ชีวิตมีความหมายในตัวมันเอง ไม่ว่าเราจะรู้ว่ามันมีความหมายหรือไม่

วง Getsunova ประกอบด้วยหลายชีวิต ได้แก่ เนม-ปราการ ไรวา นักร้องนำ, นต-ปณต คุณประเสริฐ มือกีตาร์, นาฑี-นาฑี โอสถานุเคราะห์ มือกีตาร์ และ ไปร์ท-คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ มือกลอง

เพลงที่ทำให้ผมรู้จักวงดนตรีวงนี้คือ ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ที่สร้างปรากฏการณ์เป็นเพลงไทยเพลงแรกที่มียอดวิวในยูทูบเกินร้อยล้าน

มาถึงทุกวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากวันนั้น ยอดวิวเพลงที่ว่ามาไกลถึง 255 ล้าน ส่วนวงของพวกเขากลายเป็นวงที่มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเพลงล่าสุดอย่าง ชีวิตเดี่ยว ที่ได้แต่งให้นักร้องขวัญใจในวัยเด็กอย่าง พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์

แค่เพลงเดียวก็ดังเลย

หลายคนคงรู้สึกแบบนั้นกับพวกเขา เมื่อเพลง ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อได้นั่งฟังถึงเส้นทางดนตรีที่ผ่านมาของวง ทำให้ผมพบว่าพวกเขาเป็นวงดนตรีที่น่าเห็นใจไม่น้อย

ด้วยความที่สมาชิกในวงแต่ละคนมาจากบ้านที่มีฐานะ สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยเรียกขานพวกเขาว่า วงดนตรีไฮโซ ทำให้บ่อยครั้งหลายคนอาจลืมไปว่าชีวิตพวกเขาเองก็มีสิ่งที่ต้องฟันฝ่า มีขวากหนามที่ผ่านมา มีปมที่ต้องแก้ให้ได้ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

และต่อไปนี้คือ ชีวิตของพวกเขา

Getsunova

1

ชีวิตไม่ง่ายอย่างที่คิด

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของวง มาจากช่วงที่เนมและนตพบกันในช่วงที่ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ด้วยความชอบในดนตรี พวกเขาจึงรวมตัวเพื่อนที่รู้จักกันอยู่แล้วอย่างนาฑีและไปร์ท ตั้งวงที่ชื่อ Getsunova ร้องเล่นกันตามประสาคนหนุ่มที่มีพลัง มีความใฝ่ฝัน

ตอนนั้นจริงจังในการทำเพลง ซ้อม เล่น แต่ไม่ได้จริงจังว่าจะต้องประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมว่ามันคือวัยรุ่นที่อยากทำเพลง อยากเล่นอะไรก็เล่นเลย จังหวะนั้นคงไม่ได้มานั่งคิดว่าคนทั้งประเทศเขาจะฟังเราหรือเปล่า ผมว่ามันไม่มีตรงนั้นอยู่ในหัว มันคือความสนุก ความอยาก อย่างเดียวเลย แต่ถามว่าจริงจังไหม จริงจังแน่ๆ ซ้อมกัน เล่นกันเกือบทุกวันเลย”

“ตอนนั้นความฝันในการเป็นศิลปินห่างไกลความจริงไหม” ผมโยนคำถามลงกลางวงสนทนา

ไม่ห่างไกล เพราะว่าเนมเคยมีอัลบั้มเดี่ยวมาแล้วตอนนั้น ก็เลยมาขายฝันให้เพื่อนๆ” เนมซึ่งเป็นนักร้องนำของวงย้อนเล่าเคล้าเสียงหัวเราะ “แต่หารู้ไม่ 10 ปีหลังจากนั้นกว่าจะมีอัลบั้ม”

10 ปี เป็นเวลานานแค่ไหน อยู่ที่เราใช้มันไปกับอะไร ซึ่งสำหรับพวกเขา 10 ปีนั้นนานแน่นอน เมื่อมันหมดไปกับสิ่งที่เรียกว่า การรอคอย

