Adventure in Art @ Ipoh
“No one is born hating”
คำกล่าวนี้เป็นของ เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) วีรบุรุษคนสำคัญชาวแอฟริกาใต้ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพ ความเท่าเทียมทางสีผิว ความคิด ความเชื่อ ของมนุษยชาติ ข้อความนั้นเขียนไว้บนกำแพงพร้อมกับภาพรอยยิ้มแห่งเสรีภาพของคุณลุงเนลสัน วาดโดยกลุ่มศิลปินท้องถิ่นของเมืองอิโปห์ (Ipoh) ประเทศมาเลเซีย
ภาพนี้แทรกตัวอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง และยังมีภาพอื่นอีกมากมายกระจายตัวอยู่ทุกซอกทุกมุมของเมือง ท่ามกลางงานสถาปัตยกรรมตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล ตัวเมืองยังโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามกลางหุบเขา เป็นวิถีชีวิตที่ความเป็นตะวันออกและตะวันตกพบกันอย่างลงตัว ฉันสัมผัสลมหายใจของอดีตได้ที่อิโปห์ เมืองที่ใช้ศิลปะสื่อสารได้อย่างมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
A Story of Ipoh
อิโปห์เป็นเมืองหลวงของรัฐเปรัก (Perak) อยู่ทางตอนเหนือของกัวลาลัมเปอร์ 205 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟสาย KTM Komuter จากสถานี KL Sentral ประมาณ 2 ชั่วโมง
การเดินทางมาเที่ยวชมเมืองเก่าไม่ยากอย่างที่คิด ฉันมาถึงอิโปห์ตอนสายแล้ว แสงแดดอันร้อนแรงไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ฉันสังเกตเห็นนักเดินทางหลายคนแวะลงที่สถานีรถไฟของเมืองอิโปห์ ซึ่งขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เป็นสถานีเก่าแก่ทรงคุณค่า และยังคงความสวยงามคลาสสิกกลมกลืนไปกับความเป็นสมัยใหม่
ฉันรู้จักอิโปห์จากการแนะนำของเพื่อนชาวมาเลเซีย ข้อมูลที่สถานีรถไฟบอกว่า อิโปห์เป็นที่รู้จักกันในชื่อเมืองดอกเฟื่องฟ้า (City of Bougainvilleas) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ปลูกอยู่รายรอบ ส่วนชื่ออิโปห์นั้นมาจากชื่อต้นไม้ที่ออกเสียงว่า Epu หรือ Epus Tree ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Antiaris Toxicaria เป็นต้นไม้ที่เติบโตได้ดีในเขตร้อน และปลูกที่นี่เช่นเดียวกัน
ที่หุบเขาคินตา (Kinta Valley) เขตพื้นที่ธรรมชาติของเมืองอิโปห์ยังเต็มไปด้วยแร่ดีบุก ที่นี่จึงมีอีกชื่อว่าเมืองแห่งเศรษฐี (City of Millionaires) เพราะเป็นเมืองที่ร่ำรวยจากแร่ดีบุก ชาวเมืองอิโปห์ราว 6 แสนคนส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกวางตุ้ง (Cantonese) และชาวจีนแคะ (Hakka Chinese) พวกเขาค้าขายทำมาหากินขยันขันแข็ง เท่าที่สังเกตด้วยสายตา ผู้คนที่สถานีรถไฟไม่ได้มีเพียงชาวจีนเท่านั้น แต่ยังมีชาวมาเลย์ ชาวอินเดีย รวมทั้งชาวตะวันตก ที่ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองให้เข้มแข็ง
ถึงแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง แต่ฉันคิดว่าวิธีทำความรู้จักอิโปห์ได้ดีที่สุดในเวลาที่ฉันพอมีอยู่คือการเดิน เส้นทางที่ฉันเดินผ่านย่านเมืองเก่ามีสถานที่สำคัญ เช่น ศาลาว่าการของเมือง ธนาคาร ร้านอาหาร ร้านขายสินค้า โดยรวมแล้วเป็นย่านการค้าที่คึกคัก ชาวอิโปห์หลากหลายเชื้อชาติอุทิศชีวิตให้การทำงานหนัก ทำให้เมืองอิโปห์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ฉันสังเกตเห็นคุณลุงคุณป้านั่งเฝ้าหน้าร้านขายสินค้าของตัวเอง พร้อมต้อนรับลูกค้าใหม่เสมอ ขณะที่ห้องแถวบางแห่งเปิดเป็นออฟฟิศสุดคลาสสิก มีโต๊ะไม้ที่มีกระดาษวางกองอยู่เต็มไปหมด บ้านแต่ละหลังล้วนมีธุรกิจเป็นของตนเอง คุณลุงที่ฉันเห็นบางคนยังสาละวนจัดข้าวจัดของภายในห้องแถว ฉันเดาว่าแต่ละวันคุณลุงน่าจะไม่ค่อยว่างสักเท่าไหร่ เพราะมีงานให้ทำตลอดทั้งวัน
