ถ้าปิดตัวย่อชื่อด้านหน้า ผมคงคิดว่า ผศ.ดร.ภญ.เบญญากาญจน์ พงศ์กิจวิทูร เป็นศิลปิน
ผมรู้จัก เตย มา 10 กว่าปี เธอเดินทางท่องเที่ยวแบบสุนทรีย์ตลอดเวลาทั้งใกล้และไกล ทั้งในและนอกประเทศ แล้วเธอก็ยังถ่ายรูปสวยจนทำให้หลายคนรู้สึกอิจฉาชีวิตเธอมากขึ้นไปอีก ไม่เชื่อไปดูได้ที่อินสตาแกรม toeinoi
ที่ผ่านมาเธอเลยมักจะร่วมงานกับผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยว

ปีที่แล้วเธอกลายเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ภาพจากกลีบดอกไม้แห้งอันแสนจะมีเอกลักษณ์ เธอเล่นสนุกกับการทับดอกไม้มากว่าสิบปี จนลองแปรรูปทักษะนี้ให้กลายมาเป็นโปสต์การ์ด เป็นงานคอลลาจ และเป็นภาพประกอบ ที่คว้ามาหลายรางวัลและได้ไปแสดงในงานดัง ๆ มาแล้วหลายงาน
หากเปิดตัวย่อชื่อด้านหน้า เธอคือหัวหน้าภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เป็นอาจารย์ที่เคยเกลียดการสอน แต่สุดท้ายก็ออกแบบการสอนนอกกรอบที่สนุกทั้งผู้เรียนผู้สอน สอนในห้องเรียนยังไม่พอ เธอยังจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องต้นไม้ในหลากหลายรูปแบบให้กับคนทั่วไป (รวมถึงร่วมสอนใน โรงเรียนนักปลูกต้นไม้ ของ The Cloud ด้วย)
ตอนนี้เธอเอางานศิลปะเข้าไปใส่ในการเรียนการสอน และเอาเนื้อหาวิชาการมาผสมในงานศิลปะ ได้แบบกลมกล่อม เป็นนักวิชาการที่กำลังกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตา
และน่าร่วมงานด้วยเป็นที่สุด

เราก็สอนได้นี่หว่า
หลังเรียนจบปริญญาเอกด้านสมุนไพรจากญี่ปุ่น เตยกลับมารับตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สอนวิชาพฤกษศาสตร์ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์มีความรู้พื้นฐานเรื่องต้นไม้เพราะเป็นต้นกำเนิดยารักษาโรค เรียนการจำแนกพืช จำชื่อวิทยาศาสตร์ จำสารสำคัญให้ได้ สมัยเรียนเตยเกลียดวิชานี้มาก ได้เกรด C แต่ดันต้องมาสอนวิชานี้
“ที่มหิดลสอนวิชานี้ลึกมาก ชั่วโมงแรกให้ผ่ารังไข่ดอกไม้ ซึ่งเตยทำไม่เป็น พี่เจ้าหน้าที่ถึงกับถามว่า อาจารย์จบอะไรมา” เตยหัวเราะแล้วเล่าต่อว่ายังมีปัญหาใหญ่กว่านั้นอีก ตอนเรียนที่ญี่ปุ่นเธอจบปริญญาเอกตั้งแต่อายุยังน้อย มีผลงานวิจัยตีพิมพ์เยอะมากเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน แต่พอกลับเมืองไทย เธอทำวิจัยไม่ได้เลย เพราะจัดการชีวิตที่ต้องสอนและทำวิจัยไปพร้อม ๆ กันไม่ได้
“ไปร้องไห้กับพี่ที่ดูแลนักเรียนทุนว่า ถ้าลาออกต้องใช้หนี้เท่าไหร่ คิดจริงจังเลย เตยอยากไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำวิจัย อยากเป็นนักวิจัยที่ไม่ต้องสอน ตอนนั้นเกลียดงานสอนมาก” เตยบอกว่าเธอโชคดีที่เจอจุดเปลี่ยนเสียก่อน
