากเป็นหรืออยากทำจริง ๆ สักเท่าไหร่ ถูกไหม

ที่ผ่านมายอมรับว่าเราเป็นคนที่ขาดความเป็นมืออาชีพมากค่ะ เราทำอะไรตามอารมณ์ หมายถึงว่าเราเป็นคนหลอกตัวเองไม่ได้ เช่น ถ้าฉันอินเพลงนี้-ฉันจะร้อง ถ้าฉันไม่อิน-ฉันไม่ร้อง ถ้าฉันอินแค่ท่อนนี้-ฉันจะร้อง คนไม่ฟังก็เรื่องของเธอ-ฉันจะร้องแค่นี้ 

การไปแข่งขัน ทำให้รู้ว่าการเป็นนักร้องที่ดี ไม่ใช่แค่นักร้อง มันต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย หนึ่งคือต้องฟังสิ่งที่คนดูพูดกับเรา สองคือต้องฟังเสียงตัวเองว่าร้องอะไรไปบ้าง สามคือต้องฟังเสียงดนตรี ประสบการณ์ตรงนั้นทำให้เราถามตัวเอง ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่ เราบ้าหรือเปล่า เวลาอยู่ในช่องยูทูบตัวเอง บางทีก็จะลงเพลงแค่สิบห้าวินาที แล้วคนก็จะเข้ามาด่า “อะไรวะเนี่ย สิบห้าวิ จะลงทำไม!!”

มึงจะลงแค่ท่อนที่มึงอยากร้องไม่ได้นะแบบนี้เหรอ…

ใช่ค่ะ เราก็จะแบบ… ก็จะลงแค่นี้ ไม่ฟังก็ไม่เป็นไร อะไรอย่างนี้ค่ะ เราไม่แคร์ คือนักร้องก็เหมือนนักแสดง มันต้องแสดงบางอย่างที่ได้รับบทบาท คือเราต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเพลงที่เราจะร้องสิ ทำไมเราถึงปฏิเสธ ให้ร้องเพลงที่เกี่ยวกับชู้ ฉันไม่มีชู้-ฉันไม่ร้อง ซึ่งใน The Voice ทำไมทุกคนเขาร้องกันได้วะ แต่ทำไมเราถึงมัวเป็นบ้าอยู่ บางทีก็สงสัย นี่เราเป็นอะไรวะ

การร้องสิ่งที่เราไม่เชื่อ หรือไม่อินกับมัน มีผลต่อการสร้างสรรค์ยังไง

เรารู้สึกว่าเราจริงใจกับคนดูสุด ๆ เลยค่ะ ถ้าเราร้องประโยคที่เราไม่อิน เรายังไม่เชื่อตัวเองเลย แล้วใครจะเชื่อ เราเข้าใจนะว่าร้อง ๆ ไปก็ได้ เราร้องได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อร้องแล้วมันส่งต่อให้คนอื่นได้ด้วยนะ แต่คนก็ไม่รู้นะคะ ว่าเราอินอันไหนหรือไม่อินอันไหน เขาไม่รู้เขาก็ฟังเพลงให้มันจบ (หัวเราะ)

ความคาดหวังเขาอาจจะแค่มาฟังเพลงนั่นแหละ แกร้องให้ครบสามนาทีแค่นั้นพอ

ใช่ สามนาทีก็ยังดี แต่บางทีเราก็จะแบบ อะ ร้องแค่นี้ค่ะ ทริคของเราในตอนนั้นคือร้องสั้นที่สุด คนจะได้วนฟังเพลงเราไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ นั่นแหละ แต่ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้อง คือถ้าเราเป็นอยากตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็นั่งดูตัวเองไปเลยสิ ไม่ต้องให้ใครมาดูเรา แต่ถ้าเราอยากจะเป็นคนที่ดี เป็นศิลปินที่ดี แล้วเราอยากใช้ความเป็นอาร์ทิสบางอย่างที่เชื่อมต่อกับคนที่เรียกว่าคนดู เราก็เป็นตัวเองได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์

