เบิ้ล-อาทิตย์ สมน้อย ชายผู้เกิดและเติบโตมาในจังหวัดอำนาจเจริญ ก่อนเขาแจ้งเกิดเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง สังกัดอาร์สยาม ด้วยบทเพลง อ้ายมีเหตุผล ชีวิตเบิ้ลโลดโผนโจนทะยานจนเกือบเหลือเพียงชื่อและร่างไร้วิญญาณ 

หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8

อดีต เขาคือตัวตึงหน้าฮ้านหมอลำ – ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงเป็นเช่นนั้น เราสงสัย

“ผมรักการตีรันฟันแทง (ขนาด 4KINGS ไหม) หนักกว่า 4KINGS อีก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เพราะอะไร เด็กวัยหัวเลี้ยวหัวต่อถึงมีความทะยานอยากในการก่อวิวาทขนาดนั้น

“เพราะผมไม่มีจุดหมายในชีวิต อยู่รอดไปวัน ๆ ผมสันโดษด้านความคิด ไม่ฟังใครและมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ผมไม่สันโดษด้านมิตร ผมมีเพื่อนอายุเยอะกว่ามาก แต่ละคนกินเหล้าเมายาทั้งนั้น”

แล้วจุดเปลี่ยนคืออะไร “ความเชื่อ ผมเชื่อว่าตัวเองจะดีกว่านี้ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8

ปัจจุบัน เขาคือนักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง พิธีกร ยูทูบเบอร์ พร้อมด้วยบทบาทใหม่ที่คุณไม่เคยเห็นผ่านจอไหน – พระเอกจอแก้ว จากละคร เพลงรักรอยแค้น ฉายทางช่อง 8 ประกบนางเอก ใบหม่อน-กิตติยา จิตรภักดี และเบิ้ลร่วมแสดงกับนักแสดงรุ่นพี่มากประสบการณ์อย่าง เคลลี่-ธนะพัฒน์ และ จอย-ดร.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค

ละคร เพลงรักรอยแค้น เป็นละครพื้นบ้านผสมผสานเพลงฮิตจากค่ายอาร์เอส เป็นเรื่องราวความบาดหมางตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ทว่าความชังไม่ได้ส่งผ่านมาถึงรุ่นลูก ความรักของหนุ่ม-สาวสองบ้านก่อตัวขึ้น แต่ดันถูกกีดกันด้วยความแค้น เป็นผลให้พระ-นางมีอุปสรรคในการพบรัก แต่ละฉากเบิ้ลต้องใช้บทเพลงสื่อสารแทนความรู้สึก

นับเป็นความท้าทายของหนุ่มวัยย่าง 27 กับการแสดงละครยาวเรื่องแรกในชีวิต

และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่ ‘เบิ้ล ปทุมราช’ ปาดน้ำตา หยาดน้ำใสปนเปี่ยมด้วย ‘ความจริง’ และ ‘ความภูมิใจ’ ของชายผู้กล้าขอบคุณตัวเอง พรสวรรค์ และพรแสวง ที่ทำให้เขากลายเป็น เบิ้ล ปทุมราช ในวันนี้

เป็นนักร้องอยู่ดี ๆ ทำไมคุณตัดสินใจรับบทพระเอกละคร (เรื่องแรกในชีวิต)

ผมลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะรับหรือไม่รับ เพราะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมามีสิ่งที่อยากทำและสิ่งที่ต้องทำเสมอ และผมเชื่อว่าโอกาสจะมาหาคนที่พร้อม ซึ่งสุดท้ายวลีนั้นไม่มีอยู่จริงหรอกครับ

โอกาสจะมาหาคนที่ไม่พร้อม แต่อยากทำ และผมคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ 

ความท้าทายของพระเอกหน้าใหม่แกะกล่องคืออะไร

ผมต้องมาคิดเรื่องค่าตัวว่าคุ้มหรือเปล่า (คุ้มไหม) คุ้มนะ (หัวเราะ)

ขอถามอีกครั้ง ด้วยคำถามเดิม

ในช่วงแรกผมกดดันสุด ๆ จะทำได้ไหม จะทำให้พี่ ๆ นักแสดงรู้สึกว่าผมเป็นตัวถ่วงหรือเปล่า แต่พอทำงานจริง ผมกลับไม่ได้รับความกดดัน แต่ได้รับคำสอนจากพี่ ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมเองก็ต้องทำการบ้านมาก่อนด้วย

ยังไง

ผมศึกษามาก่อนว่าพี่ ๆ เป็นคนยังไง เล่นละครแบบไหน จนละลายพฤติกรรม พอสนิทก็ยิ่งกล้าเล่น และผมได้เห็นแววตาของนักแสดงมืออาชีพ นั่นทำให้ผมยิ่งเชื่อในตัวละครที่พี่ ๆ ได้รับ และมันส่งต่ออารมณ์มาถึงผมได้จริง ๆ

