ท่ามกลางกระแสอินดี้แบ่งบาน Fat Radio กำลังโต ๆ มัน ๆ ในใจของวัยรุ่นทั่วกรุง

วงดนตรีหน้าใหม่วงหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับเพลง อบเชย ที่มีเนื้อร้องย้อนยุค ราวกับอ่านบทประพันธ์ในวรรณคดี ภายใต้ดนตรีบอสซาโนวาที่ฟังสบายไม่ต่างกับนั่งผ่อนคลายยามบ่ายอยู่ริมทะเล

‘Armchair’ คือการรวมตัวของ 4 หนุ่ม คือ โย่ง-อนุสรณ์ มณีเทศ นักร้องนำ, อ้วน-อธิษว์ ศรสงคราม มือฟลูตและคีย์บอร์ด, ผึ้ง-จตุตถพงศ์ รุมาคม มือกีตาร์ และ จ้อ-พีระพล ลีละเศรษฐกุล มือเบสและแซกโซโฟน

พวกเขาคือเฟอร์นิเจอร์ตัวแรกจากค่ายเพลงห้องเล็ก Smallroom ที่สร้างสรรค์บทเพลงสุดละมุนไว้มากมาย ตั้งแต่ อยากกลับไปหา, อีกครั้ง, รึเปล่า, วันที่ฉันป่วย, ไปด้วยกันรึเปล่า, รักแท้ รวมถึงคุณเก็บความลับได้ไหม และแม้เวลาผ่านจะไปนานกว่า 2 ทศวรรษ แต่ความไพเราะก็ไม่เคยจางหาย ยังคงโลดแล่นในใจของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง 

และโอกาสที่ Armchair หวนกลับมาจัดคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปี ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงชักชวนทั้ง 4 สมาชิกมาร่วมกันทบทวนความทรงจำถึงเรื่องราว ชีวิต และความผูกพัน กระทั่งวันที่พวกเขาตัดสินใจบอกลา Armchair ยุคออริจินัลอย่างเป็นทางการ

ทุกอย่างเริ่มต้นที่ศาลาริมน้ำ

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2543 สองเด็กหนุ่ม โย่งและอ้วน จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยได้เข้ามาเป็นน้องใหม่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ทั้งคู่ได้พบกับ ผึ้ง รุ่นพี่ซึ่งมีบุคลิกและสไตล์เฉพาะตัว เพราะนอกจากสวมเสื้อลายดอก ผ้ามัน ๆ ทรงผมเรียบแปล้แล้ว แต่ละวันผึ้งก็จะแบกกีตาร์คลาสสิกมานั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำแบบสบายอารมณ์ 

อาจเพราะรู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้ดูแปลก น่าสนใจ คาแรกเตอร์เท่ ๆ คล้ายกับ หว่อง กา ไว ผู้กำกับคนดังจากเกาะฮ่องกง อ้วนจึงเข้าไปทักทายตีซี้ กระทั่งเริ่มสนิทคุ้นเคย ถึงขั้นที่บางทีผึ้งก็มาสอนวิธีล้างฟิล์มถ่ายภาพให้ จนวันหนึ่งผึ้งจึงถามอ้วนว่า เขาเล่นดนตรีด้วยหรือเปล่า

พอดีสมัยเรียนมัธยม อ้วนเคยเป็นมือฟลูตประจำวงดุริยางค์ ขณะที่ผึ้งเองกำลังคลั่งไคล้ดนตรีบอสซาโนวาเป็นพิเศษ ทั้ง 2 คนจึงมารวมตัวเล่นดนตรีกันภายในคณะ

“เราสนใจดนตรีไม่เหมือนคนอื่น ยุคนั้นคนอื่นเขาจะเน้นไปที่อัลเทอร์เนทีฟ แต่ผมสนใจเวิลด์มิวสิก สนใจเพลงละติน สนใจฟลาเมงโก บอสซาโนวา แซมบาอะไรพวกนี้ เพราะผมมีเพื่อนนักดนตรีชาวต่างชาติที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งทำงานด้วยกัน สอนวิธีการคิดเกี่ยวกับเพลงพวกนี้” ผึ้งย้อนเรื่องราว

เสน่ห์หนึ่งที่ผึ้งไม่เหมือนใคร คือเขามีความสามารถเรื่องการแต่งเพลง บทเพลงอย่าง ทุกค่ำคืน, ภาพลวงตา, หยุดรอ ถือว่าโด่งดังมากและเกือบทุกคนในภาควิชานิเทศศิลป์ต่างร้องได้

“ผมจำได้ว่าพี่ผึ้งน่าจะเป็นคนเดียว วงเดียวในมหาวิทยาลัยที่เวลามีงานมหาวิทยาลัยจะเล่นเพลงตัวเอง ซึ่งเฟี้ยวมาก หรือเวลาไป Outing ต่างจังหวัดกันก็ต้องเล่น” โย่งเล่า

“มันไม่ได้เจ๋งอะไรหรอก คงเพราะเราร้องต่อ ๆ กันในหมู่เพื่อน พี่ ๆ น้อง ๆ มากกว่า” ผึ้งรีบแย้ง

ด้วยความชอบในการร้องเพลงเป็นทุนเดิม แถมสมัยเรียนที่สวนกุหลาบฯ ก็เคยคว้ารางวัลในการประกวดวงดนตรีกับเพื่อน ๆ มาแล้ว เมื่อมีโอกาสได้โชว์เสียงร้องในงานที่คณะ ทำให้โย่งได้เข้ามาคลุกคลีร่วมบรรเลงกับทั้ง 2 คนทีละน้อย ๆ โดยเริ่มจากการช่วยตีเพอร์คัชชัน

ในเวลานั้น พวกเขาไม่เคยคิดถึงการทำเพลงออกอัลบัมเลยแม้แต่นิด เพราะลำพังแค่ร้องเล่นใต้ศาลาก็สุขใจพอแล้ว แต่คงเพราะโชคชะตาที่บันดาลให้วงดนตรีเฉพาะกิจนี้ได้ไปต่อ

หมุนเวลากลับไปราว พ.ศ. 2542 ผึ้งกับเพื่อน ๆ สถาปัตยฯ ลาดกระบัง และ Eric Bailly นักดนตรีหนุ่มชาวฝรั่งเศส เคยร่วมกันตั้งวงดนตรีชื่อ Shakers เพื่อเข้าประกวดในโครงการ VFM MUSIC KNOCKOUT ของคลื่น FM 104.5 MHz แม้ผลสุดท้ายจะไปไม่ถึงดวงดาว แต่อย่างน้อยลีลาการเล่นกีตาร์คลาสสิกสไตล์ฟลาเมงโกของผึ้ง ท่ามกลางวงวัยรุ่นที่เล่นแต่กีตาร์เสียงแตก จึงเตะตา รุ่ง-รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ อดีตมือเบสวง Crub ซึ่งนั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย

รุ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ลาดกระบัง และกำลังฟอร์มทีมกับเพื่อน ๆ ทำบริษัทเพลงโฆษณาชื่อ Smallroom จึงฝาก เจ-เจตมนต์ มละโยธา มือกีตาร์วงพราว ให้มาตามตัวผึ้งถึงที่คณะ เพราะเขากำลังมีโปรเจกต์จะทำอัลบัมแรกของค่ายเพลงห้องเล็ก Smallroom 001 – What happens in this smallroom โดยทำเป็น Compilation รวบรวมวงหน้าใหม่เข้าไว้ด้วยกัน และอยากให้ Shakers เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วย จนเกิดเป็นเพลง หลับรัก ซึ่งมีกลิ่นอายของบอสซาโนวาขนานแท้ชัดเจน

นับแต่นั้นผึ้งก็วนเวียนอยู่แถว The Racquet Club ออฟฟิศแรกของ Smallroom เรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่งเขาได้พาอ้วนกับโย่งไปแนะนำให้พี่ ๆ ที่ค่ายเพลงห้องเล็กรู้จัก