บนถนนมีรถยนต์ส่งของเข้าออกในสำนักงาน พี่ๆ พนักงานส่งของบางคนเมื่อเห็นฉันยกกล้องถ่ายรูปอาคารเก่าก็หันมามองยกมือชูสองนิ้ว ส่งยิ้มกว้างๆ มาให้อย่างเป็นมิตร แล้วขับรถผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว
คนจีนส่งต่อค่านิยมความหนักเอาเบาสู้จากบรรพบุรุษสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งบางส่วนเดินทางกลับมายังอิโปห์บ้านเกิดเพื่อรับช่วงธุรกิจหรือสร้างธุรกิจใหม่ของตนเอง
Architecture of Ipoh
ฉันได้ยินเสียงเพลงจีนคลาสสิกดังลอดออกมาจากหน้าบ้านที่เดินผ่าน ลวดลายโค้งมนของบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ มีสีเขียวของเถาไม้ประดับตกแต่ง มองเข้าไปภายในบ้านที่เป็นห้องแถวค้าขาย เต็มไปด้วยสินค้ามากมายอัดแน่นในตู้กระจกจากพื้นจรดเพดานเหมือนฉากในภาพยนตร์จีนย้อนยุค
อาคารบ้านเรือนที่นี่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีทั้งอาคารสถานที่สำคัญที่ทาสีใหม่แต่ยังคงความคลาสสิก และอาคารเก่าที่เดินทางผ่านกาลเวลายาวนาน ร่องรอยความเก่าแก่ทำให้คนที่หลงใหลงานสถาปัตยกรรมเสพความงามผ่านสายตาได้ไม่รู้เบื่อ
พื้นที่ของเมืองอิโปห์แบ่งเป็น 2 ส่วน แบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เชื่อมด้วยสะพานข้ามแม่น้ำคินตา
เอกลักษณ์สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในเขตเมืองเก่าที่เห็นได้ชัดคือ ทางเดินใต้หลังคาด้านหน้าห้องแถวที่เรียงเป็นระนาบเดียวกัน ช่วยกันแสงแดดให้คนเดินที่ผ่านไปผ่านมา อาคารบางส่วนยังมีสีสันลูกกวาดสดใสแบบที่เราเห็นในเขตเมืองเก่าของบ้านเราเช่นกัน
ย่านเมืองใหม่ก็ใช้งานศิลปะสื่อสารเรื่องราวจากอดีต ดึงดูดนักเดินทางรุ่นใหม่ที่โหยหาความเป็นท้องถิ่น บางครั้งฉันได้ยินเสียงเพลงสมัยใหม่จากห้องแถวที่ปรับเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า เช่น ย่านคองคูไบน์เลน (Concubine Lane) และย่านคองเฮงสแควร์ (Kong Heng Square) ที่กลุ่มเจ้าของเป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งก่อร่างสร้างตัวด้วยศิลปะ
โบรชัวร์แนะนำย่านนี้ว่า ‘Where Passion Meets Creativity’- ความหลงใหลการสร้างสรรค์งานศิลปะเฉพาะตัวของคนรุ่นใหม่ที่เมืองอิโปห์ สร้างรายได้ไม่แตกต่างจากบรรพบุรุษของพวกเขาที่มีศิลปะในการทำมาค้าขาย
Art of Oldtown
เที่ยงวันแล้ว ฉันเริ่มหิว จึงเติมพลังให้ตัวเองสักเล็กน้อยด้วยร้านอาหารชื่อดังของที่นี่ Oldtown White Coffee ซึ่งทำธุรกิจผลิตกาแฟด้วย เด็กหนุ่มผิวสีเข้มหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเดินมารับออร์เดอร์พร้อมแนะนำเมนูอาหารน่าสนใจ หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารสไตล์โฮมเมด Oldtown White Coffee เชิญชวนให้นักเดินทางตามล่าขุมทรัพย์ทางศิลปะ ซึ่งเป็นภาพวาดจากศิลปินชื่อดัง
ภาพวาดสำคัญที่ได้รับการแนะนำโดยโอลด์ทาวน์ 7 ภาพเป็นโครงการร่วมมือกับศิลปินนักวาดชื่อดัง เออร์เนสต์ ซาชาเรวิค (Ernest Zacharevic) ชาวลิทัวเนียที่สร้างสรรค์สตรีทอาร์ตหรือ มูรัลอาร์ต (Mural Art) ให้กับเมืองปีนังอันโด่งดังมาแล้ว
ภาพวาดของเออร์เนสต์บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ความสนุกสนานของเด็ก ผู้ใหญ่ อาหาร วัฒนธรรม หรือการทำมาค้าขาย ภาพจัดวางอย่างกลมกลืน ซ่อนตัวอยู่ในตรอกซอกซอย โดยมีกำแพงตึกเก่าแก่เป็นผืนผ้าใบอย่างดี ความสนุกในการชมภาพวาดของเออร์เนสต์จึงคล้ายการหาอาร์ซีของการแข่งแรลลี่ ทำให้การชมงานศิลปะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เข้าถึงง่าย และเป็นกลวิธีเชิญชวนให้คนเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองอีกด้วย
นอกจากภาพวาดของเออร์เนสต์ ยังมีภาพวาดของศิลปินท้องถิ่น ตรอกที่มีภาพวาดรวมกันอยู่มากที่สุด เรียกว่า Mural Art’s Lane อยู่ในย่านเมืองใหม่ ฉันจึงต้องเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำคินตาเพื่อตามหาแกลเลอรี่กลางแจ้งที่อยู่ในตรอก