กลายเป็นผมแม่งรักบทปกรณ์ (ชื่อพระเอก) และเชื่อว่าตัวผมคือปกรณ์

หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8
หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8

คาแรคเตอร์ของปกรณ์ เหมือน เบิ้ล ปทุมราช ไหม

เหมือนเบิ้ลประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ชอบร้องเพลง ตลก ขี้เล่น

ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ ผมยกให้เป็นซีนดราม่าแห่งปี เพราะฉากดราม่าหนักหน่วงมาก ผมไม่ใช้น้ำตาเทียมเลย 

แล้วคุณร้องไห้ออกมาได้ยังไง

ถ้าเป็นสมัยเล่นเอ็มวีตอนอายุ 18 – 19 คงใช้เรื่องราวเศร้า ๆ ในชีวิตจริงมาสร้างอารมณ์ แต่ในละคร เพลงรักรอยแค้น ผมรักในตัวละครปกรณ์ ณ เวลานั้นผมเชื่อเขา อีกอย่างผมเข้าใจตัวละครและเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับปกรณ์ ผมจึงไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองหรือหยอดน้ำตาเทียมแล้วฝืนแสดงสีหน้าออกมา 

ยิ่งฉากโดนกระทืบหรือฉากหักห้ามใจไม่ให้รักคนที่รักเรา มันกระชากหัวใจมาก ๆ เพราะปกรณ์เป็นคนซื่อสัตย์ต่อความรัก เขาเติบโตมาด้วยความแค้นของพ่อแม่ แข็งแรงด้วยความแกร่งของตัวเอง แม้ต้องอยู่กับครอบครัวที่ไม่พร้อมด้วยความสุข แต่ปกรณ์สร้างความสุขให้ตัวเองด้วยเสียงเพลง จนมันพาเขาไปเจอผู้หญิงที่รัก

ละครเรื่องนี้ มีเพลงประกอบที่คุณต้องทำการบ้านหนักมาก

เพลง รอยร้าว เป็นเพลงที่คำเยอะ ต้นฉบับร้องไว้ดีมาก มีอารมณ์เพลงและดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ พอนำมาแปลงเป็นเพลงแนวลูกกรุงเพื่อให้เข้ายุคสมัยของละคร เลยมีความยาก ทั้งทำนอง เนื้อหา และการเน้นเสียง

ผมต้องรวบรวมความรู้สึกทั้งหมด ร้องให้อิ่มที่สุด เพื่อสื่อความหมายในทุกฉากของละคร

แต่มี 1 เพลงที่เป็นตัวตน เบิ้ล ปทุมราช แบบสุด ๆ นั่นคือ

เพลง ปากหมา (แต่ว่าจริงใจ) คนในกองถ่ายอวยยศให้ผมเป็นเด็กปากหมาที่สุดในกอง ผมขี้เล่น แต่จริงใจ เพราะอยากให้คนรอบข้างมีความสุข พอเข้าสู่โหมดจริงจังก็จริงจังมาก นอกจอก็เล่นสุดเหมือนกัน ทุกคนขำ ตากล้องขำ ขำจนกล้องสั่น ซึ่งในชีวิตจริงก็เป็นเหมือนเพลง ตอนที่กำลังคุยกับคุณก็เหมือนกัน (หัวเราะ)

หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8
หยาดน้ำตาของ เบิ้ล ปทุมราช ถึงตัวเขาในวัย 18 นักเลงหน้าฮ้านหมอลำสู่พระเอกละครช่อง 8

แล้วฉากไหนที่พระเอกคนนี้ประทับใจตลอด 60 คิวของการถ่ายทำ

เอาฉากประทับใจสุด ๆ หรือประทับใจทั่วไป

สุด ๆ

คงเป็นฉากแรกครับ อาจเป็นฉากธรรมดาที่สุดของละครเรื่องนี้ แต่เป็นฉากที่สำคัญและมีคุณค่ากับผมมาก