พวกเขาเล่าว่า ทำอัลบั้มกันเสร็จแล้วด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเพลงที่ทำปล่อยออกมาไม่มีทีท่าว่าจะประสบความสำเร็จ ไม่มีเพลงใดเป็นเพลงฮิต ค่ายที่พวกเขาสังกัดในตอนนั้นจึงยังไม่ปล่อยอัลบั้ม

เขาใช้คำว่าชะลอไว้ก่อน ไม่ได้ทิ้ง เหมือนกับว่าอาจจะได้ออก มีสิทธิ์จะได้ออก ถ้ามีเพลงดังสักเพลงเดี๋ยวออกอัลบั้มให้ แต่มันก็ชะลอจนจอดนิ่ง เราก็รอ” พวกเขาช่วยกันเล่าถึงช่วงเวลาที่เคว้งคว้างที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต “คือถ้าสุดท้ายมันไม่ได้มีเพลงดัง มันไม่ได้มีเพลงฮิต สุดท้ายอัลบั้มมันก็ไม่ได้มีความหมายขนาดนั้นอยู่ดี เขาก็เลยไม่ให้ออก ซึ่งแน่นอนมันเป็นธุรกิจ มีการลงทุน มีการขาดทุน กำไร เรื่องเหล่านี้ตอนนั้นเรายังเด็กก็ยังไม่อยากเข้าใจเท่าไหร่

หลังจากนั้นเราก็เริ่มโตแล้วจากวันแรกที่เราปล่อยซิงเกิลไปปี 2007 มาถึงปี 2012 พอ 5 ปีผ่านมาเราเริ่มโต เราเริ่มรู้สึกมีบาดแผลจากสงครามการปล่อยซิงเกิลที่หนึ่ง สอง สาม ถึงหก จำได้ว่าเราเองรู้สึกอายเวลาออกไปเล่นคอนเสิร์ต เรามีเพลงตั้ง 6 ซิงเกิล แต่คนไม่รู้จักสักซิงเกิลเลย ตอนนั้นมันไม่มีคนดู มันมีหลายโมเมนต์มากที่ไปร้อง คือเราก็ตื่นเวทีอยู่แล้ว แล้วเราต้องมาพยายามร้อง เล่นดนตรีให้คนมาชื่นชอบเราในวันที่เรารู้ว่ายังไม่มีใครชอบเราขนาดนั้น มันโหดร้ายมากต่อจิตใจ แล้วมันยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่ดี ด่ากันเองบ้าง นอยด์บ้าง กดดันกันเองบ้าง เราอยากจะให้มันดีแต่คนไม่เอา” เนมเล่าถึงเรื่องเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้

แค่เพลงเดียวก็ดังเลย

หลายคนคงรู้สึกแบบนั้นกับวงดนตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ แต่เมื่อฟังเขาเล่าผมก็พบความจริงที่ว่าประโยคนั้นไม่ใช่ความจริง

Getsunova Getsunova

2

ชีวิตต้องสู้

เราแค่อยากเล่นคอนเสิร์ตหรือเราอยากเล่นคอนเสิร์ตด้วยเพลงของเราแล้วคนรู้จัก คนร้องตามกันได้ มันก็เลยมีจุดเปลี่ยนตรงนั้น” เนมเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ในเมื่อปัจจัยภายนอกเปลี่ยนยาก เขาจึงเริ่มเปลี่ยนจากภายใน เปลี่ยนที่ตัวเอง

มันมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ออกผลงานไปนานเหมือนกัน ก่อนจะปล่อยซิงเกิลชื่อ ดอกไม้ปลอม หลังจากทิ้งมาประมาณปีหนึ่ง แต่เหมือนเพลง ดอกไม้ปลอม ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เราก็เลยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องของค่าย ไม่ใช่เรื่องอะไรข้างนอก แต่มันคือเรื่องของคนภายใน สิ่งที่เราทำลงไปมันไม่ได้ตอบโจทย์

เรารู้สึกว่าถ้าจะทำเพลงแล้วต้องไปกระทบกับผู้ใหญ่ที่เขาดูแลเรา มันไม่น่าจะถูกต้อง การทำสิ่งนี้ไม่น่าจะใช่การตอบสนองความสุขของเด็ก 4 คน แล้วบริษัทต้องมาแบกรับ นั่นก็เป็นจุดหนึ่งที่เรามาคิดว่าจะทำยังไงกับวงให้มันมีมูลค่า เอาง่ายๆ ก็คือให้มันขายได้”

คำถามที่เหมือนง่ายๆ แต่บางวงใช้เวลาหาทั้งชีวิตก็ยังไม่ค้นพบคำตอบ ทำให้พวกเขาต้องกลับไปคุยกันว่าจะไปในทิศทางใด

“เท่าที่ฟังมันมีองค์ประกอบทุกอย่างที่จะทำให้ทุกคนเลิกทำ คนก็ไม่ฟัง อัลบั้มก็ไม่รู้จะออกเมื่อไหร่ ทำไมยังคิดจะดิ้นรนกันอีก ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่าทุกคนก็ไม่เดือดร้อนหากไม่ได้ทำดนตรี เพราะที่บ้านก็มีงานรองรับ” ผมถามให้พวกเขาได้ทบทวน

ตอนนั้นพี่เนมก็พูดว่า ถ้าเพลงต่อไปเราไม่ได้ในระดับที่เราพึงพอใจก็พอเหอะ” นตย้อนเล่าว่าความคิดที่จะเลิกก็มีอยู่ในหัว แต่ไหนๆ ก็ยื้อกันมาถึงจุดนั้นแล้ว ก็ขอสู้กันอีกสักตั้ง ถ้าจะไม่สำเร็จพวกเขาก็พร้อมยกธงยอมแพ้ “ทุกคนก็พยายามหาตัวตนของเรากันใหม่ เหมือนรีเสิร์ชกันใหม่ ไม่ใช่ว่า โห กูเป็นเด็กนอกกูต้องทำเพลงนอก กลับมาทำเพลงง่ายๆ บ้าง แล้วก็ใช้เวลา 1 ปี กว่าจะกลับมาทำเพลงกันอีกครั้ง

ตอนนั้นไม่ได้กดดันแล้ว เพราะเราสู้เหมือนเราไม่เหลืออะไรแล้ว เราก็แค่ทำให้ดีที่สุด มันไม่ได้มีการคาดหวังหรืออะไร เราแค่พยายามผลักให้สุดเท่าที่จะทำได้”

สุดท้ายนตจึงแต่งเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา เป็นเพลงสุดท้ายที่เดิมพันว่าพวกเขาจะได้ไปต่อหรือแยกย้าย

เพลงนั้นชื่อว่า ไกลแค่ไหน คือ ใกล้

ธงไชย แมคอินไตย์

3

ชีวิตเปลี่ยน

ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ คือเพลงไทยเพลงแรกที่มียอดวิวในยูทูบเกินร้อยล้าน และวันนี้มียอดวิวในยูทูบ 300 ล้าน

ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ทำให้วงของเขาคว้ารางวัลไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด ครั้งที่ 6 สาขาเพลงแห่งปี

ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ทำให้วงของเขาเป็นที่รู้จัก

ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ทำให้เขายังอยู่มาจนถึงวันนี้

“มันก็คงจะโชคดีหลายๆ อย่าง ช่วงนั้นไม่มีเพลงดัง ไม่มีเพลงไหนช้าๆ เป็นตัวเป็นตนในวงการ เราปล่อยไปเป็นจังหวะที่ดี มันน่าจะโดน เพราะเนื้อหามันคนรู้สึกได้ง่าย มันมีทั้งคนที่อกหัก ถูกบอกเลิก หรือมีคนรักอยู่แล้วรักไม่เหมือนเดิม หรือคนแอบชอบก็รู้สึกได้