เพราะว่าศิลปะต้องการผู้เห็น

ใช่ค่ะ นั่นแหละ เราก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ (หัวเราะ)

น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของโบกี้ไลอ้อน ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ

จบจาก The Voice วางแผนทำอะไรต่อ

เราเป็นคนไม่วางแผนอะไรเลย แต่ตอนนั้นก็มีเพลงที่เราทำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่อง แค่ทำส่งอาจารย์ไปงั้น ๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะแต่งเพลงได้ดี ก็ทำลงยูทูบไปเรื่อย ๆ แล้ว พี่บอล-ต่อพงศ์ จันทบุบผา (บอล Scrubb) จาก What The Duck มาเห็น เขาก็ชอบ พี่บอลเลือกเราเข้าค่าย ดีใจมากค่ะ แต่ว่าก็สงสัยนะว่าเขาเห็นอะไร เพราะเราไม่เห็นอะไรในตัวเองเลย

ก็เป็นธรรมดา คนทำงานมักจะมองไม่เห็นงานตัวเอง แต่คนมองเข้ามาเขาจะเห็นได้ชัดกว่า

เขาเห็นว่าเพลงนี้น่าสนใจ บวกกับเราทำเอ็มวีเอง ทำเองทุกอย่าง เขารู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เลยเรียกมาคุย คุยไปคุยมาก็เซ็นสัญญาค่ายปุ๊บ เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง คือเราต้องเป็นใครเหรอ เราต้องทำอะไร เราต้องแต่งตัวยังไง ปกติเรามีตัวตนอยู่แล้วว่าเป็นคนแบบนี้ แต่ว่าพอจะปล่อยเพลงอะไรสักอย่างที่เป็นเพลงแรกแล้วแบบ เราเป็นใครวะ ตอนนั้นก็เลยเริ่มจากการให้ ทอยส์ (The Toys) มาแต่งเพลงให้ ซึ่งก็งง ๆ เพราะว่าเราไม่รู้จะปล่อยอะไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่ายเขาเห็นอะไรในตัวเรา เราก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวังนะ แต่หาตัวเองไม่เจอ เลยเริ่มจากทำเพลงกับทอยส์ แล้วก็ปล่อยเพลง ‘ใครอีกคน’ ไปก่อน เป็นเพลงที่ทอยส์แต่งมาอยู่แล้ว แล้วก็มีเราเสริมเล็กน้อย ก็ปล่อยแล้วเราก็คือหายไปเลยแปดเดือน

ทำไมถึงหายไปนานขนาดนั้น เพิ่งปล่อยเพลงแรกแท้ ๆ

คือเราเป็นโรคแบบที่เป็นเกี่ยวกับจิตเวชด้วย เราไม่มั่นใจในตัวเองขั้นสุด เราเป็นหลายโรคมากค่ะ เป็น Panic Disorder เริ่มเป็น Anxiety แล้วก็เป็น Depression เราไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ได้มีความคิดว่าฉันอยากตายอะไรอย่างนี้ แต่อาการของเราคือเห็นข้อดีของตัวเองไม่ได้เลย บอกว่าตัวเองสวย-ไม่ ร้องเพลงดี-ไม่ เก่งดนตรี-ไม่ คือโอเค คนอื่นจะพูดอะไรก็พูดได้ว่าเราเก่งนู่นเก่งนี่ แต่เรายืนยันว่าเราไม่เก่งนะ แล้วเราไม่ได้ถ่อมตัวด้วย คือกูไม่เก่งจริง ๆ ตอนไปหาหมอ หมอเลยบอกให้ไปหาข้อดีมาสิ หายไปอีกสองสามเดือน จนหมอลาออก เราก็ยังหาข้อดีของตัวเองไม่ได้เลย ซึ่งก็เป็นหนัก ๆ มากช่วงหนึ่งจนเราต้องหายไปเลย ไม่บอกใครเลย ไม่มีใครรู้เลย

น้ำพัก น้ำแรง และน้ำตาของโบกี้ไลอ้อน ศิลปินหญิงไทยที่มียอดฟังเพลงอันดับ 1 ของประเทศ
สนทนากับ BOWKYLION จากเด็กขี้กลัว โรคแพนิก การยึดติดความสมบูรณ์แบบ ไฟฝัน จนถึงบ้านหลังแรกที่ซื้อเอง

ขาดการติดต่อ ตัดขาดโลกภายนอกไปเลย

ค่ะ ค่ายโทรมาก็เราก็ตัดสาย ปิดเครื่อง ไม่ติดต่อกับใครเลย หายไปเลย พีอาร์ก็งงว่าเราไปไหนวะ เราก็ เออ ไม่รู้ เราคิดว่าตัวเองคงต้องเกิดมาทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะเราดูทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก็สงสารค่าย

เกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง แล้วอะไรสักอย่างที่ว่านั้นคืออะไร พอรู้ไหม

แต่งเพลงค่ะ แต่พอแต่งเพลงก็ไม่กล้าให้คนอื่นฟัง เราไม่ทำอะไรเลยนะตอนนั้น เรามีแฟนใช่ไหมคะ อยู่วง Safeplanet เขาไปทัวร์ เราก็ไปด้วย แต่ไม่ได้ทำอะไร ก็ไปด้วยเฉย ๆ แล้วเราก็สงสัยว่า “เออ ทำไมวะ เราก็ชอบเวทีนะ เราไม่เหมาะกับมันเหรอ”

ตอนนั้นทำอะไรบ้าง

เลี้ยงหมาไปวัน ๆ ทำอะไรไม่รู้ เงินก็ไม่มีเพราะไม่มีรายได้ เหมือนกินเงินเก่าไปวัน ๆ น่ะ แล้วก็งง ๆ สักพักไม่มีเงินเลย เลยต้องไปร้องกลางคืนค่ะ พอไปร้องกลางคืน ทีนี้เราก็งง ๆ ว่าทำอะไรอยู่

ไม่มีฟีดแบ็กจากแฟน ๆ บ้างเหรอว่าโบกี้ไลอ้อนหายไปไหน

เราไม่ค่อยอ่านเลยค่ะ เราหายไปเลย ไอจีก็ไม่ลงอะไรเลย ยอดฟอลก็ลด ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่เป็นไร ช่างมัน ทำอย่างอื่นแค่นั้นเอง ทำอะไรไม่รู้ไปเรื่อย เล่นกับหมา ไปช้อปปิ้ง แล้วเราดันเป็นคนที่มีงานอดิเรกคือแต่งเพลงกับวาดรูป พอว่างเลยคิดแต่เรื่องเพลง ฟังเพลง ทำเพลง ตอนนั้นก็ทำเพลงบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะปล่อย คิดว่าเป็นงานอดิเรก ก็ทำมาสองสามเพลงแล้วไม่มั่นใจเลย จนวันหนึ่งรู้สึกว่าหายไปจากค่ายเกือบปีแล้ว สงสารค่าย แต่พอค่ายติดต่อมาเราก็ไม่รับสาย มีปาร์ตี้อะไรอย่างนี้-ไม่ไป เรียกรวมศิลปิน-ไม่มา (หัวเราะ)

แล้วยังไงถึงกลับมาค่ายได้

ตอนนั้นมีเพลง แขนซ้าย แล้วก็อีกสองเพลง แล้วก็คิดว่าลองไปค่าย ตอนแรกที่เราเข้าไป ทุกคนก็แบบว่า “มันมาแล้วว่ะ มันยังไม่ตาย” ก็มาประชุม ตอนนั้นพี่บอลขอฟังเพลง เราไม่ให้ฟัง “อ้าว แล้วมึงมาทำไม” เออ กูมาทำไมวะ ก็ทะเลาะกับตัวเองแป๊บหนึ่ง (หัวเราะ) “เออ ให้ฟังก็ได้ แต่ท่อนเดียวนะ” คือเราดันแต่งเพลงมาแล้วไม่ให้ค่ายฟัง แล้วมันจะยังไงวะ (หัวเราะ)