มันถือว่าเป็นฉากที่ผมรับบทพระเอกละครอย่างเต็มตัว

ฉากที่ปกรณ์แสดงกับคุณพ่อ คุณก็อินมาก ๆ เหมือนกัน

ในละครคุณพ่อเป็นคนสู้ชีวิตมาก พิการแต่ยังปากดี ชอบประชดประชัน ที่จริงเขาก็เป็นคนมีปม เป็นคนพิการที่ช่วยเหลือใครไม่ได้ แต่วันหนึ่งเขาตั้งใจมาดูลูกชายแสดงคอนเสิร์ต มันเป็นฉากกระชากหัวใจผมตรงที่ แม้เป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ คนเป็นพ่อก็ยังอยากเห็นความสำเร็จของลูกเสมอ แววตาของคุณพ่อ เขาเห็นมากกว่าการที่ลูกมีชื่อเสียง แต่เขาเห็นลูกมีความสุข และสิ่งที่เขาห่วงลูกที่สุดก็ไม่ใช่ชื่อเสียง แต่เป็นสุขภาพ ซึ่งนั่นคือชีวิตจริงของพ่อแม่ผม

พ่อแม่ผมไม่ได้มองว่าผมจะดังไปอีกนานแค่ไหน แต่เขามองว่าลูกชายของเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำมากแค่ไหน และเขาไม่ห่วงว่าชื่อเสียงของผมจะตกลงไหม แต่เขาห่วงว่าสุขภาพของผมจะดีหรือเปล่า

แล้วในฐานะพระเอกจอแก้ว หัวใจสำคัญของการเป็นนักแสดงคืออะไร

คำตอบอยู่ในคำถามนั่นแหละครับ สิ่งนั้นคือ ‘หัวใจ’

นักแสดงต้องมีหัวใจที่รักในการแสดง เพราะหัวใจนำพาไปสู่สมาธิ มันทำให้ผมอยากทำหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ถ้าผมไม่มีใจ แม้จะเก่งแค่ไหนก็เล่นได้ไม่เกิน 10 จาก 100 เปอร์เซ็นต์ที่ตัวเองตั้งไว้

ก่อนย่ำเท้าเข้าวงการบันเทิง คุณเคยคิดไหมว่าวงการนี้มันไกลตัวเหลือเกิน

ผมเคยดูละคร ทุกคนจะพูดว่าวงการบันเทิงคือ วงการมายา เป็นวงการที่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน

จริงไหม

พอผมเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ผมว่ามันใช่ 50 เปอร์เซนต์ และไม่ใช่ 50 เปอร์เซนต์ 

ผมยังเชื่อว่ามีคนสวมหน้ากากเข้าหาผมอยู่ตลอดเวลา ถึงผมจริงใจแค่ไหน ผมก็จะเจอคนแบบนี้ ผมรู้ว่าแต่ละคนล้วนมีเหตุผลในการใส่หน้ากาก การใส่หน้ากากอาจไม่ได้หมายถึงความมายา แต่เป็นเหตุผลส่วนบุคคลที่ผมไม่สามารถถามเขาได้ บางทีอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดี หรือเป็นการอยู่รอดในวงการโดยไม่บาดหมางกัน

การใส่หน้ากากไม่ได้น่าเกลียด เพราะการพูดตรง ๆ อาจทำให้ผมอยู่บนเส้นบาง ๆ ของการไม่มีมารยาท

วงการบันเทิง ที่คุณเคยเข้าใจว่าเป็นวงการมายา มันสอนอะไรคุณบ้าง

วงการนี้สอนให้ผมรู้ว่า ตอนเป็นเด็กผมคิดเสมอว่าเงินสำคัญ จนผมรู้ว่ามันคือเรื่องจริง

เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้ แต่มันบรรเทาความทุกข์ของครอบครัวผมได้ แต่เงินจะไม่สำคัญเลยถ้าสิ่งนั้นใช้เงินซื้อไม่ได้ (อะไรที่เงินซื้อไม่ได้) ความจริง เงินซื้อความจริงไม่ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่ผมพูดได้เต็มปากโดยไม่ต้องคิด

คุณว่าอะไรเป็นเหตุผลให้ เบิ้ล ปทุมราช ยังยืนหยัดอยู่ในวงการ

หัวใจและความจริง (ตอบทันที)

ผมอยู่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น อยู่ด้วยหัวใจที่ไม่หยุดพัฒนา อยู่ด้วยหัวใจที่สร้างพรแสวงในทุกวินาที

ส่วนความจริง ก็คือตัวผม เบิ้ล ปทุมราช ที่เป็นแบบนี้ พูดแบบนี้ คิดแบบนี้

ความคิดของ เบิ้ล ปทุมราช ดูเปลี่ยนไปเยอะ จากวันแรกที่เซนต์สัญญาเป็นนักร้อง

มาก ถ้าผมพูดแบบดูถูกตัวเองเลยนะ เหมือนคนละคนเลยครับ

สิ่งที่เบิ้ล อายุ 18 ยังเหลืออยู่ คือความเชื่อว่าตัวเองร้องเพลงได้และร้องเพลงดี นอกนั้นไม่เหลือแล้ว 