เราก็พยายามกลับมานั่งมองว่าเราทำอะไรถูกบ้าง เพราะตอนที่ทำก็ไม่รู้หรอก เราแค่รู้ว่าเราทำอะไรผิดมาแล้ว ไอ้ที่ทำตอน 6 ซิงเกิลแรกคืออย่าทำ อันที่ 7 คือเราถึงรู้ว่าถูกอันแรกคืออะไร จังหวะนั้นเราฟังมันก็เพราะนะ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะทำให้เรามาถึงทุกวันนี้” นตซึ่งเป็นคนแต่งเพลงต่อชีวิตย้อนทบทวน

ชีวิตมันเปลี่ยนไปยังไง หลังจากเพลงนี้

“จากนอนอยู่บ้านเดือนหนึ่ง 30 วัน กลายเป็นอยู่บ้านเดือนหนึ่ง 7 วัน หลังจากนั้นก็เริ่มมาเรื่อยๆ” ไปร์ทเล่าก่อนที่เนมจะสมทบเพื่อน “ชีวิตเปลี่ยนอย่างที่ไปร์ทบอก อยู่ดีๆ ก็ได้ไปเล่นต่างจังหวัด ได้ไปลงสนามจริง ตอนเจอสถานที่ เจอคน แล้วช็อก เพราะว่าคนมาดูต้องการฟังวงที่มีคุณภาพ แต่ศักยภาพเราตอนนั้นยังไม่ถึงขั้นนั้น performance เรายังไม่แข็งแรง เลยแบบมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตอนนั้นเราต้องแบกรับตัวเพลงที่ค่อนข้างจะดังมากๆ ด้วย แล้วโชว์มันไม่ได้เล่นแค่เพลงเดียว ค่ายเลยบอกว่าต้องพักงานมาฝึกก่อน ตอนนั้นได้พี่พล (คชภัค ผลธนโชติ) เป็นโปรดิวเซอร์ เขาก็พาไปเข้าค่ายฝึก ตั้งแต่เล่นอะคูสติก ต้องมองตาแล้วรู้ใจ ไม่ใช่ต่างคนต่างเล่น มันต้องผสมผสานกัน”

ด้วยตัวเลขคนฟังที่หลอกลวงกันไม่ได้และรางวัลมากมายที่คว้ามาครอง ทำให้หลายคนมองว่าวง Getsunova ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาบอกว่ายังอีกไกลหากจะใช้คำนั้น

ตอนนั้นในหัวถ้าถามว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง ต้องบอกว่าอีกไกลมาก เพราะกลายเป็นว่าพอเราตีประตูแตกไปแล้วอันหนึ่ง เราเจอประตูอีกเยอะมากหลังจากนั้น ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยนึกถึงประตูเหล่าหน้านั้นมาก่อนเลย วันแรกที่เราผลักประตูแล้วได้เพลงฮิตหนึ่งเพลง โห เห็นประตูบานเลยข้างหลัง ที่เราต้องไปเปิดต่อ นั่นแหละเป็นเพลงต่อๆ มาที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ”

“แล้วทุกวันนี้ตลกมาก เวลาไปเล่นที่ไหน คนแบบอยากฟังเพลงเก่าเพลงนี้ อยากฟังเพลง เศษส่วน เพลงนั้นเพลงนี้ เมื่อก่อนเราปล่อยไปทำไมไม่ฟังกันนะ ไม่งั้นพวกเรารอดไปนานแล้ว”

สิ้นประโยคของเนมพวกเราก็หัวเราะให้กับเรื่องราวที่เกือบทำให้เราไม่ได้มาเจอกันในวันนี้

