เวลานึกถึงจังหวัดชุมพร ภาพสำหรับผม คือผืนทรายและท้องทะเลที่ถ่ายทอดผ่านสตอรีไอจีของรุ่นน้องคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จะว่าไป ภาพของของเขาก็เปรียบเสมือนสื่อกลางที่ช่วยให้ผมได้ยลโฉมความสวยงามของทะเลในชุมพรไม่มากก็น้อย และหากขยับเข้ามาหน่อย ในตำบลชุมโค อำเภอปะทิว ติดกับหาดปะทิวทอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟร้านหนึ่ง ถ้าถามว่าโดดเด่นขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่า ตัวอาคารที่เป็นบ้านต้นไม้นั้น ชวนให้ตื่นตาไม่น้อย แถมกาแฟก็เลือกใช้น้ำตาลจากแทนคอฟฟีเมต ใช้ไซรัปสดเป็นส่วนผสม ใช้น้ำตาลมะพร้าวในการทำช็อกโกแลต แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน


คาเฟ่บ้านต้นไม้หลังนี้ชื่อ ‘บ้านต้นไม้อวดชุม’ เราขอเรียกสั้น ๆ ว่า ‘บ้านอวดชุม’ ก่อตั้งและดูแลโดย ปิ่น-ณัฐนรี ลูกสาว ร่วมกับ คุณพ่อวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และอดีต CEO เครือเบทาโกร
“เราไม่ได้เปิดร้านกาแฟเพื่อขายกาแฟ พวกเรามาอยู่ตรงนี้เพื่อทำงานร่วมกับชุมชน” คุณพ่อเปรย
บ้านอวดชุมจึงไม่ใช่แค่ชื่อร้านกาแฟ แต่ยังเป็นชื่อโครงการที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้มากมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นอวดชุมโค อวดชุมพร หรืออวดชุมชน ที่แน่ ๆ เป้าหมายในการทำอวดชุมของพวกเขา คือการทำร้านกาแฟแห่งนี้ให้เป็น Community Center รวมถึงเป็นจุดเชื่อมโยงแหล่งความรู้ระหว่างชุมชน ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัย เพื่อดึงศักยภาพของพื้นที่ออกมาให้ได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่โครงการพัฒนาสินค้าชุมชน ที่ดินของร้านกาแฟ ไปจนถึงบ้านพักบนต้นไม้จำนวน 10 ห้องที่กำลังก่อสร้างอยู่ หลายสิ่งหลายอย่างล้วนแล้วเกิดขึ้นโดยมีพื้นฐานอยู่บนคำคำเดียว ซึ่งสองพ่อลูกต่างก็ใช้คำนี้เหมือนกัน พูดเหมือนกัน และอยู่ในบริบทเดียวกัน นั่นคือ ‘จับพลัดจับผลู’
จับพลัดจับผลู
“เริ่มต้นจาก ผมเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยสจล. ประมาณ 6 – 7 ปีที่แล้ว อาจจะเกินด้วยซ้ำ ในฐานะกรรมการ เขาพามาดูวิทยาเขตที่ชุมพร ก็เลยทำโครงการชื่อ KBAC (KMITL PRINCE OF CHUMPHON CAMPUS BETAGRO AREA-BASED CHUMKO COMMUNITY COLLABORATION) ที่ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว เพราะผมสนใจทำโครงการชุมชนในระดับตำบล อยากจะรู้ว่าใน 1 ตำบล ถ้าจะทำให้มันแน่นต้องทำยังไง ได้ทีมงาน ชื่อ ปอน (อรรถวุฒิ ครุฑปักษี) มาช่วย เขาเป็นคนท้องถิ่นในชุมพร

“พอผมจะเกษียณ เลยบอกปอนด์ให้หาที่ดินให้ เอาอยู่ริมทะเล เพราะผมชอบทะเล ขออยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ตั้งของบ้านอวดชุมเลยอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยแค่ 5 นาที ห่างจากสนามบิน 10 นาที เวลาเครื่องบินลงจอดจะเฉียดหัวบ้านอวดชุมก่อน แล้วไปเฉียดหัวมหาวิทยาลัยอีกที” วนัสเล่าจุดเริ่มต้น
เรื่องจับพลัดจับผลูแรกคือที่ดินนี้เคยเป็นของอาจารย์ที่ทำงานอยู่ด้วยกันในมหาวิทยาลัย
“เขามาบอกทีหลังว่า เนี่ย ที่ดินนี้เคยเป็นของพ่อแม่เขาเอง” วนัสเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
วนัสอยากได้ที่ดินใกล้มหาวิทยาลัยก็ด้วยเหตุผลเข้าใจง่าย เขาอยากทำกิจกรรมร่วมกับมหาวิทยาลัย และอยากให้มหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมกับชุมชน ถือเป็นการทำความรู้จักกับชุมชนผ่าน Local Knowledge ตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจว่าสิ่งที่จะทำต่อไปคือ ‘ศูนย์ชุมชน’ หรือ ‘Community Center’


แผนการเริ่มต้น มีบ่อน้ำ 1 บ่อ ศาลาเล็ก ๆ ไว้ทำกิจกรรม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มีร้านกาแฟเล็ก ๆ น่าจะดี ด้วยความเป็นคนชอบแขวนเปลนอนรับลมธรรมชาติ เขาจึงเกิดไอเดียอยากได้ต้นไม้สัก 2 ต้น มาแขวนเปลนอน แต่ก็นั่นแหละ จับพลัดจับผลูมาอีกที ตอนนี้ในบ้านอวดชุมมีต้นยางนาอยู่ 11 ต้น
“ผมอยากซื้อต้นไม้มาแขวนเปลนอน คิดแค่นั้นเลย อยากได้ต้นยางนา เพราะมันสวยและใหญ่ดี มีคุณลุงในชุมชนพาผมไปดู บอกว่าบ้านนี้จะโละต้นยางนาไปปลูกทุเรียน มีอยู่ 12 ต้น ต้นหนึ่งถูกโค่นและเลื่อยเป็นไม้กระดานรอเอาไปขาย ผมก็เลยขอเหมาหมดเลย พอมี 11 ต้น ที่นี้เป็นประเด็นเลย แทนที่จะมี 2 ต้นไว้แขวนเปล กลายเป็นบ้านอวดชุมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลยครับ” วนัสหัวเราะทันทีหลังเล่าจบ

ถ้าแวะเวียนไปบ้านอวดชุมแล้วเห็นต้นยางนาไม่ถึง 11 ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะตอนย้ายมาใหม่ ๆ คนต่างบอกว่าไม้ป่าแบบนี้ทนมาก ไม่ตายแน่นอน แต่ไม่รู้ทำไม พอย้ายมาอยู่ริมทะเลกลับทยอยตายเสียอย่างนั้น จึงต้องทำเสา เสริมเหล็กเพิ่มความแข็งแรง ประกอบสร้างขึ้นมาเป็นคาเฟ่บ้านอวดชุมภายใต้คอนเซปต์ที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิด ‘Most Beautiful Coastal Village’ ที่ชุมพร
“เรารู้สึกกลัวมาก” ปิ่นพูดขึ้นมา “เพราะมันเป็นการลงทุนก้อนใหญ่มาก และเราก็ไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย แต่ว่าพอสร้างไป แล้วเราได้มีโอกาสอยู่ในร้านกาแฟ ปรากฏว่าสินค้าชุมชนที่เคยคิดว่าจะขายได้ดีในกรุงเทพฯ มันกลับขายนักท่องเที่ยวที่มาชุมพรได้ดีกว่าเสียอีก เราเลยรู้สึกว่ามันมาส่งเสริมกัน ถ้าเราทำออกมาดี ๆ มันน่าจะช่วยจุดประกายโครงการดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในอีกในหลาย ๆ ที่”
2 เดือนไม่มีอยู่จริง
“ผมจะไปซื้อไม้เก่ามาทำบ้าน เลยได้เจอกับคนขายไม้เก่า บ้านเขาอยู่ห่างจากบ้านผมแค่ 5 นาที ก็นั่งรถไปด้วยกัน เขาบอกว่าเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์มา เคยไปออกแบบอะไร ๆ ที่เกาะเต่ามาเยอะ เลยกลายเป็นเขาที่มาออกแบบร้านกาแฟให้ พอเอาต้นไม้มาทำ เขาบอกผมว่า 2 เดือนเสร็จ
“…ผมทำมา 3 ปีแล้ว” ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
เวลาผ่านไป ยังไม่ใกล้เคียงคำว่าเสร็จ วนัสให้สถาปนิกอีกคนเข้ามาช่วยใส่โครงสร้าง แผนเดิมของคาเฟ่บ้านต้นไม้จะมีห้องพัก 5 ห้อง ครบจบในที่เดียว แต่ความจับพลัดจับผลูก็บังเกิดอีกครั้ง วนัสชวนสถาปนิกที่เป็นลูกชายของอาจารย์ท่านหนึ่งจากจุฬาฯ มาดูบ้านอวดชุม ดูไปดูมา สถาปนิกคนที่ 3 ก็เข้ามามีส่วนร่วมในทันที พร้อม ๆ กับออกไอเดียติดไม้ระแนง ทำเอาภรรยากับลูกสาวออกปากชมว่า สวย ทันที


“จากเดิมที่มีห้องพัก 5 ห้อง สถาปนิกคนที่ 3 ก็อ้างอิงถึง The Vessel ที่นิวยอร์ก มันเป็นอาคารที่มีบันไดให้เดินวนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คนเดินดูเมือง ไม่มีหลังคาด้วยนะ เขาบอกว่าร้านกาแฟที่เรากำลังทำอยู่ไม่ควรมีห้องนอน คนกินกาแฟจะไม่แฮปปี้เพราะเดินได้ไม่ทั่ว ส่วนคนมาพักก็จะรำคาญคนเดิน จาก 5 ห้องเลยเหลืออยู่ห้องเดียว ซึ่งในอนาคตเราจะเปิดให้คนเข้ามาพัก” วนัสเล่าถึงการเปลี่ยนแปลง
คาเฟ่บ้านต้นไม้จึงมี 9 ระดับ ระดับที่ 1 เป็นคาเฟ่ ระดับที่ 3 เป็นห้องสมุด ระดับที่ 8 เป็นห้องพัก ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่โล่งโปร่ง โดยความตั้งใจของปิ่น พื้นที่เหล่านั้นจะใช้สำหรับจัดนิทรรศการ โชว์เคสสินค้าชุมชน นั่นเป็นเรื่องในอนาคต แต่ตอนนี้บ้านอวดชุมก็มีสินค้าของชุมชนวางขายอยู่แล้ว
หลังแรกเพิ่งเปิด Soft Opening ไปหมาด ๆ วนัสแนะนำผมให้รู้จักกับบ้านอวดชุมหลังที่ 2 ซึ่งจะมีสถานะเป็นที่พัก 4 ชั้น จำนวน 10 ห้อง ตั้งอยู่บนต้นเคี่ยม และใช้ไม้มะฮอกกานีเป็นวัสดุโครงสร้าง


การออกแบบของทุกชั้นรักษา ‘แกนลม’ ไว้ เพราะวนัสอยากให้ลมพัดผ่าน ได้รับความรู้สึกของการอยู่บนต้นไม้
“ถ้ายืนตรงกลางบ้านจะมองเห็นต้นไม้ 6 ต้น เดินขึ้นเดินลงทุกวัน เอนจอยกับการมองเห็นต้นไม้นี่แหละ หรือเวลาไปยืนในห้องแล้วมองออกไปเห็นต้นไม้นะ โอ้โห” วนัสอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้จริง ๆ
แม้ตอนนี้บ้านอวดชุมจะยังไม่เปิดให้แขกเข้าพัก แต่ก็มีลูกค้าหลายคนถามปิ่นอยู่เรื่อย ๆ ว่าจะมีเวิร์กช็อปสอนทำช็อกโกแลตไหม จะได้เรียนทำกะปิกับชุมชนหรือเปล่า ซึ่งปิ่นก็ตอบรับว่านั่นคือก้าวต่อไปที่บ้านอวดชุมจะทำ ขนาดที่ว่าจากห้องพัก 10 ห้อง วนัสขอเปลี่ยน 1 ใน 10 ห้อง ให้กลายเป็นครัวสอนทำอาหารที่ใช้สินค้าชุมชนเป็นวัตถุดิบ เสิร์ฟคู่กับวิวทะเลที่ควรคู่แก่การเป็นอาหารตาอย่างยิ่ง
อวดชุมในระหว่างก่อสร้าง
ระหว่างที่บ้านอวดชุมกำลังก่อสร้าง พวกเขาก็ค่อย ๆ เดินตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างการร่วมงานกับชุมชน เรียกอีกอย่างหนึ่งคือการพัฒนาทั้ง 5 ด้านในพื้นที่เล็ก ๆ (Holistic Area Based)
ทั้ง 5 ด้าน ประกอบไปด้วย อาชีพ สุขภาพ สังคม สิ่งแวดล้อม และการศึกษา
“หลายคนชอบให้การศึกษานำหน้า แต่ผมที่เป็นกรรมการมหาวิทยาลัยให้การศึกษาอยู่ท้าย เพราะผมเรียก 4 ด้านแรกว่าสนามรบ ถ้าสนามรบมีโจทย์ที่เคลียร์ ถึงจะรู้ว่าเราควรจะนำด้านการศึกษามาเชื่อมต่ออย่างไร” วนัสอธิบาย


ขวบปีแรกของอวดชุมจึงเป็นการลงไปสำรวจและทำความรู้จักกับชุมชน ช่วยปั้นและดึงศักยภาพของสินค้า ก่อนนำมาออกขายผ่านเพจเฟซบุ๊กอวดชุม และเมื่อไหร่ที่ผลผลิตนั้นมีคุณภาพนิ่งมากพอแล้ว ปิ่นก็ยินดีจะให้ชุมชนเอาบรรจุภัณฑ์ที่เธอช่วยออกแบบไปวางขายในนามของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านอวดชุมเสมอไปหรือตลอดไป เพราะเธอทำให้พวกเขาเห็นแล้วว่า ด้วยราคาเท่านี้ มันขายได้จริง ๆ นะ
“สินค้าแรกคือไซรัป เป็นการจับพลัดจับผลูไปเจอที่ดี เพราะเป็นของหายาก เจอได้ไม่บ่อย พอชิมปุ๊บรู้สึกเลยว่าพิเศษ เหมือนเมเปิลไซรัปของต่างประเทศที่ขายราคาแพง แต่ที่นี่ขายขวดละ 30 บาท มีช่องว่างระหว่างกันเยอะมาก สินค้าเขายังไปได้อีกไกล พอเริ่มพัฒนา แล้วขายได้ แสดงว่าการพัฒนาสินค้าชุมชนมาถูกทางแล้ว เลยเริ่มไปแตะสินค้าอื่น ๆ ไปสัมผัสวิถีชีวิตของบ้านต่าง ๆ มากขึ้น” ปิ่นเล่า
เธอจับพลัดจับผลูไปเจอสินค้าชุมชนอยู่หลายครั้ง ทั้งคนในพื้นที่แนะนำบ้านนี้ ชวนไปกินของบ้านนู้น ส่วนเกณฑ์วัดความอร่อย ปิ่นบอกว่าถ้าถูกปากคุณแม่ พวกเธอก็ยิ่งมั่นใจ และอีกเกณฑ์หนึ่งคือต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำผึ้งของ คุณลุงจงโกย ผ่านกรรมวิธีที่ไม่ทำร้ายตัวอ่อน กะปิ-เคยขัดน้ำไม่ใส่ฟอร์มาลีน จับจากบริเวณอ่าวไทย ช็อกโกแลต J&O COCOA ที่ปลูกในฟาร์มออร์แกนิกไร้สารเคมี




“ต้องเท้าความก่อนว่าปะป๊ามีมุมมองของนักจัดการ” ปิ่นเริ่มเล่าถึงคุณพ่อ “เพราะว่าเขามีพื้นฐานมาจากการเป็นนักธุรกิจที่ร่วมงานกับคนญี่ปุ่น ซึ่งเขาบอกตลอดว่าคนญี่ปุ่นสนใจหลักการที่เรียกว่า ‘ไคเซ็น’ (Continuous Improvement) หรือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังแนวคิดในการปรับปรุงงานให้กับชุมชน เช่น การปลูกทุเรียนปลอดภัยจากป่าต้นน้ำ ต้องมีการเก็บข้อมูลและนำความรู้มาใช้ให้เกิดการจัดการสวนอย่างเป็นระบบ”
เมื่อมีคำว่าสอนก็ต้องนึกถึงโรงเรียน วนัสเองก็เห็นภาพนั้น เขาเชื่อมโยงการเลี้ยงผึ้งเข้ากับการเรียนการสอน แก้ปัญหากำพร้าเทียมในชุมชนด้วยการให้เด็ก ๆ สนุกกับกิจกรรม พร้อมให้ความรู้เชิงธุรกิจ อย่างการนำไขผึ้งที่เหลือใช้ไปร่วมงานกับ Slip to Sleep ผลิตผ้าไขผึ้งจากนักธุรกิจน้อย โรงเรียนบ้านหินกบ

ฟากฝั่งของสุขภาพดูยากเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเขาห่างไกลจากสายงานการแพทย์แทบจะคนละทวีป แต่ก็มีความพยายามที่จะทำให้โรงพยาบาลระดับอำเภอเข้มแข็งมากขึ้น เช่นเดียวกับกับการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในชุมชนผ่านภาคสังคม รวมถึงความพยายามก่อให้เกิดการรวมตัวกันของชุมชน
“อีกที่หนึ่งที่ผมอยากชวนไปคือ ‘สวนเล้งเหลา’ เจ้าของเป็นนักหาพันธุ์ไม้ เป็นที่ที่มีความหลากหลายมาก ผมลงชุมชนมาพอสมควร ไปดูธนาคารต้นไม้มาหลายที่ ไม่เคยเจอที่ไหนเหมือนที่นี่ คนใต้เรียกว่าสวนสมรม ที่นี่พิเศษกว่านั้นอีก (ยังไงครับ – ผมถาม) ต้องไปดูด้วยตาของตัวเอง” วนัสยืนกราน
222 กิโลเมตร
วนัสบอกว่าการตั้งชื่อ ‘อวดชุม’ ถือเป็นความบังเอิญ เขาเพียงต้องการเอาชุมชนนำหน้า ไม่ได้อยากอวดแค่ชุมพรเพียงจังหวัดเดียว ไม่ได้อยากอวดชุมโคเพียงตำบลเดียว อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่เขาจะไม่ลืมเด็ดขาด คือเขาจะไปต่อในทิศทางไหนกันแน่ ที่แน่ ๆ ไม่ใช่การทำเพื่อเสิร์ฟคนเมืองหรือนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เพราะปลายทางของโครงการนี้มีคำว่า ‘วิถีชีวิต’ เป็นคำตอบที่ต้องเอื้อมไปให้ถึง
“โจทย์ต่อไปของผมคือ ทำยังไงจะเกิด Local Consumption ทำยังไงให้น้ำผึ้ง น้ำตาลเหล่านี้ไปอยู่ในอาหาร ไปอยู่ในวิถีชีวิต ใช้ดูแลเด็ก ดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่นั้น ๆ ได้ ผมไม่อยากเชียร์ที่ใดที่หนึ่งจนเกินเหตุ ต้องหาโมเดลที่หมุนตัวมันเองให้ได้ ไม่งั้นทุกคนจะคิดว่า ทำแล้วต้องขายคนกรุงเทพฯ จะได้ไปสักกี่น้ำ มันฟังดูเซ็กซี่ ดูดี แต่เราอยากจะให้ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงในตัวมันเองให้ได้” วนัสเล่าถึงเป้าหมาย
การสร้างบ้านอวดชุมหลังที่ 2 จำนวน 10 ห้อง ไม่ใช่เพียงเพราะติดลมบน มีความเห่อภาคใต้ปนอยู่บ้างเล็กน้อยอันนี้วนัสยอมรับ แต่เป้าหมายคือการพานายกสภาฯ หรืออธิการบดีจากทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทยมาเข้าพัก สาเหตุนั้นเข้าใจง่าย เพราะเขาต้องการพุดคุยกับคนกลุ่มนี้ถึงวิธีช่วยเหลือชุมชน

“ใช่ ผมไม่มีปัญญาทำอย่างนี้ทั้งประเทศไทย แต่ก็อยากตั้งเป็น Social Enterprise หวังว่ามันจะไปเกิดที่ตำบลอื่น ๆ ให้คนอื่นมาเห็น และไปทำกันต่อ” วนัสยังคงแสดงความมุ่งมันให้เห็นผ่านคำมั่น
ข้าง ๆ กันนั้น ลูกสาวอย่างปิ่นก็กำลังครุ่นคิดถึงทิศทางในอนาคตของ Community Center แห่งนี้ ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจว่า เธออยากให้ที่นี่กลายเป็นโมเดลตัวอย่างของการทำงานร่วมกับชุมชน
ปิ่นยอมรับว่าคุณพ่อมองภาพใหญ่กว่าเธอ สำหรับเธอ การให้ความสำคัญกับการเห็นคุณค่าในทรัพยากรที่มี ตั้งแต่การอนุรักษ์วิธีการผลิตดั้งเดิม การออกแบบประสบการณ์ กระทั่งการเล่าเรื่องราวอย่างภาคภูมิ สิ่งเหล่านี้และอีกมากมาย นับเป็นใจความที่เธออยากให้คนที่มาบ้านอวดชุมได้สัมผัส ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่เธออยากบอกเล่าออกไปให้ไกลกว่าความยาว 222 กิโลเมตร ของชายหาดชุมพรนี้
“ถ้าเราเปิดเฟส 2 แล้วทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผมมีอะไรอีกเยอะเลยที่อยากจะทำ แต่ยังไม่อยากพูดตอนนี้ เดี๋ยวภรรยาบ่นครับ” บทสนทนาจบลงด้วยเสียงหัวเราะของสองพ่อลูกเบื้องหน้าผม