“พอเราเห็นนักศึกษาเจ็บปวดกับวิชาที่เราสอน เหมือนเห็นตัวเองในอดีต เมื่อก่อนเราเรียนวิชานี้ไม่เข้าใจเพราะอาจารย์เป็นแบบนี้แหละ ให้ท่องจำทุกอย่าง เตยเลยคิดว่าต้องเปลี่ยนวิธีสอนใหม่ ก่อนขึ้นเรียนวิชานี้ เตยฮีลใจนักศึกษาด้วยการชวนเด็กไปนั่งเรียนในสวนดอกไม้ ไปทับดอกไม้ ไประบายสีจากดอกไม้ ไปดื่มด่ำกับต้นไม้ แล้วค่อยเริ่มเรียน มันช่วยได้มาก” เตยผู้คิดมาตลอดว่าตัวเองสอนหนังสือไม่ดี พอเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีสอน เธอก็ได้เสียงสะท้อนจากนักศึกษาหลายต่อหลายคนว่า ชอบวิธีสอนของอาจารย์ อาจารย์สอนดีมาก
“เราเอาของให้เขาเล่นแล้วตาเขาเป็นประกาย เราก็สอนได้นี่หว่า” เตยเลยสนุกกับการสอน แล้วเปิดวิชาเลือกใหม่ สมุนไพรในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องท่องจำอย่างเดียว เธอทำเป็นเวิร์กช็อปเต็มรูปแบบ ให้ทำยาดมด้วยตัวเอง ระบายสีจากสมุนไพร เอาผักพื้นบ้านมาให้กิน นักศึกษาชอบมากขึ้นไปอีก เพราะทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่เรียนง่ายขึ้น


ถ้าไม่เชื่อแม่ ไม่รู้ป่านนี้จะไปหลงทางอยู่ที่ไหน
คุณพ่อของเตยเป็นอาจารย์สอนสถิติที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณแม่จบคณะอักษรศาสตร์ เอกบรรณารักษ์ ทำงานในห้องสมุดของ มข. ตั้งแต่อายุ 25 ปี จนเกษียณ เตยเกิดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นคณะแพทย์ของ มข. เรียนอนุบาล ประถม มัธยม ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น รุ่นเดียวกับ บิ๊ก-บริรักษ์ อภิขันติกุล และ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ
ที่บ้านของเตยมีสวนเล็ก ๆ ตื่นเช้ามาเธอต้องรดน้ำต้นไม้ก่อนไปโรงเรียน บ้านของเธอมีมะม่วง 3 พันธุ์ ออกลูกกันคนละช่วงเวลา ด้วยความที่ช่างสังเกตและชอบต้นไม้ เธอจึงรับรู้การเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลได้จากต้นไม้น้อยใหญ่รอบตัว
“แม่อยากให้เรียนแพทย์ แต่เตยอยากเรียนอักษร เลยเลือกเภสัชไปเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ติดจะได้ไปเรียนอักษร แต่ดันติดเภสัช แม่บอกให้เรียนไปก่อน ดูสิแม่จบอักษรมามีทางเลือกอะไรบ้าง ถ้าชอบภาษาก็เรียนเสริมเอา แม่อยากให้เรียนสิ่งที่มีใบประกอบวิชาชีพ ตลอดชีวิตไม่เคยคิดว่าคำพูดของแม่ถูกต้องเลยนะ จนถึงตอนนี้พอมาคิดดู ถ้าไม่เชื่อแม่ ไม่รู้ป่านนี้จะไปหลงทางอยู่ที่ไหน”
เตยไม่ชอบเจอคน ชอบทำวิจัยมากกว่า พอเรียนจบปริญญาตรี เธอก็ต่อปริญญาโทที่ มข. เพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานในห้องยาของโรงพยาบาลตามคำแนะนำของแม่ เตยทำวิทยานิพนธ์เรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร พอเรียนจบก็เห็นทุน ก.พ. ทำให้เธออยากไปเรียนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น ซึ่งทุนนี้มีข้อผูกมัดเพียงอย่างเดียว คือต้องกลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อทำงานล้มเหลว ไม่มีใครมาโอบอุ้มนอกจากตัวเราเอง
เตยเรียนปริญญาเอกด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสมุนไพรที่มหาวิทยาลัยคิวชู จังหวัดฟุกุโอะกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกครั้งใหญ่ของสาวขอนแก่น