อ้าว แล้วตอนนี้คุณเป็นเบิ้ลแบบไหน

เป็นเบิ้ลที่เข้าใจ เข้าใจความเป็นตัวเองมากขึ้น เข้าใจความต้องการของตัวเองมากขึ้น

ตอนเป็นเด็ก ผมมีความต้องการสูงเกินไปจนไม่รู้ว่า ถ้าผิดหวัง ผมจะเจ็บปวด ตอนเริ่มต้นเป็นนักร้อง ผมมีเป้าหมายว่าอยากใช้หนี้ให้แม่ พอใช้หนี้จนหมด ก็ตั้งเป้าว่าอยากมีเงินเดือนละล้าน 2 ล้าน 3 ล้าน พอผมทำไม่ได้ ก็ผิดหวังกับสิ่งที่คาดหวัง ทุกวันนี้ผมเลยใช้ชีวิตโดยไม่คาดหวัง แต่ตั้งใจทำทุกวินาทีให้ดีที่สุด

แสดงว่าคุณไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้วหรอ

เป้าหมายในชีวิตของผม คือการเห็นตัวเองมีความสุข เห็นคนรอบข้างมีความสุข

เห็นคนลำบากเสมอตัว และเห็นคนรวยพร้อมที่จะแบ่งปัน

เบิ้ลชอบตัวเองตอนเป็น อาทิตย์ สมน้อย ไหม 

ชอบ เพราะตอนนั้นมันไม่มีความเครียด ผมไม่รู้ด้วยว่าการเป็น เบิ้ล ปทุมราช มันจะเครียดขนาดไหน

ทุกวันนี้คุณเครียดกับเรื่องอะไร

ผู้คนและความคิดของผู้คน เป็นความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมา โดยความคิดนั้นบางครั้งทำให้ผมลำบากใจ

แล้วอาทิตย์ชอบตัวเองตอนเป็น เบิ้ล ปทุมราช ไหม

ผมรักในความเป็น เบิ้ล ปทุมราช ถ้าย้อนเวลาได้ ก็จะเกเร แล้วก็เป็นนักร้องเหมือนตอนนี้แหละ (หัวเราะ)

เบิ้ล ปทุมราช อยากพูดอะไรกับ อาทิตย์ สมน้อย ไหม ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักการตีรันฟันแทง และอยู่รอดไปวัน ๆ โดยไม่มีแม้แต่จุดหมายในชีวิต

อยากจะบอกว่า (นิ่งคิด) มึงเก่งมาก ผมจะร้องไห้ครับ (เราปล่อยให้เขาใช้เวลากับตัวเอง)

ผมอยากชมมันว่า มึงเก่งมากที่กล้าเดินออกจากบ้านเพื่อมาพบเจอผู้คนที่ไม่รู้จัก

มึงเก่งมากที่อดทนรอโอกาสที่เหมาะสมและใช้ความสามารถตรงนั้นนำพาตัวเองมาถึงจุดนี้

มึงเก่งมากที่ไม่ทิ้งทีมงาน ไม่ทิ้งครอบครัว 

ผมอยากชมให้เขารู้ตัว ทั้งที่ผมรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผมก่อนมาเป็น เบิ้ล ปทุมราช ผมไม่อยากว่าเขา เพราะเขาเคยผ่านการดูถูก ซึ่งผมไม่ชอบการดูถูก คนชอบคิดว่าการดูถูกคือแรงผลักดัน จริง ๆ ไม่ใช่

คำดูถูกคือคำดูถูก คำติคือคำติ คำชมคือคำชม ผมแยกแยะได้ 

แต่ อาทิตย์ สมน้อย ผ่านมาแล้วทุกอย่าง ผมอยากชมเขา ให้เขามีความสุขเหมือนผมในตอนนี้

(เขาตอบคำถามด้วยเสียงสะอื้น ก่อนปาดน้ำตาตอบคำถามสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม)

ชีวิตนี้ เบิ้ล ปทุมราช อยากขอบคุณใครมากที่สุด

ผมอยากขอบคุณตัวเองที่ไม่กัดลิ้นตายตอนออกจากท้องแม่ (หัวเราะ) 

ขอบคุณพรสวรรค์จากลมหายใจของพ่อแม่ และขอบคุณพรแสวงที่พา เบิ้ล ปทุมราช มาอยู่ตรงจุดนี้ได้ 

Writer

สุทธิดา อุ่นจิต

สุทธิดา อุ่นจิต

กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ สู่ ลาดพร้าว - สุขุมวิท , พูดภาษาพม่าได้นิดหน่อย เป็นนักสะสมกระเป๋าผ้า ชอบหวานน้อยแต่มักได้หวานมาก

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล