เสียงร้องตะโกนเชิญชวนจากเด็กๆ ที่พายเรือออกมาจากหมู่บ้านเรือนแพเก่าๆ ริมน้ำ ให้นักท่องเที่ยวรับลูกงูอนาคอนด้า และลูกของตัวสลอธ ไปอุ้มถ่ายภาพและเซลฟี่เพื่อเก็บความทรงจำที่มีต่อแอมะซอน (Amazon) แลกกับค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ สลับไปกับเสียงความสับสนนักท่องเที่ยวนับร้อยชีวิตในเรือเล็กนับสิบลำ ซึ่งทยอยออกมาจากเรือสำราญโรงแรมลอยน้ำที่ล่องไปในแม่น้ำกลางป่าแอมะซอน
แอมะซอนกินพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของป่าดิบชื้นบนโลก มีอาณาบริเวณถึง 9 ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ป่าดิบชื้นนี้ถูกคุกคามจากมนุษย์และการขยายพื้นที่ทำกินไปมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเฉพาะในประเทศบราซิล ซึ่งได้พื้นที่เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของป่าแอมะซอนไปครอบครอง ปัญหาความยากจนและการขยายพื้นที่ทำกินรุกล้ำเข้าไปในป่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราเคยเชื่อว่าการท่องเที่ยวอาจเป็นทางออกหนึ่งที่แก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ปัญหานี้จะแก้ได้จริงและยั่งยืนหรือไม่ และจะหยุดยั้งการรุกล้ำพื้นที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์ไปได้นานแค่ไหน ไม่มีใครให้คำตอบได้
เราเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้จากมาเนาส์ (Manaus) เมืองหลวงของรัฐอามาโซนัส (Amazonas) ในประเทศบราซิล เมือง มาเนาส์ตั้งอยู่ใจกลางป่าแอมะซอน มีประวัติเริ่มต้นยาวนานมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และกลายเป็นศูนย์กลางการทำสวนยางของโลกในคริสต์ศตววรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคแห่งการรุกรานป่าแห่งนี้ เริ่มจากการกรีดยางป่า จนกระทั่งทำสวนยางเพื่อป้อนต่อความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในยุคสมัยที่เรียกกันว่า Rubber Boom
มาเนาส์ในปัจจุบันนี้มีสภาพเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ มีท่าเทียบเรือน้ำลึกขนาดเรือเดินสมุทรแล่นผ่านแม่น้ำแอมะซอนเข้ามาได้ ใหญ่เสียจนผมนึกไม่ถึงว่าจะมีมหานครเช่นนี้ตั้งอยู่ใจกลางป่าแอมะซอน และเมืองนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์ป่าล่องเรือสำราญไปล่องลำน้ำใจกลางป่าแอมะซอน
กิจกรรมหลักๆ ของการล่องเรือสำราญไปเที่ยวป่าแอมะซอนส่วนใหญ่คล้ายๆ กัน เรือทุกลำที่ออกจากมาเนาส์จะล่องไปตามแม่น้ำแอมะซอน และรีอูเนกรู (Rio Negro) ตามโปรแกรม 3 วัน 5 วัน บนเรือที่เปรียบเสมือนโรงแรมลอยน้ำ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบมีห้องพักหรูหรา หรือเป็นเพียงแค่เปลแขวนเรียงรายกันไว้ให้พอเป็นที่นอนได้
บรรยากาศของลำน้ำแอมะซอนวันแรกๆ ก็ดูแปลกตาดี แม่น้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาราวกับทะเล แต่เมื่อลงเรือเล็กลัดเลาะไปดูความเป็นอยู่ของผู้คน อยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงบ้านและเรือนแพริมฝั่งแม่น้ำในบ้านเรา ทั้งสภาพความเป็นอยู่และผู้คนนั้นมีบางส่วนดูละม้ายคล้ายคลึงกัน แม้ว่าอยู่ห่างกันไปค่อนโลกก็ตาม
กิจกรรมหลักในแต่ละวันก็ดูคล้ายกัน เช้าตื่นมากินอาหารเสร็จก็ลงเรือเล็ก เข้าไปตามซอกซอยของลำคลองที่แยกเข้าไป เพื่อไปหา Caimen หรือจระเข้เคแมน ที่นอนผึ่งตัวอยู่ตามรากไม้ หรือดูนกน้ำในกลุ่ม Jacana ที่คล้ายกับนกพริกในบ้านเรา พอแดดร้อนก็กลับเข้ามาพัก ทานอาหารกลางวัน แล้วช่วงบ่ายก็ออกเรือไปตกปลาปิรันยาขึ้นมาให้เซลฟี่ ตอนค่ำๆ ก็ออกไปดูจระเข้เคแมนในยามค่ำคืน ในบางคืนไกด์ใจกล้าบางคนก็จะพุ่งตัวลงไปในน้ำแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงอุ้มเคแมนขึ้นมาให้เราดู อีกวันก็พาเราไปดูหมู่บ้านที่เลี้ยงงูอนาคอนด้าเอาไว้ ให้นักท่องเที่ยวมาดึงหางเล่น และบางคนก็ได้โอกาสถ่ายภาพเซลฟี่ไปลงโซเชียลให้ผู้คนที่ไม่เคยไปนั้นฮือฮาเล่น
ไม่ต้องแปลกใจที่ผมไม่มีภาพถ่ายกับงูอนาคอนด้า ไม่มีภาพปลาปิรันยา และไม่ได้อุ้มเคแมนถ่ายภาพเซลฟี่
สิ่งที่ผมเฝ้ารอคอยมากที่สุดในการเดินทางอันยาวไกลในทริปนี้คือโลมาน้ำจืด เมื่อพูดถึงแอมะซอน แน่นอนที่สุด สิ่งที่นักท่องเที่ยวมักคิดถึงเป็นอย่างแรก คือ งูอนาคอนด้าและปลาปิรันยา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีโลมาในแม่น้ำแอมะซอน 2 สายพันธุ์ คือ โบโต (Boto : Inia geoffrensis) และ ตูคูซี (Tucuxi : Solalia fluviatilis) ทั้งสองชนิดต่างเผชิญปัญหาจากการขยายพื้นที่ทำกินของมนุษย์ซึ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปีในลุ่มน้ำแอมะซอน
โบโตเป็นโลมาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถึง 2.5 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 185 กิโลกรัม พวกมันมีอวัยวะพิเศษที่เรียกกันว่า Melon ใช้สร้างคลื่นเสียงหรือ Sonar เพื่อแทนตาในการมองเห็นและล่าเหยื่อในสภาพน้ำที่ขุ่นข้นได้ อาหารหลักของพวกมันก็คือปลาหลากหลายชนิดที่พบในแม่น้ำ รวมไปถึงปลาปิรันยาที่ขึ้นชื่อว่าดุร้าย ก็เป็นหนึ่งในอาหารหลักของโบโต
เรากลับมาตั้งต้นที่มาเนาส์และเดินทางด้วยเรือไปอีกหลายชั่วโมงเพื่อไปพักที่ Ariau Towers โรงแรมกลางป่าดิบแอมะซอนที่สร้างขึ้นโดย Francisco Ritta Bernardino ใน ค.ศ. 1986 บริเวณปากทางเข้าสู่ Anavilhanas Archipelago หมู่เกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแม่น้ำรีอูเนกรู ลำน้ำสาขาของแม่น้ำแอมะซอน
ในอดีต Ariau Towers เคยเป็นโรงแรมรูปแบบที่เรียกว่า Jungle Lodge ที่เก่าแก่และหรูหราที่สุดในป่าแอมะซอน เคยได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งจาก News Week เคยเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองระดับผู้นำประเทศและดาราฮอลลีวูดมากมาย แต่วันที่เราไปเยือนในช่วงปลาย ค.ศ. 2014 Ariau Tower ตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มที สิ่งที่ทำให้เราเลือกมาพักที่นี่ คือบริเวณปากคลอง Ariau ซึ่งเป็นคลองสาขาของแม่น้ำรีอูเนกรู เป็นที่ตั้งของ Ariau Flutuante do Boto ที่เป็นสถานีศึกษาด้าน Amazon River Dolphin มาเนิ่นนาน
Amazon River Dolphin บริเวณนี้เป็นโลมาที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติแต่ค่อนข้างคุ้นเคยกับมนุษย์ เนื่องจากศึกษาอย่างต่อเนื่องมายาวนาน และแต่ละวันจะมีช่วงเวลาที่จัดให้แขกที่เข้าพัก ลงไปว่ายน้ำกับโลมาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 1 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
การถ่ายภาพใต้น้ำในสภาพที่การมองเห็นแทบเป็นศูนย์ เพียงยื่นแขนออกไปจนสุดก็แทบมองไม่เห็นแล้ว เป็นเรื่องค่อนข้างยากพอสมควร สภาพของน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ ใบไม้ และรากไม้จมน้ำ ทำให้น้ำสีดำสนิท อันเป็นที่มาของชื่อรีอูเนกรู (Rio Negro) หรือแม่น้ำสีดำ
Naturalist Guide กล่าวปลอบใจผมก่อนก้าวลงน้ำว่า ที่นี่ปลอดภัย มีโบโต ไม่มีปิรันยา…
ผมเลือกใช้เลนส์ฟิชอาย ลอยตัวรออยู่บริเวณผิวน้ำและรอจังหวะให้โบโตเข้ามาจนชิดติดกับหน้าเลนส์ จึงมองเห็นและก้มหน้าลงไปบันทึกภาพ จากภาพที่ถ่ายไว้นับร้อยภาพ มีเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้นที่พอคัดเลือกมาใช้งานได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประสบการณ์และความรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับโลมาที่ลึกลับ เฉลียวฉลาด และขี้เล่นที่สุดชนิดหนึ่งในโลก
โบโตได้รับการยกสถานะให้เป็น Endangered Species จาก IUCN ใน ค.ศ. 2018 เนื่องจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มีการลักลอบล่าโลมาชนิดนี้เพื่อนำเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันของมันมาเป็นเหยื่อตกปลาดุก Piracatinga ในอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็งที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง ค.ศ. 2000