เพราะรู้สึกว่าเรายังไม่ชอบมันเหมือนเดิม

ไม่รู้เลย สรุปก็คือไม่รู้ว่าชอบไหม แต่ว่าไม่มั่นใจ เลยให้ค่ายเลือกเพลง ค่ายเลยเลือกเพลง ‘แขนซ้าย’ ก็ลองทำต่อดู ทำไปทำมาพอเสร็จ “เชี่ย เพลงแรกที่เราแต่งเอง ลองดูวะ ปล่อยแล้วก็ไม่ได้ดังอะไร แต่ตอนนั้นค่ายเพลงก็งงว่าชื่อเพลงจะเอาชื่อนี้จริง ๆ เหรอ เราก็แบบ อืม มันน่าสนใจหรือเปล่า แต่ก็เอาชื่อนี้ ไม่ได้ดังแต่ก็รู้สึกว่าภูมิใจกับเพลงนี้นะ เป็นเพลงแรกเลยที่เรากล้าปล่อยออกมา หลังจากนั้นเลยทำเพลงไปเรื่อย ๆ ค่ะ พอรู้อีกทีก็รู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่ออันนี้แหละ

แล้วสภาพจิตใจหรือความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น พร้อมที่จะเจอผู้คนแล้ว

ไม่พร้อมเลย แต่ก็ตัดสินใจแล้วต้องเจอ บวกกับตอนนั้นต้องเล่นร้านด้วย รับอีเวนต์สลับกัน บางทีไปร้องเพลงตามร้าน เขาก็มาบอกว่าขอเพลง แขนซ้าย หน่อย เราดีใจมาก เพราะเราคัฟเวอร์เพลงคนอื่นมาตลอด ครั้งหนึ่งมีคนมาขอให้เล่นเพลงเราบ้าง “เชี่ย สิ่งที่เราแต่ง มันเข้าไปอยู่ในหูคนอื่นแล้วว่ะ” แต่ก็เป็นการเริ่มต้น ช่วงนั้นเป็นโรคแพนิกหนักมาก ๆ ด้วย จนพี่บอลให้ไปหาหมอจิตเวชอีก พี่บอลเหมือนเป็นพ่อเลย

สนทนากับ BOWKYLION จากเด็กขี้กลัว โรคแพนิก การยึดติดความสมบูรณ์แบบ ไฟฝัน จนถึงบ้านหลังแรกที่ซื้อเอง

คราวนี้หมอบอกว่ายังไง

เขาไม่บอกค่ะ น่าจะเป็นหลักของเขาที่ไม่บอกว่าคนไข้เป็นอะไร เพื่อไม่ให้เราตัดสินตัวเอง เราก็ถามนะ “หมอคะ บอกตรง ๆ เลยได้ไหมคะ เราเป็นอะไร?” เขาก็ตอบงึมงำ ๆ แต่เราเคยได้ใบส่งตัวจากหมอคนเก่ามาแล้ว มันเป็นภาษาอังกฤษแบบ lost f/u เราก็ไปเสิร์ชหาดู มันคืออะไรวะ เสิร์ชจนได้เรื่อง อ๋อ lost follow up ตั้งแต่ปีนี้ ๆ เป็น Depression อ๋อ โรคซึมเศร้า Anxiety อ๋อ โรคกังวล Panic Disorder แล้วเขาจะเขียนว่าไม่มีอาการทำร้ายตัวเอง ไม่มีอาการอารมณ์ร้อน แต่ว่ามีอาการไม่เห็นค่าตัวเอง อีกอย่างที่เป็นหนักจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคในการโชว์อย่างหนึ่ง ก็คือความเป็น Perfectionism เนี่ยแหละค่ะ คือเราเป็นหนักมากเลยนะคะ หนักกว่าที่ทุกคนรู้ คือเราไม่ยอมให้คนอื่นทำเลย เราทำทุกอย่างเอง แบกทุกอย่างเองโดยที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่หน้าที่เรา ดูสตอรี่บอร์ดเอ็มวีเองนี่ธรรมดาไป รูปเรายังรีทัชเองเลย (หัวเราะ) ใครทำอะไรให้ เราก็จะไปสิงเขา พี่ไม่ต้องค่ะ หนูทำเอง