“พอทำ Shakers ได้พักหนึ่ง ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยตอบโจทย์กับคนฟังเท่าไหร่ เราคงต้องลดความชัดเจนของแนวทางบอสซาโนวาลงบ้าง ให้มีความเป็นป๊อปมากขึ้น แต่ตอนนั้นยังไม่ได้บอกพี่รุ่งว่าเรามีอีกวงด้วย เพราะเราเล่นกันอยู่แค่ในคณะ แต่งเพลงได้ก็ให้อ้วนให้โย่งฟัง” ผึ้งเท้าความ

“ความจริงไม่ได้ตั้งใจไปเล่นดนตรี แต่ไป Smallroom เพราะตอนนั้นที่กำลังทำอัลบัมใหม่ แล้วต้องการนายแบบขึ้นปกพอดี ผมจึงไปเป็นแบบขี่เวสป้าให้ และพอพี่รุ่งมาเจอแล้วชื่นชอบในคาแรกเตอร์ของผม ก็เลยชวนให้มาลองร้องเพลงให้ฟัง ผมเลยร้องเพลง หยุดรอ ซึ่งพี่ผึ้งแต่ง และด้วยความที่เราร้องบ่อย อินด้วย พอพี่รุ่งได้ยินเลยกรี๊ดมาก ก็คุยกันต่อว่าสนใจมาร้องเพลงแบบจริงจังไหม” โย่งเล่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากการเล่นเพอร์คัชชันมาสู่ตำแหน่งนักร้องนำ 

“พอคุยกันปุ๊บ เข้าห้องอัดปั๊บ ลองอิมโพรไวส์กันเลย เพลงแรกที่ทำน่าจะเป็น ป่วนปั่น ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เหมือนตกกระไดพลอยโจน แต่ทุกสิ่งที่ทำก็สนุกดี ไหลไปเรื่อย ๆ แต่ความทรงจำจะพร่ามัวนิดหนึ่ง เพราะทุกอย่างเริ่มตอนกลางคืน สักตอนตี 1 – 2” อ้วนย้อนความจำพร้อมเสียงหัวเราะ

นั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวงดนตรีใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนภาคต่อของ Shakers โดยมีสมาชิกหลัก 3 คน คือโย่ง ร้องนำ อ้วน เป่าฟลูต และผึ้ง เล่นกีตาร์

การเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้าน Smallroom เต็มตัวเปิดโลกให้พวกเขามาก เนื่องจากทุกคนในบริษัทล้วนเป็นนักฟังเพลงตัวจริงที่พร้อมแนะนำผลงานดี ๆ ให้รุ่นน้อง เช่น อ้วนซึ่งเดิมทีฟังแต่เพลงไทยเป็นส่วนใหญ่ ก็เริ่มรู้จักวงดนตรีเมืองนอกดี ๆ อาทิ วง Air ซึ่งเขายังฟังเรื่อยมาถึงวันนี้ 

ไม่เพียงแค่นั้น รุ่งยังผลักดันให้ทั้ง 3 คนทดลองแสดงสดต่อหน้าผู้ชม เพื่อดูศักยภาพว่าจะดึงดูดคนฟังได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งวงน้องใหม่ก็ตอบรับคำเชิญชวนนี้ เพียงแต่ทางพี่ใหญ่อย่างผึ้งมองว่าคงจะดีหากมีมือเบสเข้ามาช่วยเสริมอีกคน อ้วนจึงเสนอชื่อ จ้อ รุ่นพี่ที่ชมรมดุริยางค์สวนกุหลาบฯ

จ้อเป็นมือแซกโซโฟนมากฝีมือ โดยหลังจากเก็บหน่วยกิตที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครบถ้วนภายใน 3 ปีครึ่ง จึงมีเวลาเหลือไปหาประสบการณ์พิเศษ เช่น กระโดดไปช่วยเพื่อนที่วง TU Band ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งไปศึกษาดนตรีเพิ่มเติมกับ อาจารย์ปราชญ์ อรุณรังษี มือกีตาร์ระดับตำนานของไทย โดยระหว่างนั้นเขายังได้พบปะกับอ้วนเป็นประจำ

“บ้านของอ้วนอยู่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เย็น ๆ ค่ำ ๆ เด็กสวนกุหลาบฯ จะนัดกินเหล้ากัน แล้ววันหนึ่งอ้วนก็ถามว่า ว่างไหม มาช่วยเล่นเบสให้หน่อย ผมก็บอกว่าได้ เราไม่รู้หรอกเขามีโปรเจกต์อะไรกัน และความจริงผมไม่ได้เล่นเบสเป็นหลัก อย่างช่วงที่หาความรู้จากข้างนอกก็เรียนทุกอย่างที่ไม่ใช่เบส แต่พอมีพื้นฐานมาบ้างสมัยมัธยม” จ้อทบทวนเรื่องราว

คอนเสิร์ตแรกของวงเกิดขึ้นที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นคอนเสิร์ตรณรงค์เพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัด ทั้ง 4 คนจำได้ดีว่าบรรยากาศเริ่มต้นค่อนข้างฉุกละหุก

“เรานัดเจอที่ร้านอะไรสักแห่งแล้วนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน” จ้อเปิดฉาก

“ตอนนั้นกูยังจำชื่อมึงไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าเราไปนั่งจดคอร์ดกันในรถเลย” ผึ้งเสริมต่อ

“เพลงผมไม่เคยฟังมาก่อน รู้แค่ว่าอ้วนบอกให้เล่นบอสซาโนวา ผมก็โอเค เพราะเล่นเครื่องเป่ามาก่อนพอได้ฟังแจ๊สฟังอะไรมาบ้าง พอถึงเวลาพี่ผึ้งเล่นไปเลย เดี๋ยวผมตามไป คอยอุดให้ แล้วก็ฟังว่าท่อนไหนต่อท่อนไหน ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ” มือเบสเล่าเรื่องครั้งแรกกับวง

แม้จะยังไม่มีชื่อวง เล่นเพลงที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ประสบการณ์จากการฝึกซ้อมใต้ศาลาริมน้ำและงานคณะนานหลายเดือน ส่งผลให้คอนเสิร์ตครั้งนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี จนนำมาสู่การทำอัลบัมแรกจริงจัง

พอดีเวลานั้น ทีมห้องเล็กได้รับติดต่อจาก จ๋อย-นัตดา บุรณศิริ ว่า Universal Music กำลังมีแผนเปิดตลาดเพลงไทยเต็มตัว และอยากชวน Smallroom มาร่วมกันตั้งต้นโปรเจกต์ด้วยกัน รุ่งจึงถือโอกาสดีส่งวงดนตรีน้องใหม่มาประเดิมสังกัดใหม่

โดยชื่อ Armchair นี้เป็นไอเดียของผึ้งที่อยากให้บทเพลงของพวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของความสบาย ความผ่อนคลาย ที่สำคัญคือเก้าอี้นวมนี้ยังมีความสง่างาม ดูนิ่งแต่สุภาพ ให้ความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งพอได้ฟังคอนเซปต์ ทุกคนก็ตอบรับและกลายเป็นชื่อที่ติดหูผู้ฟังมาจนถึงปัจจุบัน

การทำอัลบัมแรกของ 4 หนุ่มจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะหากไม่นับ สี่เต่าเธอ ซึ่งเคยมีผลงานมาตั้งแต่ยุคอัลเทอร์เนทีฟ Armchair ถือเป็นวงดนตรีแรกที่ทีม Smallroom ปลุกปั้น ดังนั้นการทำงานทุกกระบวนการจึงไม่ต่างจากการลองผิดลองถูก