“มันคือบททดสอบครั้งสำคัญในชีวิตที่ทำให้เราเติบโตอย่างแท้จริง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด สังคม เพื่อน เมื่อทำงานล้มเหลวไม่มีใครมาโอบอุ้มนอกจากตัวเราเอง สังคมญี่ปุ่นทำงานกันเครียดมาก นั่งทำงานอยู่มีรุ่นน้องกระโดดหน้าต่างต่อหน้าเลย ตึกข้าง ๆ มีคนผูกคอตายเพราะสารเคมีอันตรายถูกขโมยแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร งานวิจัยที่ทำได้รางวัลนะ แต่สภาพจิตใจเราดิ่งมาก ๆ ความสัมพันธ์ก็ไม่ดี ต้องเลิกรา”
สิ่งที่เยียวยาจิตใจเตยได้คือการเรียนชงชาที่เธอต้องนั่งรถไฟ 1 ชั่วโมงไปเรียนทุกสัปดาห์ เตยได้เรียนเรื่อง อิจิโกะ อิจิเอะ (Ichigo-Ichie – การพบกันที่อาจเป็นเพียงครั้งเดียว ต้องทำให้ดีที่สุด) อาจารย์สอนอะไรมากมายด้วยการทำให้เห็น กิจกรรมนี้จึงเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเตยจนทำให้เธอเรียนจบมาได้
ญี่ปุ่นมีสวนสาธารณะมากมาย เตยชอบไปเดินเล่น ไปถึงก็แงะวัชพืชมาดู เจออะไรร่วง ๆ ก็เก็บมาทับทำเป็นการ์ดส่งให้คนอื่นในวาระต่าง ๆ เป็นการทับดอกไม้ด้วยสัญชาตญาณแบบไร้ซึ่งทฤษฎีใด ๆ


ไม่มีใครเกลียดงาน Herbarium
“ไม่มีใครเกลียดงาน Herbarium เพราะทำออกมาแล้วสวย เลยใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมกับคนได้” เตยพูดถึงเสน่ห์ของสิ่งที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า หอพรรณไม้
Herbarium คือวิธีเก็บพืชโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่แบบใดก็ได้ ให้ง่ายต่อการจำแนก เก็บแบบพรรณไม้แห้ง ดองใส่ขวดโหลดเพื่อให้เห็นรูปทรงสามมิติ หรือเก็บใส่ซองไม่ต้องทับแห้งก็ได้ แต่ที่เตยทำบ่อยที่สุด และคนชอบมากที่สุดก็คือ การทำเป็นแผงอัดพรรณไม้แห้งหรือการทับดอกไม้
สำหรับนักวิชาการ นี่คือเครื่องมือพื้นฐานที่ไม่ว่าจะทำงานวิจัยอะไร ก็ต้องทำ Herbarium ไปฝากไว้ที่พิพิธภัณฑ์พืชสักแห่งเพื่ออ้างอิง เพื่อยืนยันว่าต้นไม้ที่เราอ้างถึงนั้นมีอยู่จริง และจำแนกพันธุ์ได้ถูกต้อง
ดอกไม้เป็นส่วนสำคัญในการจำแนกพืช เวลาทับต้องแผ่ให้เห็นรูปทรงครบถ้วนจึงออกมาสวยงาม ถ้าเป็นสมัยโบราณจะมีการวาดภาพวิทยาศาสตร์พร้อมสเกล ช่วยบันทึกสีสันเก็บไว้ด้วย ใครไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะที่ไหน น่าจะได้เห็นตัวอย่าง Herbarium จัดแสดงไว้ ตัวอย่างที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เก็บจากเกาะกาลาปากอสเมื่อเกือบ 200 ปีก่อนก็ยังเก็บไว้อย่างดีอยู่ที่สวนคิว (Kew Gardens) ในประเทศอังกฤษ
เตยอธิบายต่อว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นเรื่องของวัฒนธรรมด้วย มีการทับดอกไม้เพื่อเป็นงานศิลปะ มีสมาคมจริงจังอย่าง Pressed Flower Guild ในระดับนานาชาติ มีการจัดแสดงการทับดอกไม้อยู่ตลอด