แล้วอย่างนี้ความสัมพันธ์ของโบกี้กับผู้คนรอบตัวเป็นยังไงบ้าง คนเขาไม่เกลียดกันหมดเหรอ

เพิ่งถามไปเลยนะคะ “ทุกคนมีด่าเราบ้างหรือเปล่า” คือเราเป็นคนสิงทุกคน แต่ไม่ได้สิงด้วยความก้าวร้าวนะ เขาจะเข้าใจตั้งแต่เพลงสองเพลงสามแล้วว่า อีเด็กนี่ ปล่อยมันไป มันจะทำอะไรปล่อยมันไป เราจะวางแพลนทุกอย่าง ทำเองหมดเลย แต่ว่าค่ายก็ทำนะ ในส่วนงานของค่ายที่เราเข้าไปยุ่งไม่ได้

แต่หลังจากนั้นผลงานเพลงของโบกี้ไลอ้อนก็เป็นที่รู้จักมาก เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ใช่ตัวโบกี้อย่างที่เราเคยคิดอยากเป็นจริง ๆ ไหม

ไม่ค่อยหวังอะไรกับตัวเองค่ะ แต่ว่าเนี่ยแหละคือเรา เป็นเราจริง ๆ ค่ะ แค่ได้รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ก็พอแล้ว จริง ๆ เป้าหมายชีวิตของคนอื่นอาจจะอยากเป็นนักร้อง เรามีเป้าหมายเดียวก็คืออยากอยู่บ้านแล้วก็เลี้ยงหมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้มีเวลาทำงานศิลปะอยู่ในหัวตัวเอง โดยที่ไม่ต้องนำเสนอคนอื่นก็ได้ คิดให้มันสวยงามอยู่แค่คนที่เราอยากให้เห็นก็ได้ เป้าหมายหลัก ๆ คือเราไม่เคยมีบ้านเลยไง เราอยากซื้อบ้าน

ได้ข่าวว่าเพิ่งซื้อบ้าน

ค่ะ ได้ซื้อบ้านตอนนี้แล้วก็ “เชี่ย ชีวิตยังต้องการอะไรอีก”

ไม่คิดว่ามันจะมีอย่างอื่นอีกเหรอ ชีวิตยังมีอีกหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงนะ

ไม่มีเรื่องเพลงเลย คือเรารู้สึกเราไม่อยากคาดหวังกับตัวเอง เพราะว่าถ้าผิดหวัง เราจะเครียดกับตัวเองมาก ถ้าเป็นอย่างอื่น เราอาจจะอยากเลี้ยงม้า เลี้ยงกวางในบ้านค่ะ นี่ทะเลาะกับผู้จัดการทุกวัน

ทำไมล่ะ เลี้ยงกวางกับม้าก็ไปซื้อมาเลี้ยงสิ

คือเขาก็แบบ “มึงจะเลี้ยงกวางทำไม” เราบอกแฟนว่า “ตรงนี้จอดรถได้คันเดียวนะ ที่เหลือจะเอาไว้จอดม้า” แฟนเราก็จะแบบ “เป็นไรเนี่ย มึงตื่น!!” คือเราอยากเลี้ยงสัตว์จริง ๆ อยากอยู่กับสัตว์ เพราะมันทำให้เราผ่อนคลายมาก ๆ ไม่รู้สิ มันเป็นสิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่าชีวิตนี้อยากไปให้ถึง

การเลี้ยงสัตว์ใช่ไหม

ใช่ค่ะ เลี้ยงสัตว์เลย แล้วก็ทำฟาร์มให้มันดีที่สุดค่ะ เลี้ยงม้า เลี้ยงกวาง เลี้ยงแกะ อยากทำให้ดีที่สุด อยากเพาะพันธ์ุสัตว์อะไรอย่างนี้