เพราะนอกจากความใหม่ของสมาชิกแต่ละคน แนวเพลงบอสซาโนวาที่ 4 หนุ่มเลือกมานำเสนอนั้น ห่างไกลจากความสนใจของกลุ่มผู้ฟังทั่วไปพอสมควร แต่เมื่อเป็นตัวตนและความสนใจของสมาชิก ทุกคนพร้อมจะเสี่ยงไปด้วยกัน 

โชคดีที่อย่างน้อยผึ้งมีวัตถุดิบเป็นเพลงที่แต่งเก็บไว้มากกว่าครึ่งอัลบัม หน้าที่หลักของทีม Smallroom ทั้ง รุ่ง เจ และ เชาวเลข สร่างทุกข์ คือการทำให้ผลงานชิ้นนี้ให้ดูเท่ขึ้น ป๊อปขึ้น และมีสไตล์ที่โดดเด่น รวมทั้งเสริมการเขียนเนื้อร้อง ทำนอง และเรียบเรียงดนตรีในบางจุดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

“เราทำงานแบบคิดสดระดับหนึ่ง คือโครงสร้างเพลงของพี่ผึ้งมีอยู่แล้ว ส่วนอื่น ๆ ไปต่อยอดในห้องอัด จำได้ว่าส่วนของฟลูต อิมโพรไวส์เยอะเหมือนกัน เพราะไม่มีต้นแบบให้ฟังตรง ๆ อิทธิพลหลักมาจาก Carlos Jobim แต่เป็นกึ่ง Jobim ที่มีความเป็นป๊อปมากขึ้น และด้วยความที่เราเล่นฟลูตมา จะไม่ค่อยรู้เรื่องระบบคอร์ดเท่าไหร่ สิ่งที่ทำได้คือแต่งเมโลดี้เข้าไปในเพลงเลย” อ้วนมือฟลูตย้อนความจำ

“ผมมักบอกพี่ ๆ ว่าอย่าคิดมาก มีอะไรเราก็ทำไป บางเพลงอย่าง สิมิลัน โย่งกับอ้วนเป็นช่วยกันเคาะบีต ช่วยหาซาวนด์แอมเบียนต์ ใครชอบอะไรก็ทำกันง่าย ๆ เท่าที่มี เพลงต่าง ๆ มีความเป็นธรรมชาติสูง แต่ในอีกมุมต้องยอมรับว่า ด้วยความที่เราเริ่มจากใต้ศาลา ทักษะอะไรก็ไม่ค่อยมี เราจึงพร้อมที่จะแชร์สิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน ให้พี่รุ่งแนะนำ มีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเขียนเพลง เขียนเมโลดี” ผึ้งช่วยเสริม

อีกโอกาสหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากคือ การที่ Armchair ได้นำผลงานอย่าง สิมิลัน เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอัลบัม Café Del Mar Volumen Ocho ตั้งแต่อัลบัมแรกยังไม่เสร็จดี 

จุดเริ่มต้นมาจากการที่ Universal Music (Thailand) เป็นตัวแทนผู้จัดจำหน่ายผลงานซีรีส์นี้ในประเทศไทย จึงทราบข่าวว่า Café Del Mar ซึ่งเป็นอัลบัม Complilation ระดับโลกที่คัดสรรเพลง Chill Out จากมุมต่าง ๆ ของโลก กำลังรวบรวมบทเพลงสำหรับอัลบัมชุดที่ 8 และใกล้จะปิดอัลบัม ผู้ใหญ่ของค่ายจึงสอบถามมาทางวงว่า สนใจส่งผลงานไปสมัครด้วยหรือไม่

“เขาถามว่าเรากล้าไหม ผมเลยบอกเลยว่า ถ้าไม่กล้า ไม่ต้องทำอัลบัมหรอก ก็เลยทำกันเดี๋ยวนั้นเลย” พี่ใหญ่ของวงเล่าที่มาที่ไป

“ช่วงนั้นเพลง Chill Out ดังมาก มันเหมือนเอาดนตรีบอสซาฯ ละติน มาผสมกับซาวนด์หรือบีตสมัยใหม่ ซึ่งข้อดีคือเรามีรากฐานในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เลยไม่ยากที่จะทำเพลงโทนนี้ขึ้นมา” จ้อช่วยเสริม

“ความจริงผมเป็นแฟน Café Del Mar มานานแล้ว เพราะเมื่อก่อนจะเดินถนนข้าวสารบ่อย เขาจะเปิด Café Del Mar ซึ่งใน Volume Siete มีวงชื่อ Lux เดิร์นชิบเป๋ง และพอเรามาอยู่ที่ Universal พี่เอ๋ (อัญชนา ปันยารชุน ผู้บริหารของค่าย) อยากให้เรามาประชุมกันเร็ว ๆ ตรงเวลา โดยเฉพาะผม เลยบอกว่า ถ้ามาตรงเวลา พี่จะให้เข้าสโตร์ไปเลือกแผ่นได้เลย 10 แผ่น คราวนี้ก็กรี๊ดเลย ซึ่ง Universal เป็นคนจัดจำหน่าย Café Del Mar ตอนนั้นเลยฟินมาก” โย่งเล่า

“คือเขาสร้างแรงบันดาลใจให้เรา เพราะเขามี Source เยอะมาก จึงพยายามป้อนเต็มที่ ซึ่งพอได้ Reference เรารู้ว่ากีตาร์ต้องเป็นฟลาเมงโก แต่ต้องวางบีตอีกแบบ ส่วนการตีความ เราอยากให้ผู้คนฟังแล้วนึกถึงทะเล ความรู้สึกที่ล่องลอย ตอนนั้นเราทำเท่าที่ทำได้ คือไม่ได้เก่งหรอกนะ แต่เราช่วยกัน ซึ่งปรากฏว่าได้รับเลือก ถ้าจำไม่ผิดในเอเชียไม่มีใครได้เลย” ผึ้งทบทวนเรื่องราว

แม้การทำงานทั้งหมดจะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน หลังจากที่สมาชิกแต่ละคนเรียนเสร็จ และทีม Smallroom ทำภารกิจผลิตเพลงโฆษณาเรียบร้อย แต่อัลบัมแรกของทุกคนก็ดำเนินมาถึงปลายทางได้รวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียง 3 – 4 เดือนเท่านั้น

อาจมีสะดุดบ้างตรงเพลง อีกครั้ง ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่บันทึกเสียง เพราะหลังจากที่โย่งอัดเสียงร้องเสร็จตอนตี 2 และเตรียมส่งมาสเตอร์ทั้งหมดในช่วงเช้า ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น 

เนื่องจากเวอร์ชันที่โย่งร้องดีที่สุดนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนทำให้เขาต้องออกไปนั่งสงบสติอารมณ์สักพักใหญ่ ๆ จึงมีแรงกลับมาร้องเพลงที่ยากสุดในอัลบัมนี้ให้ลุล่วง ซึ่งทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีในเวลา 6 โมงเช้า ทันตามเส้นตายที่บริษัทกำหนดไว้พอดี

อัลบั้ม Pastel Mood วางแผนครั้งแรกในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2544 โดยมีเพลง อบเชย ซึ่งเชาวเลขได้ต้นแบบการเขียนเนื้อมาจากวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี และโครงเรื่องจากภาพยนตร์เกาหลีสุดฮิต อย่าง My Sassy Girl เป็นผลงานเปิดตัวสู่สาธารณชน

อบเชย เป็นเพลงท้าย ๆ ที่แต่งขึ้น เพราะอยากให้มีเพลงที่อธิบายคาแรกเตอร์ของวง ถ้าเราฟังมวลรวมทั้งหมดจะมีความเป็นเรโทรป๊อปมาก จึงอยากได้เพลงภาษาที่ดูเรโทรไปเลย แบบมีคำว่า ‘กำสลวลจิตใจ’ ซึ่งพี่เชาวเลขทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ สะท้อนอารมณ์ Armchair ที่เป็นบอสซาโนวาฟังสบาย และดูหรูหราโอ่อ่า อีกอย่างคือเพลงนี้มีครบทั้งฟลูตและแซกโซโฟน เหมาะเป็นซิงเกิลเปิดตัว ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินเพลงออนแอร์ ผมไปปีนเก้าอี้ แล้วเอาหูแนบลำโพงในร้าน Crepe Corner ฝั่งตรงข้าม Smallroom มันมหัศจรรย์มาก เพราะนั่นเป็นก้าวแรกที่ผลงานของเราสื่อสารถึงโลกภายนอก” โย่งยังจำภาพวันนั้นได้ดี