Getsunova ธงไชย แมคอินไตย์ Getsunova

4

ชีวิตดี

Getsunova เป็นศิลปินไทยวงแรกที่มียอดวิวทะลุร้อยล้านในยูทูบ 3 เพลง คือ ไกลแค่ไหน คือ ใกล้, อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้ และ คำถามซึ่งไร้คำตอบ

ทุกวันนี้พวกเขามีอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกแล้วชื่อตรงตัวว่า The First Album หลังจากเฝ้ารอมาเป็นสิบปีนับตั้งแต่เริ่มทำเพลง

ผมในฐานะผู้เฝ้ามองก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าดีแล้วกับสิ่งที่พวกเขาแลกมา ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกับคำวิจารณ์หรือความไม่เข้าใจของที่บ้าน

“คำวิจารณ์พวกนี้มีมาตั้งนานแล้ว ก่อนจะมี ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ แรงกระแทกมันแรง เพราะตอนนั้นวงก็ไม่ดัง เพลงก็ไม่ดัง ทุกอย่างรวมกัน ไม่มีอะไร approve เลย เถียงเขาไม่ได้ ผมพูดกับทุกคนที่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า โอเค จะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะว่าครอบครัวพวกเรามีฐานะ มีธุรกิจ แต่ว่าการจะเป็นนักดนตรีมันเริ่มจากจุดเดียวกันหรือเปล่า” เนมอธิบายถึงอุปสรรคที่คนภายนอกอย่างผมอาจจะไม่เคยเข้าใจ

“เสียงวิจารณ์ถูกแก้ด้วยเพลง ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ นี่แหละ” นตอธิบายต่อ “มันถูกแก้หมดแล้วว่า เห็นมั้ย เรายังต้องใช้เวลาถึง 5 ปี อัลบั้มออกมาแล้วก็มีเพลงที่ไม่ดัง พวกเราพลาดมาได้ขนาดนี้ เพลงมันเลยช่วยเราเรื่องนี้ คนไม่ได้ดูถูกเรื่องนี้แล้ว คนส่วนใหญ่เริ่มมองเป็นบวกว่าเราพยายามจริงๆ”

ผมนึกภาพตามเรื่องเล่าของพวกเขา จากวงดนตรีที่ไม่มีใครรู้จัก ร้องเพลงไม่มีใครร้องตาม วันหนึ่งพวกเขาก็พิสูจน์ตัวเองจนมาถึงวันนี้ วันที่ชีวิตเวียนมาบรรจบพบเจอนักร้องที่เขาผูกพันผ่านเสียงร้องตั้งแต่วัยเด็ก

ธงไชย แมคอินไตย์ Getsunova

5

ชีวิตเดี่ยว

ผลงานล่าสุดที่พวกเขาแต่งชื่อเพลง ชีวิตเดี่ยว ในโปรเจกต์พิเศษที่ชื่อ Mini Marathon แต่ศิลปินที่ร้องเพลงนี้ไม่ใช่นักร้องนำของวงอย่างที่เราคุ้นเคย หากแต่เป็นพี่เบิร์ด ธงไชย นักร้องที่พวกเขาติดตามผลงานมาตั้งแต่วันที่ยังมีสถานะเป็นเพียงแฟนเพลง ไม่ใช่ศิลปินอย่างทุกวันนี้

นต ซึ่งรับหน้าที่แต่งเพลงได้รับโจทย์ให้แต่งเพลงที่สื่อถึงช่วงที่รู้สึกโดดเดี่ยวในการวิ่งมาราธอน

“ตอนที่จะแต่งเพลงนี้ผมคุยกับพี่เบิร์ดเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวของตัวเอง คือเหมือนพี่เบิร์ดเป็นคนสนุกสนานมากเลย เหมือนไม่มีความเศร้าอยู่ในตัว ในมุมมองของเขามันไม่มีมุมมองที่จะเหงาได้เลย เรารู้สึกว่าการที่คุยกับพี่เบิร์ดซึ่งไม่มีความเชื่อเรื่องความโดดเดี่ยวเป็นโจทย์ที่ทำให้เพลงนี้ยาก เราคุยกันเยอะเหมือนกันจนกระทั่งไปย้อนฟังเพลงเก่าๆ ว่าเขามีอารมณ์ประมาณไหนมาแล้วบ้าง”