สนทนากับ BOWKYLION จากเด็กขี้กลัว โรคแพนิก การยึดติดความสมบูรณ์แบบ ไฟฝัน จนถึงบ้านหลังแรกที่ซื้อเอง
สนทนากับ BOWKYLION จากเด็กขี้กลัว โรคแพนิก การยึดติดความสมบูรณ์แบบ ไฟฝัน จนถึงบ้านหลังแรกที่ซื้อเอง

เล่าเรื่องซื้อบ้านให้ฟังหน่อยว่า เป็นหมุดหมายอะไรบางอย่างของชีวิตหรือเปล่า

ใช่ เพราะเราไม่เคยมีบ้านเลย บ้านปัจจุบันที่อยู่ก็เป็นบ้านที่แฟนซื้อ ซึ่งไม่ได้นับว่าเป็นบ้านเราอยู่ดี เลยรู้สึกว่าถ้าเรามีบ้าน มันน่าจะดีที่สุดเลย คือเป็นคนที่ชอบอยู่บ้านอยู่แล้ว แล้วก็อยากให้หมามีที่วิ่งเล่นด้วยค่ะ เราซื้อประมาณเดือนมิถุนายน ก่อนหน้านั้นพี่สาวยังชี้บ้านหลังหนึ่งให้เราดูอยู่เลย แล้วก็บอกซื้อที่นี่ไหม ไม่แพง ประมาณสี่ล้านเราก็แบบ “ไม่มีเงิน ไม่ซื้อละกัน” โบเป็นคนไม่กล้าผ่อนอะไรด้วยค่ะ เป็นคนที่ซื้ออะไรก็คือจะจ่ายสด ให้มาผ่อนเนี่ยเครียดตายเลย ก็เลยไม่ซื้อ แล้วหลังจากนั้นเพื่อนก็ชวนไปดูบ้าน ไปดูตรงนี้ไหม เออ สวยดี เออ ซื้อเลย

มีเงินอยู่พอดี

ไม่มี (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ต้องเป็นของเรา เราไม่เคยเจอบ้านที่มองแล้วรู้สึกว่ามันต้องเป็นของเรา ปกติเวลาดูบ้าน โอเค สวยคือสวย แต่อันนี้มันต้องดูทุกคืน ถ่ายรูปมาแล้วก็ “เชี่ย มันต้องเป็นบ้านเราว่ะ” ราคาสิบสี่ล้าน

เดี๋ยว สี่ล้านซื้อไม่ไหว เลยซื้อสิบสี่ล้าน

ผ่อนค่ะ ผ่อนก็ผ่อนวะ ยังคิดอยู่เลยตอนปลายเดือนเมษายน สี่ล้านกูไม่ไหว แต่นี่กูจะผ่อนสิบสี่ล้าน แฟนก็แบบ ใจเย็น แต่เราเป็นคนที่ถ้าเราจะเอาอะไรก็เอาเลย เราเชื่อ First Impression ของตัวเองมาก

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนชีวิตต้องการอะไรอีกไหม

เงิน (หัวเราะ) นอกจากเงิน ก็ต้องการสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ตายก็บุญแล้วล่ะทุกวันนี้

แล้วเรื่องสุขภาพจิตใจเป็นยังไง โบกี้จะหายไปนาน ๆ อีกหรือเปล่า

พูดยากค่ะ ตอนนี้ดีอยู่ค่ะ เรียกว่าดีอยู่ ตอนนี้มีความสุขกับชีวิตมากเลยค่ะ มีบ้าน มีเพื่อนที่ดี มีค่ายที่ซัพพอร์ตเรา เพลงก็กำลังจะปล่อย ไฟก็ยังมีอยู่

สนทนากับ BOWKYLION จากเด็กขี้กลัว โรคแพนิก การยึดติดความสมบูรณ์แบบ ไฟฝัน จนถึงบ้านหลังแรกที่ซื้อเอง

Writer

Avatar

จักรพันธุ์ ขวัญมงคล

บรรณาธิการ นักเขียน นักแปล

Photographer

Avatar

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

ปัจจุบันกำลังหัดนอนก่อนเที่ยงคืน