“อีกอย่างคือเรารู้สึกว่ากว่าที่เพลงจะออกมาได้ มันขาดใครไม่ได้เลย นี่คือผลงานของทุกคน คือหยาดเหงื่อ คือลมหายใจ ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากทุกอย่างไม่ลงตัว เหมาะเจาะกันแบบนี้” ผึ้งกล่าวย้ำ

แม้ผลงานชุดนี้จะแหวกแนวจากตลาดโดยสิ้นเชิง แต่เสน่ห์อันแปลกใหม่ทำให้ผู้คนในวงการต่างยื่นมือมาช่วยสนับสนุน โดยครั้งนั้น Armchair ได้เปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ที่ร้านโอลด์-เล้ง RCA แต่ด้วยความตื่นเต้น จึงร้องผิดและเล่นพลาดเต็มไปหมด ทว่าสื่อมวลชนที่ไปร่วมฟังต่างพร้อมให้กำลังใจเต็มที่ รวมทั้งยังได้รับคัดเลือกให้เป็นศิลปิน [V] Spotlight ของ Channel [V] Thailand ตลอดจนได้ขึ้นเวทีใน Fat Festival ครั้งแรกที่โรงงานยาสูบเก่าอีกด้วย

ที่สำคัญ คือนอกจาก 2 บทเพลงอย่าง อยากกลับไปหา และ อีกครั้ง จะมาแรงขึ้นชาร์ตคลื่นวิทยุต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้ว เพลง ป่วนปั่น เวอร์ชัน Remix ยังถูกนำไปรวมกับอัลบัม Eastern Sunrise วางจำหน่ายไปทั่วเอเชียอีกด้วย นับเป็นเรื่องเกินไกลฝันของวงดนตรีเล็ก ๆ ที่มีจุดกำเนิดจากศาลาริมน้ำ 

เพราะฉะนั้นต่อให้ก้าวแรกของ Armchair อาจไม่ใช่ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นก็ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในใจของผู้ฟังเป็นที่เรียบร้อย

3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 คือวันแรกที่ รึเปล่า บทเพลงแรกจากอัลบัมชุดที่ 2 ของ Armchair ถูกเปิดขึ้นตามคลื่นวิทยุต่าง ๆ

ทันใดนั้นเองประโยคที่ว่า รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า ไม่อยากจะคาดเดา เราอาจจะคิดไปเอง ก็กลายเป็นคำฮิตติดปากที่ผู้คนร้องตามกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง

แม้จะฉีกแนวจากอัลบัม Pastel Mood ค่อนข้างมาก แต่สำหรับใครหลายคนแล้ว รึเปล่า คือจุดตั้งต้นที่ทำให้รู้จักกับเก้าอี้นวมแห่งโลกดนตรีวงนี้

“เป้าหมายของ Smallroom คือความสำเร็จ ซึ่งองค์ประกอบนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องตัววงหรือตัวเงินเท่านั้น แต่เป็นภาพรวมว่าผู้คนมีมุมมองอย่างไร เรารู้ว่าทำบอสซาฯ นั้นรอด แต่ไม่จำเป็นต้องทำบอสซาฯ อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งพอเราพูดคุยกับพี่ ๆ เขาอยากขอฉีก โดยนำประสบการณ์จากการทำเพลงโฆษณามาผสมผสาน ด้วยการทำเพลงเป็นสวีดิชป๊อป ซึ่งต้องยอมรับว่าพวกเราไม่ถนัดเลย แต่ก็ถือว่าเป็นความท้าทายที่น่าทดลอง” ผึ้งเล่าถึงความเปลี่ยนแปลง

นั่นเองที่กลายเป็นที่มาของชื่ออัลบัม Design ซึ่งวางแผงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 โดยมีถ้อยคำ Second Concept ปรากฏอยู่บนหน้าปก ภายใต้แนวคิด ‘เพลงป๊อปที่ไม่มีขอบเขต’ คือเพลงป๊อปที่ถูกออกแบบให้มีรายละเอียดดนตรีเพิ่มขึ้น มีการใช้เครื่องสายเข้ามาเสริม และเน้นจังหวะที่สนุกมากขึ้น ฟังแล้วรู้สึกใสปิ๊ง ฟังสบาย ไม่น่าเบื่อ และร่วมสมัย

มากกว่านั้นยังมีการดึงสรรพกำลังทุกภาคส่วนใน Smallroom เข้ามาร่วมกันผลิตอัลบัม ตั้งแต่ กอล์ฟ-ประภพ ชมถาวร จาก Superbaker, Cesar B. de Guzman หรือที่รู้จักในชื่อ Cyndi Seui, ปริญญ์ อมรศุภศิริ จาก Death of a Salesman ตลอดจนวง Stylish Nonsense ทำให้อัลบัมนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายและสีสันที่มากขึ้นกว่าอัลบัมชุดแรก

“ชุด 2 เขาอยากให้เราป๊อปมากขึ้น การทำงานค่อนข้างเร่ง แทบไม่ได้พักเลย อาจเพราะด้วยสัญญาที่มีกับ Universal ดังนั้น อัลบัมนี้ชื่อคนทำงานจึงเยอะมาก หลากหลายมาจากทุกที่ เลยเหมือนกับว่าเป็นโอกาสที่ Smallroom ใช้สร้างค่าย ไปพร้อมกับเราสร้างแบรนด์” โย่งกล่าว

แม้การทำงานจะมาจากการตกผลึกร่วมกัน แต่ด้วยคอนเซปต์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแนวเพลง ส่งผลให้สมาชิกแต่ละคนต้องปรับตัวตาม

อย่างโย่งไม่ได้ร้องเท่านั้น แต่มาช่วยเล่นกีตาร์อีกแรง ส่วนผึ้งซึ่งปกติจะเล่นแต่กีตาร์คลาสสิกสายไนลอนเป็นหลัก ก็ต้องปรับไปเล่นกีตาร์ไฟฟ้าเสียงแตก เช่นเดียวกับอ้วน ซึ่งในอัลบัมนี้เขาไม่ได้เล่นฟลูต แต่หันไปเล่นคีย์บอร์ดแทน ทั้ง ๆ ที่ตลอดชีวิตไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้เลย

“การเล่นฟลูตในวงดนตรีนั้นทำงานได้แคบมาก ทิศทางค่อนข้างลำบาก อยู่ในเพลงป๊อปไม่ค่อยได้ เพราะไม่ใช่สายคอร์ดหรือสายโครงสร้าง เป็นเมโลดีได้อย่างเดียว เราเลยมาคุยกันว่า คงจะดีกว่าถ้าย้ายตัวเองมาเล่นคีย์บอร์ด ทางจะได้กว้างขึ้น คราวนี้เล่นได้หมด แต่บทหนักคือเราไม่เคยเล่นมาก่อน ก็ต้องเริ่มจากกดเมโลดี หัดกดคอร์ด ค่อย ๆ พัฒนาเรื่อยมา เพราะที่ Smallroom เป็นแนวแบบ Multifunction อยากให้คนหนึ่งทำได้หลายอย่าง เช่น บางทีพี่รุ่งมาบอกว่า เฮ้ย ไปลองหาทรัมเป็ตมาเล่นบ้างดิ ซึ่งเราจะเป่าได้ยังไง มันคนละสายกันเลย” อ้วนเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

แม้การทำเพลงในอัลบัม Design อาจจะขรุขระไปบ้าง แต่มองอีกมุมก็ถือเป็นจังหวะการก้าวกระโดดของ 4 หนุ่ม เพราะบทเพลงต่าง ๆ ต่างทะยานขึ้นแตะอันดับ 1 ของชาร์ตวิทยุ ทั้ง รึเปล่า, อาจเพราะเธอ, Minute of Love และ วันที่ฉันป่วย

เช่นเดียวกับเรื่องยอดขายที่ถล่มทลาย มีการเปลี่ยนปก ทำเวอร์ชันพิเศษ อย่าง Re-Design ที่มีทั้งซีดีและวีซีดี รวมถึงอัลบัมพิเศษสำหรับแฟนคลับสายสะสมที่ทุกวันนี้กลายเป็นของหายากไปแล้ว อย่าง JUST PLAY ทำลายความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ชุดที่ 2 ในวงการเพลงไทยลงอย่างราบคาบ

แต่ที่มากกว่านั้นคือ Design ยังพาพวกเขาไปไกลได้พบเจอกับแฟน ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ถึงขั้นมีเรื่องเล่าว่าช่วงที่ไปเปิดคอนเสิร์ตที่ศาลาอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีแฟนเพลงมารอชมล้นหลามสุดลูกหูลูกตาจนรถเข้าไม่ได้ แถมบรรยากาศการเล่นก็สนุกสนาน ผู้คนต่างส่งเสียงกรี๊ดดังสนั่น ถึงขนาดทำให้ไฟล์ภาพในม้วนวิดีโอที่นำไปอัดนั้นกระตุกขึ้นเป็นเส้น

“เวลาไปแคมปัสทัวร์ที่ไหน ทุกคนเหมือนเพื่อนเราหมด เพราะเราเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นศิลปินที่ไม่ได้เข้าถึงยาก เราไม่ได้รู้สึกถึงคำว่าไอดอล ทุกคนคือเจนฯ เดียวกัน เป็นเด็กมหาลัยเหมือนกัน ไม่มีกำแพง เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและมหัศจรรย์” ผึ้งรำลึกถึงวันวาน

ไม่เพียงแค่นั้น ยังเกิดกระแสแฟชั่น ทำผมและแต่งตัวตามแบบโย่งและอ้วนเกือบทุกงานคอนเสิร์ต ยืนยันถึงความเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุค 2000 อย่างแท้จริง

“ผมว่าน่ารักดี เหมือนเป็นการให้เกียรติกันในความรู้สึกของผม อย่างตอน Fat Festival เดินไปไหนก็ต้องมีน้อง ๆ ที่ทำผมเป็นแบบพี่อ้วน ทำผมเป็นแบบพี่โย่ง ซึ่งสุดท้ายมันสะท้อนกลับมาที่ตัวเราด้วยว่า ณ ตอนนี้ เรากำลังเป็นแบบอย่างให้ใครสักคนแล้ว ทำให้เราต้องพยายามทำตัวให้ดีขึ้นด้วย” โย่งกล่าว

เพราะฉะนั้น การพลิกโฉมจากบอสซาโนวาสู่เพลงป๊อปเต็มรูปแบบของ Armchair ในครั้งนี้ จึงให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และช่วยให้ทั้ง 4 คนเติบโตบนเส้นทางสายดนตรีได้อย่างมั่นคง

แม้จะออกอัลบัมมาแล้วถึง 2 ชุด แสดงคอนเสิร์ตมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเขายังรู้สึกไม่มั่นใจเวลาออกไปหน้าเวที ไม่แน่ใจว่าบทเพลงที่บรรเลงจะดึงอารมณ์ของผู้ชมได้หรือไม่ ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นทำอัลบัมใหม่อีกครั้ง จึงอยากหาหนทางแก้ปัญหาที่สั่งสมมานาน

จิ๊กซอว์สำคัญที่เหล่าสมาชิก Armchair มองหา คือมือกลอง

เพราะที่ผ่านมา พวกเขาทำงานผ่านซอฟต์แวร์ Hard Disk Recording เวลาคิดเพลงก็ไม่ได้มีมือกลองมาเล่นไปด้วยกัน ทุกอย่างอาศัยการสร้างจังหวะจากกีตาร์และเบสเป็นหลัก

“ต้องยอมรับว่าความสำเร็จเกิดขึ้นเร็ว แต่เรายังมีทักษะไม่พอ ยิ่งอัลบัมที่ 2 ซึ่งแต่ละเพลงมีรายละเอียดทางดนตรีไกลกว่าตัวเรา มีความเป็นสตูดิโอสูง ทำให้มีปัญหาเวลาเล่นสด บางเพลงเช่น รึเปล่า บ่อยครั้งต้องเล่นกับ Backing Track หรือต่อให้มีมือกลองเก่ง ๆ มาช่วยก็ยังรู้สึกกดดันอยู่ดี” ผึ้งเล่าต่อ

กระทั่งวันหนึ่ง ค่ายได้แนะนำให้ Armchair รู้จักกับ ข่อย-สมบัติ สวัสดิ์พานิช ซึ่งพอเห็นฝีไม้ลายมือและพูดคุยถึงชีวิตส่วนตัว ทั้งหมดจึงตอบรับมือกลองผู้นี้เป็นสมาชิกหมายเลข 5

“อาจเป็นจังหวะด้วยหรือเปล่าไม่รู้ เพราะที่ผ่านมามีมือกลองประกวดระดับประเทศมาช่วยเล่นหลายคน แต่เราก็ไม่ได้รับเป็นสมาชิก จนข่อยมา เราเห็นว่าเขาทำงานกับเราได้ดี ผมเลยบอกน้อง ๆ ว่า คนนี้เขามีลูกสาวที่ยังเล็ก อยากสนับสนุน อย่างน้อยจะได้มีรายได้ด้วย” ผึ้งเล่าเหตุผล

เมื่อสมาชิกครบถ้วน คราวนี้ก็มาถึงเรื่องทำเพลง ซึ่งพวกเขาได้ลงมือสร้างสรรค์งานเองกันเต็มตัว ทั้งเขียนเนื้อร้อง ทำนอง และเรียบเรียง โดยวางโจทย์ว่าต้องเป็นเพลงที่เหมาะสำหรับการแสดงสด

“เราว่าถ้าสื่อสารกับคนดูตอนไลฟ์ได้มากกว่านี้ การแสดงของเราจะสนุกมากขึ้น เราอยากได้เพลงที่แบบเด้ง ๆ ดึ๋ง ๆ เพิ่มสปีดขึ้นนิดหน่อย ให้มีกรูฟมากขึ้น ซึ่งพอมีพี่ข่อยเข้ามา บวกกับ Smallroom สร้างห้องซ้อม เราเลยรู้สึกว่าจังหวะนี้แหละที่เราจะทำอัลบัมคอนเซปต์แบบนี้” โย่งเล่าถึงไอเดีย

นั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอัลบัม Spring ที่เปรียบเสมือนสปริงพา Armchair ไปสู่โลกใบใหญ่ เป็นฤดูใบไม้ผลิที่วงดนตรีจากค่ายห้องเล็กจะได้ผลิบานเต็มที่ 

“ตอนนั้น Smallroom ใช้วิธีง่าย ๆ คือพวกมึงเข้าไปอยู่ในห้องซ้อมก่อนเลย ซ้อมเสร็จก็อัดเป็นเทป 4 แทร็ก มีไมค์ มีกลอง มีเบส มีกีตาร์ แล้วอัดลงเทปเดโม เพื่อจะได้นำมาพัฒนาต่อว่าเพิ่มตรงนี้ดีไหม หรืออัดเก็บกันลืม” จ้ออธิบาย 

“เพลงส่วนใหญ่เราเริ่มจากในห้องซ้อม สมมติว่าผมมีเสียงนี้อยู่ในหัว อ้วนลองเล่นนิดหนึ่ง ตื้อดือดื้อดือ แล้วผมก็ข้ามไปเล่นอีกไลน์ จากนั้นเบสก็รับไป กลองก็ฟัง กลับไปกลับมา หรือตรงนี้ผมไม่อยากได้เสียงกีตาร์ อ้วนก็คิดไลน์คีย์บอร์ดให้ ส่วนข่อยเข้ามาใหม่ เขาไม่ได้ตีบอสซาฯ มาก่อนก็ค่อยปรับกันไป จนในที่สุดเกิดเป็นเพลง รักแท้ เราไม่ได้เก่งขึ้นหรอก แต่เราปรับตัวให้โตขึ้น” ผึ้งฉายเบื้องหลังเพลงฮิต

“เพลง ไปด้วยกันรึเปล่า ก็เหมือนกัน เราจะไม่มีทางได้เวอร์ชันนี้เลย ถ้าเราไม่ได้เริ่มในห้องซ้อม คือฟังครั้งแรกรู้เลยว่าใช่มาก เหมือนกับว่า Armchair เดินทางมาถึงการสื่อสารที่ต้องสนุก เป็นเพลงที่ตอบโจทย์ ถึงทุกวันนี้ยังต้องเล่นเพลงนี้ปิดท้ายคอนเสิร์ต” โย่งเล่าถึงเพลงที่ประทับใจที่สุด

“ถ้าจะว่าไป อัลบัมนี้เหมือนย้อนกลับไปที่อัลบัมแรก อย่างเสียงดนตรีท่อนเปิดของเพลง ไปด้วยกันรึเปล่า ผมนำมาจากเพลงละติน แต่ผมเล่นเป็นร็อก คือไม่มีใครทำหรอก มันเหมือนเราวิ่งสวนทางกับคนอื่น ถ้าวงอื่นเขาคงจะนับหนึ่งที่ร็อกแล้วโตขึ้นมาเป็นบอสซาฯ แต่เราเล่นบอสซาฯ ก่อนถึงพัฒนาเป็นร็อก” ผึ้งสรุปภาพรวม

หลังแต่งเพลงครบทั้ง 10 เพลง Armchair ได้ชวนแฟนเพลงมาจัด Meeting ร่วมฟังเพลงทั้งหมด ก่อนบันทึกเสียง เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและสร้างความมั่นใจว่า จะเปิดรับความเปลี่ยนแปลงของวงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจกับเพลงสไตล์ใหม่ของวงดนตรีเก้าอี้นุ่มที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นป๊อปร็อก สลัดภาพหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตกับเพลงหวานซึ้งเนิบช้าออกไป มาสู่ภาพลักษณ์สุดเซอร์ที่พร้อมกระโดดโลดเต้นไปกับคนฟัง

ยิ่งกว่านั้นทางค่ายยังเปิดโอกาสให้แฟนคลับช่วยเลือกเพลงโปรโมต โดยเพลงที่เข้าวินคือ ไปด้วยกันรึเปล่า ซึ่งถือว่าตรงใจสมาชิก และเป็นภาพสะท้อนศักราชใหม่ของ Armchair ได้ดีที่สุด

“ชุดที่ 3 แปลกกว่าชุดอื่น เพราะพอเปิดฟังเมื่อไหร่ ในหัวจะนึกถึงตอนเล่นคอนเสิร์ตตลอด คือไม่ได้มีไว้แค่ฟังอย่างเดียว ถือเป็นอัลบัมที่ภูมิใจ เพราะเราโตขึ้น ได้ทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ในการเล่นดนตรี ซึ่งก่อนหน้าเราเล่นบอสซาฯ มาตลอด แต่คราวนี้เราได้ปล่อยพลัง ได้โวยวาย ได้สนุกเต็มที่” โย่งอธิบาย

จากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอัลบัม Design และ Spring ทุกคนอยากลองฉีกแนว ทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง ขณะเดียวกันยังต้องการย้อนอารมณ์คนฟังกลับไปสู่จุดเริ่มต้น จึงนำเพลงเก่าตั้งแต่อัลบัมแรกถึงอัลบัมล่าสุดมาทำเป็นเวอร์ชันอะคูสติก

ครั้งนั้นพวกเขานำเครื่องดนตรีอย่างเมโลเดียน เมาท์ออร์แกน ฟลูต และไซโลโฟน เข้ามาผสมผสาน โดยใช้บ้านของผึ้งเป็น Bedroom Studio และมีเพลงใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 4 เพลง คือ น้ำหนัก, แพร, สิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจ และ Casual จนเกิดเป็นอัลบัมที่ 4 Tender ซึ่งปรากฏว่าได้เสียงตอบรับที่ดีไม่แพ้กัน

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน Armchair ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่ออ้วนขอหยุดพัก เพื่อลัดฟ้าไปเรียนศิลปะที่สถาบัน Kunstakademie Düsseldorf ประเทศเยอรมนี เมื่อ พ.ศ. 2549

“ความจริงผมคุยเรื่องเรียนต่อกับวงตั้งแต่ชุด 2 ว่าถ้าหมดชุด 3 อาจจะแยกย้ายนะ เพราะว่าการทำงานศิลปะเป็นความฝันของเรามาตลอด” อ้วนเท้าความ 

“พออ้วนไม่อยู่ รู้สึกใจหายเหมือนกัน มันเคว้ง ๆ ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าเอายังไงดี หรือว่าไปทำอย่างอื่น เพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่เริ่มต้นชีวิตหลาย ๆ อย่าง ต้องยอมรับว่าผมรัก Armchair มาก แต่พออ้วนไม่อยู่ ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม” โย่งกล่าวเสริม

ระหว่างนั้น อ้วนจึงถือโอกาสทิ้งทวน ส่งอัลบัมส่วนตัวชื่อว่า Like How You Feel ที่ทำร่วมกับค่าย SO::ON DRY FLOWER นำเสนอเพลงช้าซึ่งเต็มไปด้วยความหม่น เพราะด้านร่าเริงนั้นเขาใช้ไปกับวง Armchair หมดแล้ว ขณะที่สมาชิกที่เหลือก็ตัดสินใจก้าวออกมาจาก Smallroom ก่อนที่ปีถัดมาจะช่วยกันทำซิงเกิลจำนวน 2 เพลง คือ ลืมตา กับ คืนฝันที่ว่างเปล่า จำหน่ายในงาน Fat Festival ครั้งที่ 7 

จากนั้นแต่ละคนต่างแยกย้ายไปทำภารกิจส่วนตัว ส่งผลให้ข่าวคราวของวงดนตรีเก้าอี้นวมนี้ค่อย ๆ จางหายไป

ARMCHAIR IS COMING! คือข้อความที่ปรากฏหลังปก EP View แต่ในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่พวกเขาจะกลับมาได้ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ อาจเพราะแรงบันดาลใจที่ขาดหายไป ส่งผลให้อัลบัมเต็มชุดที่ 5 ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ระหว่างนั้นเอง ผึ้ง จ้อ และข่อย จึงนำเพลงที่สะสมไว้มารวบรวมเป็นอัลบัมเฉพาะกิจ ชื่อชุด Colours in the Shadow เพื่อถ่ายทอดมุมมองที่แตกต่างของ Armchair จากสมาชิกที่เปรียบเสมือนเงาที่ผู้ฟังอาจไม่เคยสังเกต

“รู้สึกช่วงนั้นน่าจะมีงาน Fat Festival เราจึงคุยกันว่าเอาเพลงมารวม ๆ กันก่อนไหม เหมือนเป็น Side Project แต่ละคนมิกซ์เอง อัดเองที่บ้าน เพลงใครคนนั้นก็ร้อง และถ้าอยากให้ช่วยเล่นก็ส่งมาได้ เช่นเพลงพี่ข่อย ผมไปอัดเบสให้ที่บ้านแกแถวนครปฐม” จ้ออธิบายที่มาที่ไป

“ความจริงผมตั้งใจจะทำแค่เพลงบรรเลง เพราะอยากรอโย่งมาร้อง แต่คนอื่นบอกให้ร้องด้วยเลยงานเข้า ร้องก็ร้อง ซึ่งปรากฏว่าตอนร้องไม่ได้เปลี่ยนคีย์ น่าเกลียดมาก แต่ตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีผลเสียอะไรหรอก ปล่อยเบลอไป” ผึ้งเล่าอย่างขำ ๆ

กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2552 โย่งกับ ก้อย-วลัยลักษณ์ มุสิกโปฎก แฟนสาวและนักร้องนำวง SATURDAY SEIKO เดินทางไปเที่ยวยุโรป และตั้งใจจะทำบันทึกการเดินทางไว้เป็นที่ระลึก แต่พอดีทั้งคู่มีเพลงบางส่วนที่ทำเก็บไว้ด้วย จึงนำเสนอกับค่าย Spicydisc จนเกิดเป็นอัลบัม KOI YONG & FRIENDS – MY TRAVELLERS 

พอมีอัลบัมใหม่ก็เริ่มมีงานแสดงคอนเสิร์ตตามมา การได้กลับขึ้นเวที ส่งผลให้ความรู้สึกและบรรยากาศเก่า ๆ หวนคืน เป็นเหตุให้โย่งชักชวนผึ้งกับจ้อมาร่วมทำผลงานใหม่ ๆ อีกครั้ง

“ตอนนั้นไปเที่ยวเยอะ ก้อยก็ออกอัลบัมเหมือนกัน ผมจึงไปช่วยทำเบื้องหลังให้วงก้อย ทั้งช่วยแต่งเพลง ทำมิวสิกวิดีโอให้ แล้วตอนเล่นคอนเสิร์ต ก้อยก็เอาเพลง Armchair ไปเล่นด้วย ไปด้วยกันรึเปล่า ซึ่งทุกคนชอบมาก ร้องเสียงดัง ผมจึงรู้สึกว่ามันยังมีที่ทาง มีจิ๊กซอว์อยู่ในวงการดนตรีที่เรากลับมาอย่างอบอุ่นได้อีกรอบ จากนั้นผมจึงไปพูดคุยกับ Sony Music” โย่งย้อนเส้นทาง

เริ่มต้นจากเพลง ความสุขที่มากกว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 และถัดมาอีก 4 เดือนก็ปล่อยเพลง คุณเก็บความลับได้ไหม โดยได้ แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข มาช่วยเขียนเนื้อร้องและทำนอง ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของวงดนตรีเบอร์ต้นแห่งยุคอินดี้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เพลงชื่อแปลกนี้ทะยานสู่อันดับ 1 ของคลื่นวิทยุต่าง ๆ นานนับเดือน

“ตอนนั้นคุยกับพี่จ้อว่า ผมเจอหนังสือเล่มหนึ่งในบ้าน เขียนว่า คุณเก็บความลับได้ไหม แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย! น่าเป็นชื่อเพลงมากเลย แบบมีความลับก็ต้องมีความรัก น่าต่อยอด จึงโทรศัพท์ไปหาแสตมป์ว่า พวกพี่กลับมาทำ Armchair นะ อยากให้ช่วยเขียนเพลงให้หน่อย แสตมป์ดีใจมาก เพราะเขาเป็นแฟนเพลงมาก่อน ผมเลยเล่าคอนเซปต์ให้ฟัง 

“ผ่านไป 2 สัปดาห์ แสตมป์ส่งเดโมคืนมา เขียนดีมาก เล่นกับกีตาร์มาเป็นบอสซาฯ เลย โคตรน่ารัก เลย ต้องบอกแสตมป์ว่าชอบมาก แต่จะ Arrange ใหม่นะ ให้เด้งขึ้น แต่ยังคงมีท่อนที่เป็น Traditional อยู่ ซึ่งปรากฏว่าแฟน ๆ หลายคนฟังแค่ 10 วินาที เขาก็รู้เลยว่าเรากลับมาแล้ว” โย่งเล่าด้วยความภูมิใจ

ถึงเรื่องการทำอัลบัมจะอยู่ในใจของพวกเขามาตลอด แต่เพราะเข้าใจข้อจำกัดเกี่ยวกับสภาพธุรกิจเพลงที่เปลี่ยนไป ซีดีขายได้น้อยลงเรื่อย ๆ บวกกับแค่มาทำสิ่งที่รักร่วมกันก็สุขใจแล้ว พวกเขาจึงโฟกัสหลักไปที่การแสดงดนตรีตามเทศกาลต่าง ๆ 

โดยระหว่างทาง Armchair ได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่เป็นครั้งแรก คือ Fat Live Armchair เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งนอกจาก 3 สมาชิก โย่ง ผึ้ง และจ้อแล้ว อ้วนยังหวนคืนเวทีโดยเฉพาะอีกด้วย แต่ที่มากกว่านั้น คือเหตุการณ์สุดประทับใจที่โย่งเซอร์ไพรส์ขอก้อยแต่งงาน หลังคบกันมานานหลายปี

กระทั่งผ่านพ้นจากเพลงแรกราว 3 ปีเศษ อัลบัม Timeless จึงปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง อัดแน่นไปด้วยเพลงรัก 10 บทเพลงที่คงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างเหนียวแน่น โดยมีทีมเขียนเพลงทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ตั้งแต่ยุค Smallroom ทั้งกอล์ฟ Superbaker และ เจ Penguin Villa มาร่วมแต่งเพลงให้ด้วย รวมไปถึงอ้วน ซึ่งส่งเสียงฟลูตเพราะ ๆ จากเยอรมนีมาบรรเลงในเพลงที่ชื่อว่า กล่อม

“จริง ๆ ผมเพิ่งเห็นอัลบัมนี้ครั้งแรก ตอนนั้นยังงงอยู่ว่าเพลงที่อัดมาให้ไปอยู่ไหน เดี๋ยวต้องกลับไปฟังบ้าง” อ้วนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบซีดีขึ้นมาชม

“Timeless เป็นอัลบัมที่ผมภูมิใจมาก เหนื่อยกันมาอย่างยาวนาน เป็นอัลบัมที่เป็น Home Studio โดยแท้ เป็นช่วงที่เจอพี่จ้อบ่อยสุด ๆ เพราะไปทำเพลง ไปอัดกันที่บ้านพี่จ้อ แล้วที่ภูมิใจคือเป็นอัลบัมที่แทบจะทำทุกอย่างเองหมด พี่จ้ออัด มิกซ์ทุกเพลง ส่วนผมคุมงานภาพรวมและ Art Director ทั้งหมด และเป็นอัลบัมที่เซอร์ไพรส์มาก เพราะเราทัวร์กันนานมาก มีงานคอนเสิร์ตเล่นกันเยอะมาก เยอะกว่าชุด 2 ที่ว่าพีก ๆ อีก แถมตอนนั้นไม่มีใครทำอัลบัมกันแล้ว แต่การไปอยู่ที่ Sony Music ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น BEC TERO MUSIC ส่งผลให้ผมได้แต่งเพลงโฆษณาเยอะมาก ทั้ง ความสุขที่มากกว่า, อยากขอบคุณ, อยากขอบใจ รวมถึงเพลงอื่น ๆ ที่เป็นโฆษณาเต็มไปหมด ตอนนั้นเราเลยคิดว่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ทำอัลบัมเลยดีกว่า ซึ่งค่ายก็น่ารักมาก ลงทุนให้เราด้วย” โย่งเล่าเสริม