เตยนำดอกไม้ใบไม้นานาชนิดมาทับเล่นนานเกิน 1 ทศวรรษแล้ว เธอชอบดอกไม้ที่รูปทรงแปลกตา อย่างเช่น ไฟเดือนห้า และดอกไม้ที่เป็นวัชพืชเล็ก ๆ เพราะเก็บง่าย ไม่มีใครว่า อย่างบานไม่รู้โรยป่า หญ้าดอกขาว
เตยเพิ่งมาหัดทับดอกไม้แบบจริงจังตามหลักวิชาการตอนเป็นอาจารย์นี่เอง และเมื่อเธอลองสอนทับดอกไม้ให้บุคคลทั่วไปครั้งแรกร่วมกับ a day เมื่อปี 8 ปีก่อน และสอนกับ The Cloud ในโครงการโรงเรียนนักปลูกต้นไม้เมื่อ 5 ปีก่อน เธอก็พบว่ากิจกรรมสุดโปรดของเธอเข้าถึงและเชื่อมต่อกับคนทั่วไปได้ง่ายมาก
“ปัจจุบันไม่ได้คิดว่าเป็นแค่งานอดิเรกแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นเครื่องมือในการสอนได้ ทำเวิร์กช็อปได้ เชื่อมโยงกับคนทั่วไปได้ เลยจริงจังและทุ่มเทขึ้น แล้วก็รู้ว่ามันสนับสนุนงานประจำได้ เลยไม่ได้แบ่งเวลาจากงานประจำไปทำแล้ว แต่ทำให้มันผสมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำเลย”
มันทำให้เรารู้ว่าสิ่งนี้มีค่ามาก
ปีที่แล้ว เตยในวัย 39 ปีประสบวิกฤตครึ่งชีวิตครั้งใหญ่ เธอหมดไฟในงานทำงานเพราะเหนื่อยกับระบบราชการ และทำงานใช้ทุนครบพอดี จึงมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ เตยเกือบลาออกเพื่อกลับบ้านไปเปิดร้านขายยาที่ขอนแก่นอยู่แล้ว
วันนั้นเตยมานั่งที่คาเฟ่ร้านโปรด Lilou & Laliart ย่านอารีย์ แล้วก็พบว่ามีห้องให้เช่าทำเวิร์กช็อปได้ ปุ๋ม-นวลวรรณ สุพฤฒิพานิชย์ และ ต้น-เอกกมล ธีปฏิกานนท์ ชวนเตยมาลองทำเวิร์กช็อปสอนทับดอกไม้โดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ขอหักเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้ เพื่อให้งานนี้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะมีลูกค้ากี่คนก็ตาม
“รอบแรกมีคนมาเรียน 2 คน” เตยเล่าอย่างมีความสุข เมื่อเธอออกแบบกิจกรรมสอนทับดอกไม้ซึ่งไม่เคยสอนที่ไหนเพื่อเปิดคอร์สสอนเก็บเงินอย่างจริงจัง ลูกค้า 2 คนแรกของเตยเป็นเพื่อนของเตยที่พาคุณแม่มาเรียนด้วย แม้จะมีแค่ 2 คน แต่เตยก็ดีใจ เพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนยอมจ่ายเงินมาเรียนสิ่งนี้
“มันทำให้เรารู้ว่าสิ่งนี้มีค่ามาก”
เตยชวนเพื่อนมาช่วยจัดและช่วยถ่ายรูป พอโพสต์ภาพบรรยากาศการเรียนสุดน่ารักลงไป ก็มีคนสมัครมาอีก 6 คน เท่ากับจำนวนสูงสุดที่เธอรับได้ต่อรอบ เต็มต่อเนื่องไปอีกหลายรอบ
ตอนนี้เตยยังคงสอนทุกเดือน ถ้าใครสนใจก็ติดตามได้ที่เพจ Herbaria Studio

เราเป็นคนสื่อสารวิทยาศาสตร์
เมื่อร้านโปรดของเตยอีกร้านอย่าง Little Tree Grocery ในมหาวิทยาลัยมหิดลจัดตลาด Little Tree Market เตยก็ลองไปทำเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ในตลาดนัด เตรียมกระดาษโปสต์การ์ดไป เตรียมดอกไม้แห้งไป ให้เด็ก ๆ ทำการ์ดจากดอกไม้แห้งเองตามจินตนาการ ราคาใบละ 100 บาท งานมี 3 วัน เตยได้เงินมาเป็นหมื่น เพราะพ่อแม่จำนวนมากเอาลูกมาฝากให้ทำกิจกรรมที่บูทนี้ก่อนจะไปเดินตลาด เธอจึงเห็นว่านี่เป็นอีกช่องทางที่เข้าถึงคนได้