เมื่อย้อนกลับไปฟังเพลงที่สื่อถึงความโดดเดี่ยวมือกีตาร์ของวงบอกว่ามีเพลงเพลงหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพลงนั้นชื่อ คนไม่มีแฟน

“คือเรื่องที่พี่เบิร์ดเล่าในเพลงคนฟังแล้วเชื่อมากๆ เลย ฟังแล้วรู้สึกว่ามีแพลตฟอร์มแล้วรู้สึกว่าชีวิตมีทางไป ก็เลยเป็นที่มาของเพลงชื่อ ชีวิตเดี่ยว คือทุกคนมองหาชีวิตคู่ คิดว่าเมื่อไหร่ชีวิตเดี่ยวจะจบสักที”

ผมฟังแล้วย้อนนึกถึงเพลงที่พาพวกเขามาจนถึงวันนี้แล้วก็คิดว่าคล้ายทุกอย่างถูกกำหนดไว้ หากไม่มี ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ก็อาจไม่มี ชีวิตเดี่ยว และอีกหลายๆ เพลงในวันข้างหน้า

“มีช่วงเวลาไหนที่ตอกย้ำว่าพวกเราทำสิ่งที่เชื่อสำเร็จแล้วบ้างไหม” ผมถามก่อนเราจะแยกย้ายโดยไม่เฉพาะเจาะจงคนตอบ

“สำหรับผมคือตอนที่วงเราได้รับรางวัลเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี จากไนน์เอ็นเตอร์เทน” เนมพูดถึงโมเมนต์ที่ทั้งวงน่าจะรู้สึกร่วมคล้ายกัน “คือเมื่อก่อนเจอเพื่อนถามบ่อยว่าเมื่อไหร่มึงจะเลิกสักทีวะ พ่อแม่ก็ถามทุกวัน ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ดื้อ แม่ก็จะถามว่าเมื่อไหร่ลูกจะพอสักที น้องสาวก็บอกว่าพี่เนมพอได้แล้ว โมเมนต์ที่ประกาศรางวัลแล้วได้ยินชื่อวงเรา เราก็ขึ้นไปบนเวทีรับถ้วยรางวัล พอลงมาเห็นพ่อกับน้องสาวร้องไห้ดีใจ คือเขาไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายกับเพื่อนๆ จะทำได้ขนาดนี้

“วงเราเริ่มจากติดลบด้วยซ้ำ จากการที่คนมาตัดสินเราจากสิ่งที่มันถูกกำหนดไว้แล้ว เพราะฉะนั้น เราติดลบตั้งแต่เริ่มแล้วว่าบ้านมีตังค์มันจะง่ายกว่าคนอื่น ซึ่งเราก็ทำให้เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะกว่าเราจะมีเพลงดังก็ตั้ง 5 – 6 ปีนะ คนมองเราลบมาตั้งแต่ก่อนฟังเพลงด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น วงเราต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง”

อย่างที่พวกเขาเล่า ในที่สุดพวกเขาก็พิสูจน์ตัวเองมาถึงวันที่พวกเขาได้รางวัล

รางวัลที่มีความหมายกว้างกว่าสิ่งที่เขาได้รับมอบบนเวที

ธงไชย แมคอินไตย์ Getsunova

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

นินทร์ นรินทรกุล ณ อยุธยา

นินทร์ชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ซื้อฟิล์มให้ไม่ยั้ง ตื่นเต้นกับเสียงชัตเตอร์เสมอต้นเสมอปลาย เพื่อนชอบชวนไปทะเล ไม่ใช่เพราะนินทร์น่าคบเพียงอย่างเดียวแน่นอน :)