แอนติกาเป็นประเทศที่ผมแทบไม่รู้จักเลยว่าเป็นอย่างไร แต่พอมีโอกาสรู้จักในเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งวัน ผมพบว่าที่นี่เป็นเกาะที่มีเสน่ห์มาก ๆ ชาวแอนติกันเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย หัวเราะตลอดเวลา ทะเลใสหาดทรายสวยมีอยู่มากมาย จริตแบบอังกฤษที่มาพร้อมกับความโป๊งชึ่งแบบแคริบเบียน ตลอดจนสับปะรดดำรสหวานฉ่ำ รวมทั้งเมืองสีลูกกวาดที่กำกับด้วยจังหวะเพลงแร็ปและเร็กเก้ไปทุกที่

ความสดใสแสบซ่าทั้งหมดนี้ ที่นี่ที่เดียว… อั่นตี๊ก้าาา

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย
ภาพ : www.guideconsultants.com

แอนติกา (Antigua) เป็นประเทศเกาะเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียนที่ชาวเกาะพากันออกเสียงเรียกชื่อประเทศของเขาอย่างคึกคักซาบซ่าว่า “อั่น-ตี๊-ก้า” ถ้าจะให้ได้อรรถรสแบบชาวเกาะแท้ ๆ อย่าลืมลากเสียงยาวตรงคำว่า “ก้าาา” เหมือนเวลาผู้เข้าประกวดนางงามจักรวาลออกมาแนะนำตัวด้วยชุดประจำชาติสุดอลังการ พร้อมยกแขนผายมือขึ้นเหนือศีรษะด้วยนะครับ

อั่นตี๊ก้าาา… ใช่ครับ แบบนั้นเลย เก่งมากครับ

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

เช้าตรู่อันสดใส เรือยักษ์กำลังแล่นช้า ๆ เข้าเทียบท่าหลังจากรอนแรมในทะเลมาหลายวัน ผมรีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือเพื่อดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงาม แดดยามสายกำลังสาดแสงอ่อน ๆ ฉาบเมืองทั้งเมืองที่ดูเล็กราวกับเมืองตุ๊กตายามเมื่อมองลงมาจากด้านบน เอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองในแถบแคริบเบียนคืออาคารบ้านเรือนสีสันสุดแสบที่เรียงตัวกันแน่นขนัด แต่ละนาทีที่แสงแดดเริ่มแรงขึ้น เมืองสีลูกกวาดก็จะค่อย ๆ ดูสว่างสดใส และเรามักได้ยินเสียงดนตรีเร็กเก้หรือแร็ปลอยมาตามลมจากที่ไหนสักแห่ง จนเราต้องแอบขยับขาและโยกตัวตามเบา ๆ

เมืองเซนต์ จอห์นส (St.John’s – ต้องมี ’s นะครับ) เมืองหลวงของแอนติกาต้อนรับผมด้วยความตื่นตาตื่นใจ จนผมอยากสาวเท้าก้าวลงไปสำรวจ ผมและผู้โดยสารทุกคนมีเวลาที่นี่อย่างจำกัดจำเขี่ยเพียงหนึ่งวันเต็มเท่านั้น 

เราทุกคนต้องทำเวลาเป็นซินเดอเรลล่า รีบกลับมาขึ้นเรือยักษ์ให้ทันภายใน 17.00 น.

ดังนั้นผมต้องหารถฟักทองและสารถีคู่ใจที่จะพาผมท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและว่องไว ในราคายุติธรรม

ท่าเรือเฮอริเทจ เควย์ (Heritage Quay) เต็มไปด้วยพี่ ๆ คนขับรถแท็กซี่ที่ยืนออกันอยู่หนาแน่น ทุกคนพากันส่งเสียงเรียกผู้โดยสารที่กำลังเดินงง ๆ ลงมาจากเรือยักษ์กันให้แซ่ด ต่างคนต่างเสนอโปรแกรมเที่ยวรอบเกาะแบบเหมาทั้งคนและรถในอัตรา 100 เหรียญสหรัฐต่อครึ่งวัน แล้วทันใดนั้น…. 

“ไปกับ Your sis ไหม? เดี๋ยว Your sis จะพาเธอเที่ยวเอง Your sis จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง รับรองว่าเธอจะประทับใจ Your sis คนนี้แน่ ๆ ” เมื่อหันไปผมก็พบกับหญิงสาวผิวสีร่างป้อม ๆ ดูน่ารักแบบคุณตุ๊กกี้ ตลกหญิงชื่อดัง

คำว่า Your sis ย่อมาจาก Your sister ซึ่งเป็นสรรพนามที่เธอใช้เรียกตัวเอง เกิดมาผมไม่เคยได้ยินใครเรียกตัวเองว่า Your sis ทุกคำแบบนี้ และโดยท่าทางของเธอนั้น ผมคิดว่าไม่มีคำแปลไหนเหมาะสมไปกว่าคำว่า ‘เจ๊’

“เจ๊ชื่อลินดานะ Nice to meet you!” เจ๊ลินดายื่นมือให้จับ 

“ผมโอ๊คครับ” ผมทักตอบ “เจ๊คิดเท่าไหร่ครับ ถ้าครึ่งวัน ร้อยเหรียญนี่ไม่ต้องมาพูดกันเลยนะ” ผมรีบดักทางเธอไว้ก่อน

“90 เหรียญ นี่เจ๊ลดสุด ๆ แล้วนะ ทั้งเกาะนี้ไม่มีใครถูกกว่าเจ๊อีกแล้ว” เจ๊ลินดายื่นข้อเสนอ พร้อมหัวเราะร่วน

ผมโบกมือเตรียมเดินหนี แต่. “เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ให้เจ๊เท่าไหร่ล่ะ บอกมาก่อนเซ่ บอกมา บอกมา” เจ๊ตื๊อ 

“50 เหรียญขาดตัวครับ” ผมยืนยันราคาตามที่พนักงานบนเรือแนะนำ

“โอเค โอเค ก็ได้ งั้นไปกับเจ๊นะ Welcome to อั่นตี๊ก้าาา” ว่าแล้วเจ๊ลินดาก็โผเข้ามากอดผม ผมชักติดใจเสียงก้องกังวาลกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีของเจ๊เสียแล้ว

เจ๊พาผมเดินไปยังลานจอดรถ พร้อมเอามือแหวกทางและปัดป้องผมจากพี่ ๆ คนขับแท็กซี่รายอื่น ๆ ราวกับตั่วเจ้ที่กำลังทำท่าว่า “น้องข้าใครอย่าแตะ” อีกไม่นานรถยนต์คันมอมสีเทาหม่นของเจ๊ก็พาผมออกจากบริเวณท่าเรือ

ชาวแอนติกัน (Antiguan) ทั้งชายและหญิงล้วนมีผิวคล้ำแบบชาวแอฟริกัน บรรพบุรุษของพวกเขาเดินทางมาจากแอฟริกาตะวันตกในช่วง Transatlantic Slave Trade ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 16 – 19 ทรงผมของพวกเขามักจะเป็นทรงเดรดล็อก (Dreadlock) ไม่ก็หยิกฟู หรือเต็มไปด้วยเปียที่ถักจนขอดติดหนังศีรษะ พวกผู้ชายมักเดินท่อม ๆ โย่ว ๆ เหมือนถูกกำกับไว้ด้วยจังหวะแร็ปและเร็กเก้ เราลัดเลาะผ่านอาคารบ้านเรือนสีสดในเซนต์ จอห์นส ก่อนมุ่งสู่ถนนใหญ่บ่ายหน้าออกจากเมือง

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

“สเปนมาพบแอนติกาก่อนนะ เพราะ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาเจอเกาะนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1493 และตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Santa Maria la Antigua” เจ๊ลินดาเริ่มบรรยายประวัติของประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ “แต่สเปนไม่ได้ประกาศยึดเราเป็นอาณานิคมนะ ทำไมก็ไม่รู้ สงสัยว่าเราเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ แห้งแล้ง และไม่สลักสำคัญอะไรสำหรับจักรวรรดิสเปน” เจ๊อธิบาย

“แต่อังกฤษไม่ปล่อยผ่านจ้า มาถึงก็รีบเข้ามาปกครองที่นี่ทันที เพราะพิจารณาแล้วว่าแอนติกามีทำเลดี เหมาะที่จะตั้งศูนย์บัญชาการกองเรือในทะเลแคริบเบียน ความที่ประเทศเรามีมุมสงบหลบพายุเฮอริเคนได้ แอนติกาจึงกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาตั้งแต่ ค.ศ. 1632 จนเราได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1981 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพอังกฤษ” เจ๊บรรยายคล่องแคล่วราวกับเป็นไกด์ “ก็เจ๊เป็นไกด์จริง ๆ นะ เจ๊มีใบประกาศนียบัตรรับรองด้วย แต่เจ๊ชอบขับแท็กซี่พาคนเที่ยวแล้วอธิบายแบบนี้มากกว่า” เจ๊เฉลย การมาพบเจ๊ผู้มีความรู้นั้นนับว่าเป็นโชคมหาศาล

เส้นทางพาเราวนขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ แลเห็นทะเลอยู่ลิบ ๆ ลมโกรกผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าซ่า อ้า สบายจริง ๆ

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย
วิวจากบน Shirley Heights

รถของเราแล่นขึ้นเนินเขาจนถึง Shirley Heights อันเป็นจุดชมวิว English Harbour ภาพด้านหน้าคือทะเลแคริบเบียนสีน้ำเงินสวยใต้ฟ้าใส รอบ ๆ ตัวมีป้อมปราการก่ออิฐแบบโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ เจ๊บอกว่านี่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวทะเลแคริบเบียนที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่สุด และในอดีตที่นี่คือจุดสอดแนมเรือของศัตรูและโจรสลัดที่มีอยู่ชุกชุมในทะเลแคริบเบียน ส่วนชื่อ Shirley นั้นตั้งตาม Sir Thomas Shirley ข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เข้ามาปกครองเกาะนี้ในช่วงแรก ๆ

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

ไม่ไกลจากที่เรายืนอยู่มีดอกไม้สีเหลืองเป็นพุ่มสูงทรงสง่า ดอกนั้นคือดอกอากาเว่ คารัตโต้ (Akave Karatto) ซึ่งถือเป็นดอกไม้ประจำชาติแอนติกา ชาวเกาะจะเรียกอย่างภูมิใจว่า ‘อากาเว่ แอนติกา’ (Akave Antigua) 

เจ๊บอกว่าหากดอกไม้ชนิดนี้ออกดอกดกในปีไหน ปีนั้นพายุลูกใหญ่ ๆ เข้าถล่มเกาะแน่ ๆ

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย
ดอกอากาเว่ คารัตโต้ ดอกไม้ประจำชาติของ Antigua

“นอกจากดูที่ดอกไม้แล้ว ชาวแอนติกันยังสังเกตจากหางแพะกับหางแกะด้วยนะ อันนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถ่ายทอดกันมา หากช่วงไหนเห็นหางแกะชี้ลงล่าง ส่วนหางแพะชี้ขึ้นบน ก็แปลว่าพายุกำลังมาเช่นกัน” เจ๊อธิบาย

“แล้ววันนี้แพะกับแกะที่บ้านเจ๊หางมันชี้ลงหรือชี้ขึ้นยังไงบ้างครับ” ผมถาม 

แต่เจ๊กลับตอบผมด้วยการหยิกแก้มพร้อมเสียงหัวเราะร่วนตามสไตล์

จาก Shirley Heights เจ๊พาผมวิ่งลัดเลาะไปตาม English Harbour ให้มีโอกาสชมทัศนียภาพที่สวยงาม ด้านหนึ่งเป็นเนินเขาเขียวชอุ่ม อีกด้านหนึ่งเห็นท้องทะเลเขียวครามกว้างใหญ่เต็มไปด้วย
เรือยอร์ชหรูกางใบสีขาวลอยฟ่อง แอนติกาเป็นเวทีแข่งขันเรือใบระดับโลกที่มีเรือกว่า 200 ลำจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกมาร่วมแข่งขันทุกปีในช่วงเดือนเมษายน

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

รถเริ่มลงเขาเข้าสู่บริเวณ English Harbour เพื่อไปยัง Nelson’s Dockyard แหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศ

“นายพลเนลสัน แม่ทัพเรือคนสำคัญของอังกฤษที่เคยมาปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้บัญชาการกองเรือในแคริบเบียน และ Nelson’s Dockyard ก็คือศูนย์บัญชาการ และเป็นที่จอดพักกองเรือ ซ่อมเรือ ก่อนออกลาดตระเวนสู้ศึกต่อไป” เจ๊เล่าประวัติให้เราฟังคร่าว ๆ เป็นการอุ่นเครื่อง เพราะเมื่อไปถึงแล้ว เจ๊จะปล่อยให้ผมเข้าไปเดินสำรวจด้วยตัวเอง

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

Nelson’s Dockyard ทำให้ผมต้องร้องโอ้โหอีกครั้ง นี่มันเมืองอังกฤษชัด ๆ อาคารส่วนมากเป็นอาคารก่ออิฐสีน้ำตาลแบบจอร์เจียนที่สูงเพียงชั้นหรือสองชั้น มีตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดงที่ดูเป็นอังกรี๊ดอังกฤษเช่นเดียวกับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว นายพลเนลสันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ 3 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1784 – 1787 ผมคิดว่าท่านคงรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนยังไงยังงั้น จะมีสิ่งแปลกปลอมไม่กี่อย่าง เช่น ดงมะพร้าว พุ่มดอกไม้เมืองร้อนสีสด ๆ อย่างชบา ยี่โถ และเฟื่องฟ้า ที่คอยย้ำเตือนว่าที่นี่คือแคริบเบียน

แอนติกา เกาะจิ๋วในทะเลแคริบเบียนที่มีชายหาดถึง 365 แห่ง บ้านสีสด และเมืองอังกฤษน้อย

การซ่อมเรือไม้ลำใหญ่ ๆ ในสมัยก่อนนั้นใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ ดูไม่ซับซ้อน เพียงแค่เชือกป่านเส้นใหญ่ ๆ ผูกลำเรือแล้วโยงเข้ากับกว้านไม้เพื่อค่อย ๆ ลากเรือขึ้นมาบนบก แล้วจึงทำการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ทั้งขัด ปะ และยาเรือเพื่อกำจัดรอยรั่ว จากนั้นก็ลงน้ำมันกันความชื้นและไอเกลือ ก่อนปล่อยกลับสู่ทะเลอีกครั้ง Nelson’s Dockyard รวบรวมเรื่องราวในอดีตไว้ได้อย่างครบครัน ตัวกว้านไม้โบราณก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ พร้อมกับโรงซ่อมที่ตั้งอยู่ริมทะเลให้ไปยืนดูและจินตนาการถึงเหตุการณ์ในอดีต

กว้านที่ใช้สำหรับดึงเรือขึ้นฝั่งในสมัยก่อน

ช่วงเที่ยง ผมเลือกนั่งริมทะเลที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ร้านหนึ่งซึ่งบรรยากาศอังกฤษมาก ๆ จนต้องหยิกตัวเองหลายครั้ง และแน่นอนว่ามื้อนั้นผมเลือกสั่ง Fish’n Chips มาฉลอง และเมื่ออิ่มอาหารผมก็รีบกลับมารายงานตัวกับเจ๊ และโดดขึ้นรถคันมอมคันเดิม และบอกลา English Harbour มุ่งหน้ากลับเซนต์ จอห์นส

บ้านแบบอังกฤษ ที่ Nelson’s Dockyard

ขากลับ เจ๊พาผมไปที่โบสถ์สวยที่ก่อด้วยอิฐและหินสีเขียวชื่อว่าโบสถ์เซนต์ บาร์นาบาส (St. Barnabas Anglican Church) โบสถ์แองกลิคันหลังนี้เป็นโบสถ์เก่าแก่และสำคัญโบสถ์หนึ่งของประเทศ สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1824 ผมไม่เคยเห็นโบสถ์ที่สร้างด้วยหินปูนสีเขียวเช่นนี้มาก่อน ขณะที่ผมเดินสำรวจศาสนศิลป์ภายในโบสถ์ก็เป็นเวลาที่เจ๊ปลีกตัวไปนั่งสวดมนต์เพียงลำพัง นี่เป็นเวลา 10 นาทีที่ผมเห็นว่าเจ๊สงบเสงี่ยมมาก ๆ และเป็นช่วงเดียวที่ผมไม่ได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของเจ๊

St-Barnabas Anglican Church 
ภาพ : www.stedroyphotography.com

หลังจากนั้น เจ๊พาผมไปแวะว่ายน้ำที่ชายหาดอีก 2 – 3 แห่ง แอนติกามีพื้นที่เพียง 108 ตารางไมล์ แต่อวดชาวโลกว่ามีชายหาดถึง 365 แห่งให้ว่ายน้ำได้โดยไม่ซ้ำหาดกันเลยตลอดทั้งปี ทะเลสวยใสพร้อมทรายขาวเนื้อละเอียดนุ่มราวกับเดินบนพรม ทำให้นักท่องเที่ยวต่างกรีดร้องก้องหาดกันมานักต่อนัก

ตอนบ่ายแก่ ๆ เจ๊ลินดาพาผมกลับมาถึงเซนต์ จอห์นส ทิ้งซีกหนึ่งของเกาะที่แสนจะอังกรี๊ดอังกฤษ กลับมาสู่อีกซีกหนึ่งซึ่งแสนสดใสซาบซ่าตามแบบฉบับแคริบเบียน

“เจ๊ส่งตรงนี้นะ เดินเล่นในเมืองให้สนุกนะจ๊ะ วันนี้ Your sis สนุกมาก ๆ เลย Your sis ดีใจที่ได้พาเธอเที่ยวอั่นตี๊ก้าาา ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วเจ๊ที่ไม่ได้มีเชื้อจีนก็กล่าวอำลา ก่อนขับรถออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ผมคงจะคิดถึงไปอีกนาน

บ้านเรือนในเซนต์ จอห์นส ประเคนมาทั้งเหลืองตัดชมพูแปร๋น ส้มแปร๊ด แดงปรี๊ด เขียวจี๊ดจ๊าด ฯลฯ แบบไม่เกรงใจใคร ร้านรวงยังเปิดกันคึกคักในยามบ่ายใต้แดดจ้า ไม่ว่าจะร้านชำ ร้านทำผม ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของที่ระลึกสารพัด ผมแวะเข้าไปดูภาพเขียนในสตูดิโอ 2 – 3 แห่งแล้วก็พบภาพเขียนที่ลงสีสด ๆ อีกมากมาย จนผมสงสัยว่าชาวเกาะคงจะลืมไปแล้วว่าโลกใบนี้ก็มีสีขาวด้วยเหมือนกัน เสียงดนตรีเร็กเก้และแร็ปเร้าใจยังลอยแว่วมาจากบ้านผู้คน รถราบนท้องถนน และร้านรวงต่าง ๆ ให้ชาวแอนติกันได้เดินโย่ว ๆ โยกตัวไปตามจังหวะ พวกเขาดูอารมณ์ดีกันเสียจริง

ก่อนกลับขึ้นเรือผมมีภารกิจสำคัญที่ต้องตามหาสับปะรดดำให้สำเร็จ สับปะรดดำหรือ Black Pineapple นี้มีจารึกอยู่ในเอกสารนำเที่ยวประเทศแอนติกาทุกเล่มและทุกสำนัก ไม่ว่าเล่มไหนก็ต่างฟันธงว่าหวานฉ่ำและอร่อยยิ่งนัก ถือว่าเป็นตัวแม่แห่งวงการสับปะรดทั้งปวง

ภาพ : www.heatheronhertravels.com

ผมตัดสินใจเดินลัดเลาะบ้านสีสดมุ่งตรงสู่ตลาดที่ค่อนข้างว่างวายในเวลาบ่ายแก่ ๆ และแล้วผมก็เจอสับปะรดกองหนึ่งบนแผงของคุณพี่คนขายผลไม้ที่ยังเปิดอยู่เพียงไม่กี่แผง หน้าตาก็เหมือนสับปะรดทั่วไป เหลือง ๆ เขียว ๆ อย่างที่เห็นจนชินตา แล้วสีดำอยู่ไหนเหรอ ? 

อันนี้คือสับปะรดดำสุดไฮโซแห่งแอนติกาใช่ไหมครับ ถ้าใช่ ช่วยปอกให้ผมสักลูกด้วยครับ” ผมลองสั่ง ขณะที่สายตามองปราดบนแผงที่มีแต่สับปะรดแบบที่คุ้นเคย แล้วตกลงว่ามันใช่สับปะรดดำจริง ๆ หรือเปล่า

คุณพี่คนขายพยักหน้าหนักแน่น ปากบอกสั้น ๆ ว่า “10 เหรียญ”

  “ลดลงหน่อยสิครับพี่ นี่มันแพงไปนะครับ” ผมต่อรอง ท่าทางขึงขัง

“เฮ่ยยย ใคร ๆ เขาก็กินกันราคานี้ ลูกเท่านี้ก็สิบเหรียญกันทั้งนั้น” พี่คนขายตอบ การเจรจาดำเนินต่อไปจนกระทั่ง

“สัก 5 เหรียญก็พอ แล้วผมจะขอถ่ายคลิปหล่อ ๆ ของพี่ไปอวดชาวโลกนะครับ นะ นะ”

“ก็ได้ ก็ได้ งั้น 5 เหรียญ กำลังจะปิดแผงกลับบ้านพอดี” คราวนี้พี่ชายตอบแบบอารมณ์ดี พร้อมสาธิตการปอกสับปะรดอย่างเท่สุด ๆ เวลานี้ใคร ๆ ก็อยากเป็นดาราหน้าเฟซบุ๊กฟีดกันทั้งนั้น

ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ได้ครอบครองสับปะรดราคาแพงที่สุดในชีวิต มันแพงเสียจนผมรู้สึกหวานฉ่ำตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลิ้มรส เอกสารนำเที่ยวช่วยไขข้อข้องใจให้ผมในเวลาต่อมาว่า สับปะรดดำนั้นก็คือสับปะรดที่ชาวอาราวัก (Arawak) นำมาจากทวีปอเมริกาใต้เพื่อปลูกบนเกาะแอนติกาเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ดินภูเขาไฟและภูมิอากาศร้อนแห้งของที่นี่ได้ปรับเปลี่ยนรสชาติให้หวานฉ่ำยิ่งขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แล้วที่เรียกกันว่า Black Pineapple ก็เพราะปอกทานได้ทั้ง ๆ ที่เปลือกยังสีเขียวอยู่ โดยไม่ต้องรอให้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเสียก่อน

ผมเดินแทะสับปะรดขึ้นเนินไปชมวิหารเซนต์ จอห์นส วิหารคริสต์นิกายแองกลิคันที่ตั้งตระหง่านเป็นประธานของเมือง น่าเสียดายที่เขาปิดซ่อมแซม ผมจึงได้แต่เพียงยืนดูอยู่ภายนอกจนใกล้ 17.00 น. อีกไม่นานเวลาของผมในประเทศนี้ก็จะหมดลงแล้ว ซินเดอเรลล่าอย่างผมจึงต้องรีบจ้ำกลับไปลงเรือยักษ์ พร้อมส่งสายตาอำลาบ้านไม้สีแสบของเซนต์ จอห์นส

มหาวิหารเซ็นต์ จอห์น

เย็นนั้น ผมกลับขึ้นมายืนบนดาดฟ้าอีกครั้ง ขณะที่เรือยักษ์กำลังถอนสมอ เพื่ออำลาแอนติกาพาผมไปยังดินแดนใหม่ในทะเลแคริบเบียน

แอนติกาเป็นประเทศที่ผมแทบไม่รู้จักเลยว่าเป็นอย่างไร แต่พอมีโอกาสได้รู้จักในเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งวัน ผมก็พบว่าเป็นเกาะที่มีเสน่ห์มาก ๆ ชาวแอนติกันเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย หัวเราะได้ตลอดเวลา ทะเลใสหาดทรายสวยมีอยู่มากมาย จริตแบบอังกฤษที่มาพร้อมกับความโป๊งชึ่งแบบแคริบเบียน ตลอดจนสับปะรดดำรสหวานฉ่ำ รวมทั้งเมืองสีลูกกวาดที่กำกับด้วยจังหวะเพลงแร็ปและเร็กเก้ไปทุกที่

ความสดใสแสบซ่าทั้งหมดนี้ ที่นี่ที่เดียว… อั่นตี๊ก้าาา

Write on The Cloud

Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

Avatar

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่ค่อยมีใครอยากไป เลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker Instagram : LODE_OAK