จากนั้นเธอก็เริ่มขายงานทับดอกไม้ของตัวเอง กระแสตอบรับก็ดีมาก จนได้รับชวนให้ไปออกบูทในงานบ้านและสวนก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
เตยเป็นแฟนประจำของงาน Bangkok Illustration Fair (BKKIF) อยู่แล้ว พอเห็นประกาศเปิดรับศิลปินไปขายงาน เธอเลยเสนองานคอลลาจดอกไม้ทับไปให้ผู้จัดพิจารณาโดยไม่ได้หวังว่าจะผ่านการคัดเลือก แต่ด้วยความที่งานของเธอแตกต่างจากนักวาดคนอื่น ๆ และเป็นงานศิลปะที่ทำโดยนักวิชาการด้านพฤกษศาสตร์ เตยจึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในงาน โดยที่เธอใช้เวลาช่วงสุดท้ายทำ Zine หรือหนังสือทำมือ เรื่องดอกไม้วัชพืชใกล้ตัว ทำมา 30 เล่ม ปรากฏว่าขายหมดเกลี้ยง
“ชีวิตเปลี่ยนเลย เป็นช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากจริง ๆ จากที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่า อยากลาออก เราได้สิ่งนี้ช่วยชีวิตไว้ เราคงเข้ามาได้เพราะงานเราไม่เหมือนคนอื่น มีความเนิร์ดแบบนักวิทยาศาสตร์ด้วย เราอยากเห็นศิลปินที่ชอบวาดรูปต้นไม้ไทย วัชพืชไทยบ้าง เขาส่งข้อความไปหาทุกคนว่า ถ้าอยากได้ข้อมูลทักมาได้เลยนะ เพราะเราวาดเองไม่ได้ คิด Zine สวย ๆ แบบเขาไม่ได้ เราสอนทับดอกไม้เพราะรู้ว่าถ้าศิลปินมาเรียน เขาจะสร้างงานได้สวยกว่าเรามากแน่ ๆ เราวางตำแหน่งตัวเองว่าเป็นคนสื่อสารวิทยาศาสตร์มากกว่าเป็นศิลปิน”
จากงานนั้นเตยได้รับหลายรางวัล มีแกลเลอรีชวนไปแสดงงาน และมีบริษัทเบเกอรีชื่อดังมาชวนออกแบบลายบนบรรจุภัณฑ์ เพราะชอบคำตอบตรง ๆ ของเตยที่ว่า ภาพวาดวิทยาศาสตร์ที่แบรนด์นี้ใช้สวยดี แต่ว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับขนมข้างใน ถ้าเปลี่ยนเป็นภาพของพืชที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบน่าจะสวยและมีความหมายขึ้นได้อีก


เราอยากจัดให้ประชาชนทั่วไป
รางวัลที่เตยได้รับจากงาน BKKIF กลายเป็นผลงานที่คณะชื่นชมอย่างมาก เพราะเตยสร้างชื่อเสียงให้กับคณะในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทางคณะจึงพร้อมสนับสนุนงานด้านนี้ของเตยเต็มที่
ในปีที่แล้วยังมีอีกงานของเตยที่ได้รับคำชมอย่างมากคือ Harbal Walk
“ปกติงานบริการวิชาการของคณะมักจะจัดฝึกอบรมเรื่องสมุนไพรให้บุคคลากรทางการแพทย์หรือเภสัชกรในร้านขายยา เตยไม่เก่งเรื่องนี้ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ อยากจัดให้ประชาชนทั่วไป ตอนที่ทำโรงเรียนนักปลูกต้นไม้กับ The Cloud มีคนสมัครมาเรียนเยอะมาก เราเลยจัดเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาวชื่อ Herbal Appreciation สอนเรื่องพืชเบื้องต้นด้วยการพาไปเดินและทำกิจกรรมในสวนสาธารณะซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปรากฏว่าเต็มทุกรอบ มีคนรอว่าเมื่อไหร่จะเปิดอีก สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็มาชวนจัดรอบพิเศษให้เขา แล้วเขาก็สั่งซื้อ Zine ของเราแจกผู้เข้าร่วมทุกคน ทำให้งานในส่วนของศิลปินมาอยู่กับงานวิชาการของเราได้ งานวิชาการก็เอาไปทำงานศิลปะได้ เหมือนเราตบให้มันเข้ากันได้แล้ว”
ติดตามกิจกรรม Harbal Walk และเวิร์กช็อป Basic Botany for Plant Appreciation ได้ที่เพจ Herbal Appreciation
“ปีนี้เราเป็นหัวหน้าภาควิชาแล้ว ทำงานบริหารเอง จะคุยกับใครก็ง่าย เวลามีคนมาชวนทำอะไรก็จัดในนามภาควิชา มีคนติดต่อมาเยอะมาก ทำทุกงานคงไม่ไหว ต้องพิจารณามากขึ้น” เตยเล่าถึงชีวิตที่เริ่มเขาสู่จุดสมดุล
มีใครบ้างไม่รักดอกไม้
แม้ว่าจะสนุกกับกิจกรรมนอกคณะแค่ไหน แต่เตยก็ไม่เคยลืมนักศึกษา
“ตอนนี้ตั้งใจทำเรื่อง Well-being ของนักศึกษาเภสัช จะทำห้องที่คณะให้นักศึกษามาทำเวิร์กช็อปได้เอง ทำชมรม Nature Appreciation ให้นักศึกษาจัดการเอง มาช่วยเราทำงานนี้ด้วย มันจะได้อยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งเราคนเดียว” เตยเชื่อว่าชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ง่าย และดอกไม้ก็มีพลังมากพอจะเยียวยาความเครียดของเด็ก ๆ ได้
“มีใครบ้างไม่รักดอกไม้ นักศึกษาเภสัชมักคิดว่าฉันไม่เก่งศิลปะ ฉันทำงานศิลปะไม่ได้หรอก พอเราให้เขาเอาดอกไม้มาทำงานศิลปะ เขาก็นั่งเปิด Pinterest ว่าจะทำอะไรดี แล้วลงมือทำ ไม่มีใครทำแล้วไม่สวยนะ เพราะดอกไม้มันสวยโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว แค่นี้ก็เพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้เด็กได้แล้วว่าฉันก็ทำงานศิลปะได้
“อีกเรื่อง การทับดอกไม้เป็นการทำสมาธิของเตย คนอื่นก็คงเป็นแบบเดียวกัน หยิบดอกไม้มานั่งจัดเรียงชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็ได้อยู่กับตัวเอง”
สิ่งที่เตยกำลังทำกับนักศึกษาคือการสอนให้ชื่นชมกับธรรมชาติ ซึ่งแต่ละคนมีวิธีเชื่อมโยงตัวเองกับธรรมชาติแตกต่างกัน
“บางคนไปสายอาบป่า แต่เตยทำไม่ได้ เราชอบเอาดอกไม้มาให้เห็น ใครชอบวาดก็วาด ใครชอบทับก็ทับ ใครชอบติดก็ติด มันคือการสอนให้คนรู้จักการอนุรักษ์โดยไม่ต้องพูด จากเด็กที่ไม่รู้จักต้นไม้เลย ต่อไปเขาไปสวนเขาก็เริ่มก้มมองต้นไม้ เห็นว่าต้นนี้ปลูกคลุมดินได้ดีกว่า ต้นนี้ไม่ใช่พืชรุกราน ความคิดเรื่องการอนุรักษ์ก็ตามมา องค์ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็ตามมา
เตยสรุปชีวิตตัวเองด้วยงานศิลปะที่นำดอกไฮเดรนเยียมาทับใส่กรอบกระจก ที่มีชื่องานว่า ‘Life’
เวลาเตยเอาดอกไม้จำนวนมากมาทับ บางดอกยังสีสด บางดอกก็สีซีด บางดอกก็กลายเป็นสีน้ำตาล เมื่อก่อนเธอจะนำดอกที่สีไม่สวยเหล่านี้ทิ้งทั้งหมด จนเพื่อนของเตยทักว่า มันก็สวยดีนะ เธอเลยนำดอกไม้หลายสภาพมาเรียงคละกัน ซึ่งกลายเป็นงานที่ขายดีมาก
“ถึงดอกไม้จะเป็นสีน้ำตาลแต่ก็ยังมีคนชอบ เพราะมันก็สวยในแบบของมัน มันก็เหมือนชีวิตที่มีทั้งช่วงที่สวยงามและไม่สวยงาม ถ้าไม่มีช่วงที่ไม่สวยงาม ก็อาจจะไม่มีวันนี้”