ข้อมูลที่ได้จากศูนย์ข้อมูลแนะนำนักท่องเที่ยวบอกเพิ่มเติมว่า Mural Art เป็นงานศิลปะที่วาดบนผนัง กำแพง หลังคา หรือสถานที่สาธารณะ สื่อสารความรู้สึกของผู้คนเรื่องความหวัง คุณค่าและความทรงจำของชุมชน มีความเป็นสาธารณะค่อนข้างสูง เพราะจัดแสดงอย่างใกล้ชิดกับคนในชุมชน บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ว่าพวกเขาเป็นใคร คิดอย่างไร มาจากไหน คุณค่าอะไรที่พวกเขาให้ความสำคัญ
ภาพวาดที่อยู่ในย่านเมืองใหม่มีทั้งภาพเด็ก โรงเรียน บุคคลสำคัญ ธรรมชาติ และงานเทศกาลต่างๆ Mural Art จึงฉายภาพวิถีชีวิตความเป็นเมืองอิโปห์ได้อย่างมีมนตร์เสน่ห์
Art of Love
ฉันตระเวนชม Mural Art จนเกือบครบ ภาพวาดรอยยิ้มของคุณลุงเนลสันทำให้ฉันคิดว่า การสัมผัสความรู้สึก Love & Hate ทำให้เราเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น คุณลุงเนลสันบอกว่า ถ้าเรารู้จัก Hate จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะ Love ได้อย่างลึกซึ้ง
เพราะที่สุดแล้วหัวใจของมนุษย์สัมผัสความรักได้มากกว่าความเกลียดชัง ไม่มีมนุษย์คนใดหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความเกลียดหรอก และไม่มีมนุษย์คนใดสมควรถูกเกลียดอีกด้วย ความรักต่างหากที่ทำให้มนุษย์เติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และมีเสรีภาพได้อย่างแท้จริง
ฉันยังคงได้ยินเสียงเพลงจีนดังแทรกผ่านบานหน้าต่างของตึกเก่าแก่ น้อยครั้งที่คนเราจะตั้งใจฟังอะไรอย่างจริงจัง คนที่เข้าใจเรื่องการฟังอย่างลึกซึ้ง จะได้ยินเสียงหรือมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น บางครั้งเสียงของความรักก็ไม่ได้ส่งผ่านการพูด แต่ส่งผ่านงานศิลปะที่แทนคำพูดได้มากมาย
ในมุมมองของฉัน เมืองอิโปห์บอกเล่าเรื่องราวความรักผ่านงานศิลปะ อาหาร วิถีชีวิต สถาปัตยกรรม และธรรมชาติที่สวยงามของเมือง ไม่ว่าผู้คนที่นี่จะมีพื้นเพที่มาหลากหลาย มีเชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา และสีผิวที่แตกต่างกัน แต่ความแตกต่างนั้นกลับกลายเป็นงดงาม เพราะความรักและงานศิลปะได้หลอมรวมพวกเขาให้กลายเป็นคนอิโปห์ที่รักและเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิต
ฉันเชื่อว่าเมืองจะมีชีวิตได้ขึ้นอยู่กับผู้คนในเมืองที่ทำสิ่งที่ตนเองรักอย่างตั้งใจ (Passion) และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creativity) อยู่เสมอ พร้อมกับส่งต่อความเชื่อนั้นจากรุ่นสู่รุ่น
เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ฉันอยากมีเวลามากกว่านี้อีกสักหน่อย ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปอีกฟากของท้องฟ้า ก๋วยเตี๋ยวกับชาร้อนจากร้านท้องถิ่นทำให้ฉันมีพลังเร่งฝีเท้ากลับไปยังสถานีรถไฟ ก่อนรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่มุ่งหน้ากลับสู่กัวลาลัมเปอร์จะหมดลง
หญิงสาวพนักงานขายตั๋วรถไฟที่คลุมฮิญาบยื่นตั๋วรถไฟเที่ยว 6 โมงเย็นให้ ฉันเห็นผู้คนต่างสีผิวสวมกอดบอกลากันที่สถานีรถไฟ ใช้เวลาไม่นานรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากชานชาลากลับสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง
แนะนำสักเล็กน้อย
ก่อนเริ่มต้นสำรวจเมืองอิโปห์ ควรแวะศูนย์ข้อมูลให้บริการนักท่องเที่ยว (Ipoh Tourist Information Center) มีข้อมูล ที่เที่ยว ที่พัก ที่กิน ไว้ให้บริการในรูปแบบแผ่นพับสวย ๆ มากมาย และทำความรู้จักวันวานของเมืองอิโปห์ผ่าน http://www.ipohworld.org — saving yesterday for tomorrow
ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’
ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