แม้สุดท้ายอัลบัมนี้อาจไม่ได้โด่งดังหรือทำยอดขายมหาศาล ดังเช่นในยุคที่พวกเขาบูมสุดขีด แต่คุณค่าที่เหนือกว่า คือการได้ขอบคุณแฟนเพลงที่คอยติดตามและให้กำลังใจพวกเขาเสมอมา เพราะแฟนเพลงคือเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้สมาชิก Armchair ยังเลือกเดินบนเส้นทางสายนี้ต่อไป

“คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ Armchair ทั้ง 4 คนจะมารวมตัวขึ้นคอนเสิร์ตแบบนี้”

ทันทีที่โย่งนักร้องนำ แถลงถึงทิศทางอนาคตของวง ทำเอาหลายคนที่ติดตามพวกเขามายาวนานต่างรู้สึกใจหาย แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่านับตั้งแต่คอนเสิร์ต Armchair Live ตอน อ้วน รีเทิร์น เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ผ่านพ้นไป มือฟลูตหนุ่มคนนี้แทบไม่เคยขึ้นเวทีเล่นดนตรีอีกเลย เพราะเขาตัดสินใจที่จะมุ่งมั่นเป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะเต็มตัว

ขณะที่สมาชิกอีก 3 คน ถึงจะมีงานคอนเสิร์ตร่วมกันบ้าง แต่ในชีวิตปกติ ทุกคนล้วนมีทางเดินที่แตกต่างกัน อย่าง โย่ง หันมารับงานแสดงละครและซีรีส์มากขึ้น ออกซิงเกิลในฐานะศิลปินเดี่ยว พร้อมกับทุ่มเทเวลาให้กับกีฬาขี่ม้าโปโล จนกลายเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย ตลอดจนเรียนทำอาหารที่ Le Cordon Bleu โดยตั้งเป้าว่าอยากทำแบรนด์อาหารฝรั่งเศสของตัวเอง

ส่วนผึ้งไปช่วยแฟนทำขนมขาย รวมถึงเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อบันทึกเสียงธรรมชาติ ทั้งเสียงสายน้ำ เสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงมดเดิน เพราะการได้สัมผัสกับเสียงที่ปราศจากการปรุงแต่ง ก็ไม่ต่างจากการกลับมาทบทวนตัวเอง เรียนรู้ที่จะเข้าถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก

ขณะที่จ้อใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเป็นครูสอนเซิร์ฟที่เขาหลัก จังหวัดพังงา รวมถึงเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย พาเด็ก ๆ ไปแข่งขัน World Surfing Games หรือโต้คลื่นชิงแชมป์โลก นาน ๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้แวะเข้ามาในเมืองหลวงสักที

“ที่ผ่านมาเรารวมตัวกันยากมาก โดยเฉพาะอ้วน เขาชัดเจนแล้วว่าจะมาทางศิลปะ ซึ่งเราเข้าใจในมุมของอ้วนนะว่า การจะทำงานทั้ง 2 งานพร้อมกันเป็นเรื่องยากมาก เพราะขณะเราเองทางเดียวยังแกว่งเลย เลยคุยกันว่า อยากจะเล่นด้วยกันอีกสักครั้ง ความจริงผมอยากทำคอนเสิร์ตมาหลายปีแล้ว แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างเลยไม่สะดวก ยิ่งตอนที่ อบเชย (ลูกสาว) เกิด ผมก็เลี้ยงเองด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลา จริง ๆ แล้วอยากชวนอ้วนมาตั้งแต่ปีก่อน” โย่งเล่าต่อ

“ผมตื่นเต้น รอมาทั้งปี แต่ยังงงอยู่ว่า พอถึงเวลา ทำไมไม่เรียกสักที” อ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“หรือมันเล่นกันไปแล้ว ไม่บอกกู” ผึ้งรีบแซวเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

กระทั่งเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง Armchair Original Concert จึงถูกปักหมุดอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“โย่งสู้เต็มที่จนทุกอย่างเกิดขึ้นได้ เพราะการจัดงานสเกลขนาดนี้ยากมาก ทั้งเรื่องการประสานงาน ตารางเวลา ลิขสิทธิ์ และต่างคนต่างมีภารกิจ โตเป็นผู้ใหญ่กันหมด บางครั้งผมอดนึกไม่ได้ว่าตัวเองแก่ไปหรือเปล่ากับการต้องกลับมาเล่นในเพลงเดิม ๆ บางทีสมองเราอยากไปข้างหน้า กังวลว่าจะทำได้ไม่ดีเท่ากับความคาดหวังของคนอื่น

“แต่พอมาคิดอีกมุม อย่างน้อยคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ทำให้เราได้มาเจอกัน มาคุยเรื่องเดิม ๆ เล่าเรื่องเก่า ๆ ด้วยกัน เหมือนเพื่อนชวนกลับไปปาร์ตี้ในวัยเด็ก และเรามีส่วนร่วมอยู่ตรงนั้น เพราะ Armchair คือบันทึกหน้าหนึ่งของชีวิต เราขาดอะไรไปไม่ได้หรอก ต้องช่วยกัน เมื่อมีโอกาสก็ต้องทำให้บันทึกนั้นออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นเอง” ผึ้งย้ำความตั้งใจของการรวมตัว

ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ พวกเขาตั้งใจนำทั้งเพลงฮิต เพลงในความทรงจำมาบรรเลงแบบเต็มอิ่ม บางเพลงไม่ได้เล่นมานานนับสิบปี เพราะที่ผ่านมา Armchair มักเล่นเป็นวงปิดตามเทศกาลต่าง ๆ เพลงที่ถูกเลือกจึงมักมีแต่เพลงสนุกที่เร้าอารมณ์ของผู้ฟัง ส่วนเพลงฟังสบาย ๆ โดยเฉพาะในอัลบัม Pastel Mood แทบไม่เคยถูกนำเสนอเลย จึงนับเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้มาย้อนรำลึกถึงความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน

ไม่เพียงแค่นั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่อ้วนหวนกลับมาเล่นฟลูตอีกครั้ง หลังจากวางมือไปนาน โดยครั้งแรกที่อ้วนคุยกับโย่ง เขาต่อรองจะขอเล่นสัก 4 เพลงได้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน ฝึกหนัก นั่งไล่สเกลโน้ตตั้งแต่ต้นเพื่อจัดเต็มในคอนเสิร์ตส่งท้าย

“การที่คนเราจะกลับมารวมกันได้ ต้องสละความเป็นตัวเองออกไป เพราะถ้าเราทำคนเดียว เราจะทำอะไรก็ได้ แต่เวลาที่เราทำกับเพื่อน คุณจะได้ชีวิตเขา ได้ความคิดเขา ได้ตัวตน ได้จิตวิญญาณของเขา ซึ่งบางครั้งคุณทำสิ่งนั้นด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เหมือนการเล่นคอนเสิร์ต คุณต้องรวมใจ ทำในสิ่งที่คุณรัก มีคนที่รักมาฟัง มาสนับสนุน เราก็ต้องเล่นมันไปด้วยกัน คล้องจองกัน เมื่อทุกคนใช้ใจในการทำงาน ผมเชื่อว่ามันจะเกิด Magic Moment ขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือคืออยากให้ทุกคนได้มาแชร์ประสบการณ์ มาร่วมเขียนบันทึกนี้ไปกับเราให้ออกมาดีที่สุด” พี่ใหญ่ของวงสรุป

ก้าวต่อไปของ Armchair จะเป็นเช่นไรคงไม่มีใครทราบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะถูกจดจำตลอดไปอย่างแน่นอน คือวงดนตรีที่เป็นสัญลักษณ์ของความป๊อปที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์และความแตกต่างของยุคสมัยอย่างแท้จริง

ขอบคุณภาพประกอบเพิ่มเติมจากวง Armchair

Writer

Avatar

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา

เพจเล่าเรื่องที่เชื่อว่าคนธรรมดาทุกคนต่างมีความเป็นยอดมนุษย์อยู่ในตัว

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล